THE SHOW NOTES

ทำไมเราควรต้องลุกขึ้นมามีปากเสียงกับพ่อแม่บ้าง มันจะไม่แลดูอกตัญญูหรอกหรือ ขัดใจพ่อแม่บาปไหม ตามใจท่านเป็นการทดแทนพระคุณดีไหม ฟังคำของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนดีกว่าหรือเปล่า

ทำไมเราจึงไม่ควรเป็นเด็กดีที่เชื่อฟังทุกอย่างเสมอไป

จะเถียงไปทำไม

01:08

  • “Sometimes you just have to take charge of your life and do it your way. If your parents make all the big life decisions for you, one day you might be stuck with what you hate for the rest of your life. Then you might eventually feel the bitterness towards your parents without knowing so.”
  • โบว์: บางครั้งเราต้องลุกขึ้นมาเลือกหนทางในการใช้ชีวิตของตัวเอง ในแบบของเราเอง ถ้าเราปล่อยให้พ่อแม่ตัดสินใจเรื่องสำคัญให้ทั้งหมด สุดท้ายเราอาจต้องจมอยู่กับสิ่งที่เราเกลียดไปทั้งชีวิต ดีไม่ดีสักวัน โดยไม่รู้ตัว เราอาจเริ่มรู้สึกแย่ และกลายเป็นโทษพ่อแม่ในที่สุดว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเราล้มเหลว หรือไม่มีความสุข
  • “People have goals and ambitions that they want to fulfill, and if they don’t get to do that they’ll be yearning for that for the rest of their lives.”
  • เฟี้ยต: ถ้าเรามีเป้าหมายหรือความฝันอะไรบางอย่าง แต่ไม่เคยแม้แต่จะได้ลองพยายามลงมือทำหรือไปให้ถึง มันจะกลายเป็นสิ่งที่ติดค้างคาใจให้เราโหยหาไปตลอดชีวิต
  • “Also, if you get used to having someone else making life decision for you, and one day when they’re no longer around, you will not know how to handle life by yourself.”
  • เฟี้ยต: และถ้าเราเคยชินกับการมีคนตัดสินใจให้ แล้วถ้าวันหนึ่งคนเหล่านั้นไม่อยู่กับเราอีกต่อไป เราจะเคว้ง และเดินต่อด้วยตัวเองไม่เป็น
  • “When it’s time to take charge of your own life, you have to do it. You have to learn.”
  • เฟี้ยต: เมื่อถึงเวลาต้องลุกขึ้นมากุมบังเหียนชีวิตของตน เราต้องทำ ไม่มีใครเป็นมาแต่เกิด ของมันต้องหัด
  • “Be assertive, not aggressive.”
  • เฟี้ยต: เราต้องยืนยันอย่างมั่นใจในสิ่งที่เราเชื่อมั่นและอยากทำ แต่ต้องไม่ก้าวร้าว
  • บิ๊ก: ไม่ได้บอกให้ลุกขึ้นมาทำตัวขบถต่อพ่อแม่ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะเจรจา ต่อรอง ให้แฮปปี้กันทุกฝ่าย แม้ว่าแต่ละคนจะไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการเฉลี่ยกันไปคนละห้าสิบ-หกสิบเปอร์เซ็นต์ นั่นคือความหมายของการเจรจาต่อรอง

เมื่อพ่อแม่ไม่ชอบสิ่งที่เราเลือกเรียน

จะเรียนอะไรนะ?!?
02:55

  • พ่อก็หมอ แม่ก็หมอ เลยอยากให้ลูกเป็นหมอด้วย รวมร่างเป็นหมอแฟมิลี่ดีไลต์ซูเปอร์ไซส์สเปเชียล พ่อแม่รักอาชีพนี้เหลือเกิน มหา’ลัยที่จบมาก็ดีงาม จึงอยากให้ลูกเดินตามรอยทุกประการ
  • หรือตรงกันข้าม คุณแม่เคยอยากเป็นนักเปียโนมาก่อน แต่ปรากฏว่านิ้วสั้น เป็นไม่ได้ แต่ลูกชายได้ยีนส์นิ้วยาวมาจากคุณพ่อ อีแม่เลยเคี่ยวเข็ญจะให้เป็นคอนเสิร์ตปิอานิสต์ให้ได้ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าที่จริงลูกชายอยากเป็นวิศวกรเหมืองแร่ใจจะขาด
  • เฟี้ยต: วิธีการของเฟี้ยตคือ จะบอกพ่อแม่ตรงๆ ว่า “This is what I really wanna do. And here I have everything planned out. What do you think?” ผมอยากเรียนเป็นพ่อครัวอาหารเอธิโอเปียนะ นี่ๆ วางแผนไว้หมดแล้วตามนี้ฮะ พ่อแม่คิดยังไงบ้างฮะ คือถามเพื่อให้เขามีส่วนร่วม เสมือนว่าขอคำปรึกษา เราให้เกียรติเขานะ เรามองว่าความเห็นของเขาเป็นสิ่งสำคัญนะ เราอยากได้ความเห็นชอบจากเขานะ
  • บิ๊ก: เฟี้ยตกำลังจะบอกว่า สิ่งที่ไม่ควรพูดคือ “This is my life. I will do whatever I want! You stay out of this!” นี่มันชีวิตของผมนะฮะ! ผมจะทำในสิ่งที่ผมอยากทำนะฮะ! พ่อแม่อย่ายุ่งนะฮะ! คือถ้าเรามาทรงนี้เนี่ย…
  • เฟี้ยต: เกิดสงครามสิฮะ และพ่อแม่จะยิ่งบุกถล่มหนักเข้าไปอีก คือแน่นอนล่ะว่า ต่อให้เราถามความเห็น เขาก็จะเซย์โนอยู่ดี แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องยอมรับตามนั้นนี่ สิ่งที่เราควรทำต่อไปคือต้อง negotiate ต่างหาก
  • และในบางครั้ง การเจรจาต่อรองเรื่องความฝันของตัวเองนั้น ก็ไม่ใช่กับใครที่ไหน แต่เป็นการเจรจาหาวิธีประนีประนอมกับตัวเองนั่นแหละ
  • เฟี้ยตมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่บ้านให้เรียนมาเป็นสัตวแพทย์ แต่ที่จริงนางอยากเป็นนักเปียโนอาชีพ และนางก็เล่นเปียโนมาตลอดชีวิต ทุกวันนี้เป็นคุณหมอรักษาสัตว์โดยอาชีพ แต่เสาร์อาทิตย์ไปเล่นเปียโนตามอีเวนต์ต่างๆ
  • นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งในการหาทางออกให้กับความฝันของตัวเอง ใครที่ไหนบอกเล่าว่าเราจำเป็นต้องทำความฝันเป็นอาชีพหลักเท่านั้น
  • และใครที่ไหนบอกอีก ว่าเราต้องทำแค่อย่างเดียว เก็บไว้แค่อย่างเดียว อย่างอื่นโยนทิ้งให้หมด คนเราทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันนะ งานหลวงอย่างให้ขาด งานราษฎร์อย่าให้เสีย จัดไปให้เพลียกันไปข้าง เหนื่อยหน่อย แต่ชีวิตเติมเต็มนะ
  • เพื่อนเฟี้ยตอีกคน โดนที่บ้านบังคับให้เรียนมาเป็นนักบัญชี แต่ความฝันคืออยากเป็นสัตวแพทย์ ทุกวันนี้นางไปหุ้นกับเพื่อนสัตวแพทย์ เปิดคลินิกรักษาสัตว์ แล้วนางเป็นเจ้าของกิจการ และดูแลบัญชี นี่ไง มันต้องหาทางจัดการกับความฝันแบบนี้
  • “Your dream doesn’t have to happen today.”
  • สิ่งที่เราฝันไว้ มันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในวันนี้นะ จับมันไว้ให้มั่น แล้วรอวันที่ทุกอย่างลงตัว
  • ถ้าพ่อแม่อยากให้เราเรียนในสิ่งที่เราไม่อยาก โบจะนัดคุยเพื่อพรีเซนต์เล่นใหญ่ไปเลย แต่ก่อนนั้นเราต้องรีเสิร์ชไปก่อน ทำการบ้านไปก่อน เรารู้ละเอียดแค่ไหนในเมเจอร์ที่เราอยากเลือก เราชัดเจนแค่ไหนกับ career path ของอาชีพที่เราอยากทำ พ่อแม่ถามอะไรมาเราตอบได้หมดไหม
  • “I wanna show you that I’m super serious about this path. It’s what I love. It’s what I wanna do.”
  • อยากให้พ่อแม่ได้เห็นว่า ผม/หนู จริงจังแค่ไหนกับเส้นทางนี้ นี่คือสิ่งที่ ผม/หนู รักและอยากจะทำมันให้สำเร็จจริงๆ (อันนี้สามารถใช้เป็นประโยคเปิดก่อนกระทำการพรีเซนเตชั่นได้ วางสีหน้าและทำน้ำเสียงจริงจังระดับสิบ)
  • “I hope you can see that, not only am I passionate about it, but I’m also good at it. So good that I can make a career out of it.”
  • หวังว่าพ่อแม่จะได้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ ผม/หนู จะรักและหลงใหลในสิ่งนี้เท่านั้น แต่ ผม/หนู ยังเอาดีกับมันได้จริงๆ อีกด้วย
  • “I can make money out of this!” งานดีเงินดีนะฮะ!
  • นอกจากการนัดพรีเซนต์เล่นใหญ่หนึ่งนัดปังๆ แล้ว อีกอย่างที่ได้ผลคือ ต้องแสดงให้เขาเห็นทุกวันว่าเราเอาจริงเอาจังกับสิ่งนี้ ‘มาโดยตลอด’ ไม่ใช่อยู่มาวันหนึ่งบอกว่าจะเป็นนักร้องทั้งที่ตลอดชีวิตพ่อแม่ไม่เคยได้ยินเราร้องเพลงเลย
  • แต่นี่แหละ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ นั่นคือไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คือถ้ามันชัดเจนมาแต่อ้อนแต่ออก พ่อแม่ก็จะเห็นแววเรามาแต่อ้อนแต่ออก เราเชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็น่าจะอยากส่งเสริมในสิ่งที่ลูกตนทำได้ดี คือ เฮ้ย มันมีพรสวรค์ด้านนี้ และมันชอบไอ้สิ่งนี้จังเลย พ่อแม่ที่ดีจำนวนมากก็จะสนับสนุนนะ
  • แต่ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นวี่แววอะไรเลยสักอย่างว่าลูกเราจะเอาดีได้ทางไหน เป็นเราเราก็จะแอบเป็นห่วงปะ แล้วพอเป็นห่วง เขาก็จะเริ่มแพลนให้ คิดให้ เลือกให้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากถูกบังคับให้ทำอะไรต่อมิอะไร เราก็ต้องลุกขึ้นมาเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของตัวเองให้เขาเห็นหรือเปล่าล่ะว่า ไม่ต้องห่วงนะ ลูกมีทางนะ
  • “If you don’t want anyone to plan for you, you have to start planning for yourself.”
  • สมัยเรียนต่างประเทศ ถึงจะเลือกเรียนกฎหมาย แต่ลึกๆ แล้วโบรู้ตัวว่าอยากร้องเพลงมาโดยตลอด ทีนี้มีกิจกรรมประกวดอะไรนี่คือสาวิตรีไปหมด และชนะหมดสิ้นทุกแมตช์ มีละครเพลงมิวสิคัลอะไรก็ไปเล่นกับเขา ทั้งหมดคือต้องการให้พ่อแม่เห็นว่า นี่คือสิ่งที่เราชอบ และนี่คือสิ่งที่เราทำได้ดี โบส่งข่าวตลอด ส่งรูป ส่งคลิป นี่ เห็นไหมว่าเราเก่งแค่ไหน เราแฮปปี้แค่ไหน
  • ย้อนกลับไปสมัยยังเด็ก โบจำได้ว่าจะบอกพ่อแม่ตลอดว่าอยากเป็นนักร้อง แต่ด้วยความที่ยังเด็กมาก พ่อแม่ก็ แน่ล่ะ คงคิดว่านี่คือความฝันของเด็กน้อย ก็คงอยากไปอย่างนั้น แล้วพอมาวันหนึ่ง โบบอกว่าอยากประกวดสยามกลการ สมัยนั้นนี่คือเวทีที่ใหญ่ที่สุด แต่พ่อแม่ไม่ให้ไป บอกว่าเรายังเด็กเกิน คือเขามาบอกทีหลังว่า เพราะโบยังไม่เคยมีประสบการณ์เลย ยังไม่เคยเรียนร้องเพลงอะไรใดๆ ถ้าจู่ๆ ขึ้นเวทีใหญ่ขนาดนั้นแล้วเฟลอย่างยิ่ง มันจะเหมือนตกจากที่สูงอะ เดี๋ยวความมั่นใจในตัวเองจะบาดเจ็บจนเกินไป (“That might harm my self-esteem if I lose so badly.”)
  • กลับมาที่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกา พ่อแม่ยังเห็นว่า นี่ไง โบยังร้องเต้นเล่นละครอยู่ไม่หยุดหย่อน เขาก็จะเห็นแล้วว่า เออ ลูกเราเอาจริง
  • พอเรียนจบ โบบอกพ่อแม่ว่า “I’ve got my degree. My degree is for you. Now can I move back to Thailand and pursue my dream, what I really wanna do? I’m totally serious. Give me a year. If I don’t make it, I’ll go back and get a Master’s degree or whatever you want. Please. Give me a year. One year.”
  • โบเรียนจบแล้วนะ ปริญญานี่ ให้พ่อกับแม่นะ ทีนี้ขอลองทำตามความฝันของตัวเองได้ไหม ขอเวลาหนึ่งปี ถ้าไม่สำเร็จ จะให้กลับไปเรียนโทหรืออะไรก็ได้ แต่ยังไงก็ขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองก่อนนะคะ ปีเดียว ขอแค่ปีเดียวเท่านั้น
  • มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากทำอะไร รู้แต่ว่า ไม่อยากทำในสิ่งที่คนอื่นบอกให้ทำ
  • “You need a goal in your life. It’s something you wake up to everyday.” ถ้าเรามีเป้าหมาย เราจะรู้ว่าแต่ละวันเราจะตื่นขึ้นมาทำอะไร
  • เมื่อพ่อแม่บังคับว่า ต้องเรียนอย่างนั้น ต้องเรียนอย่างนี้ ลองพูดว่า
  • “Could you please hear me out a little bit? This is not what I wanna do. I’m not passionate about that.”
  • พ่อแม่ฟังก่อนนิดนึงนะฮะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ ผม/หนู อยากเรียนเลย ไม่ชอบจริงๆ
  • “That would make me so unhappy in life, especially if I have to be stuck with it at least for the next four years in school. I cannot guarantee you that I’ll get good grades from that.”
  • ถ้าต้องเรียน ผม/หนู จะขมขื่นยาวไปอย่างน้อยอีกสี่ปี เกรดจะกระจุย ดูไม่จืดแน่นอน
  • “How am I gonna do well in something I’m not passionate about?”
  • ผม/หนู จะเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบให้เก่งได้ยังไงกัน
  • “Can you give me a chance to show you what I could do by choosing to study what I really love?” ขอโอกาสแสดงให้พ่อแม่เห็นได้ไหมว่า ผม/หนู ก็เป็นคนเรียนเก่งได้ ถ้าได้เรียนในสิ่งที่ชอบจริงๆ
  • “I’m really good at this and I can be even better!” ผม/หนู เก่งทางนี้จริงๆ นะพ่อ นะแม่ แล้วนี่ยังเก่งขึ้นได้มากกว่านี้อีกนะ!
  • พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเก่งแหละเนอะ ลูกมีแววกับอะไร และมีทีท่าจะเอาจริงกับอะไรได้ เขาก็มีโอกาสจะปล่อยให้เราทำตามใจอยากมากขึ้น
  • สำหรับเฟี้ยต จะขอต่อรองว่า ถ้าจะต้องเรียนตามที่พ่อแม่ต้องการจริงๆ ล่ะก็ โอเค เรียนให้ก็ได้ แต่อย่างน้อยขอตัวเลือกมากกว่าหนึ่งอย่างได้ไหม คือขอเป็นคนได้เลือกด้วย ต่อให้เป็นตัวเลือกที่พ่อแม่จัดมาให้ทั้งหมดก็ตาม
  • แต่ก็จะไซโคตบท้ายไปนิดนึงว่า ก็จะเรียนให้ละนะ แต่จะจบมาด้วยเกรดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เกิดได้มาแค่ 2.0 จะมีที่ไหนจ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
  • Yes, guilt-trip them… ทำให้พ่อแม่รู้สึกผิด
  • แต่จะพูดอย่างไร ถ้าพ่อแม่สวมบทบาทสุดยอดบุพการี และเชือดเรานิ่มๆ คือ be super passive-aggressive ด้วยคำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนประมาณว่า “ลูกต้องพยายามสิ หนูน่ะเก่งอยู่แล้ว หนูแค่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แต่เราเชื่อในตัวลูกนะ” “You can do it. We know you’re smart. You just have to try harder. Maybe you don’t believe in yourself, but we believe in you นะ”  กล่าวพลางลูบหัวและยื่นคุกกี้ขนมพร้อมนมอุ่นๆ ให้ราวกับว่านี่คือโฆษณานมตราหมี
  • คือดุด่าโขกสับไปเลยยังรับมือได้ง่ายกว่านี้ อย่ามาทำร้ายกันด้วยความอ่อนโยนดีงามได้ไหมฮะปะป๊าหม่าม้า!
  • งั้นต้องรับมือแบบนี้ “Do you wanna see my report card?”แม่อยากดูสมุดพกหนูไหมฮะ แม่ดูคะแนนสิฮะ ต่ำเตี้ยขนาดนี้จะไปเรียนเป็นหมอยังไงไหวฮะ! “See? I suck at Science, Mom. Look at my Biology grade! It doesn’t register in my head. I’m just memorize it word for word. I’m not understanding it.”
  • เห็นไหมแม่ว่าเกรดหนูแย่แค่ไหน อ่านยังไงก็ไม่เข้าหัว นี่คือเรียนไปโดยไม่เข้าใจเลย ต้องใช้วิธีจำเป็นคำๆ เอาไปเขียนตอบข้อสอบ สอบเสร็จก็ลืมหมด
  • “I’m suffering! I’m depressed!” นี่คือบอกว่าขมขื่นกล้ำกลืนแค่ไหนที่ต้องเรียนในสิ่งนี้ ทางเราเชื่อว่า ต่อให้พ่อแม่ขี้บังคับแค่ไหน ท่านก็ยังห่วงใยในสุขภาพจิตกายของลูกนะ เวลาพูดกรุณาปั้นสีหน้าให้เจ็บปวดรวดร้าวสมบทบาทด้วย
  • บางทีเราจะโดนกดดันจากความหน้าที่การงานดีมีหน้ามีตาของญาติๆ นะ อะไรมันจะเป็นหมอกันหมดทั้งตระกูลขนาดนี้ แล้วนี่เรียนอะไร อืม นิเทศ…
  • แต่การเจรจาต่อรองมันจะเวิร์กก็ต่อเมื่อในใบคะแนนของเรามีวิชาที่เราเจ๋งอยู่ด้วย และนั่นคือสิ่งที่เราอยากเลือก เช่น พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ แต่คะแนนสายวิทย์เราชั่วช้าทั้งหมด แต่คะแนนฟากภาษาของเราเอล้วน และเราอยากขอเรียนอักษร เป็นต้น เอออันนี้ยังมีทาง แต่ถ้าทุกสิ่งทุกวิชาคือหมาแมว ซีแคท ดีด๊อก ทั้งหมด เราจะเอาอะไรไปเจรจาวะแก
  • “Let me try! I really want to do what I’m good at!” ขอเรียนในสิ่งที่ ผม/หนู เก่งเถอะนะฮะ นะ นะ

 

เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมให้เราออกไปอยู่ที่อื่น

จะย้ายออกไปไหนนะ?!?
19:00

  • พ่อแม่ไทยไม่เหมือนพ่อแม่อเมริกันที่ส่วนใหญ่แทบอดใจรอไม่ไหวให้ลูกถึงวัยย้ายออกจากบ้าน ไปหาที่อยู่เองเสียที (ใครไม่ยอมไป เกาะพ่อเกาะแม่ อาจโดนมองว่าลูสเซอร์ด้วยเหอะ) ของเรานี่ชอบครอบครัวขยาย อยู่กันเยอะๆ ให้อุ่นหนาฝาคั่งใต้หลังคาเดียวกัน แปดชีวิตใช้สองห้องส้วมร่วมกันแล้วจะทำไม ฉันชอบแบบนี้ ใกล้ตาใกล้ใจกันดี ไม่ต้องห่างหายไปไหนให้ต้องมานั่งมโนนอยด์คอยเป็นห่วง
  • แต่บางครั้งโอกาสมันมา และโอกาสที่ว่ามาพร้อมความจำเป็นในการโยกย้ายไปไกลบ้าน ต้องไปเรียนไกล ต้องไปทำงานไกล พ่อแม่ทำท่าจะไม่ให้ แล้วจะเจรจาอย่างไรดี
  • “There’s a better opportunity for me over there and I’d be really stupid not to take it. It could really advance my future.”
  • มันเป็นโอกาสที่ดีมากเลยนะครับ/นะคะ ถ้าไม่ฉวยไว้เพื่อนจะล้อว่าอีโง่ไปจนตาย และจะเสียดายไปจนสิ้นโลก มันจะช่วยเปิดทางอนาคตอันสดใสเลยนะพ่อ/นะแม่
  • ในกรณีที่อยากย้ายออกจากบ้านพ่อแม่เพื่อไปอยู่ใกล้ที่เรียนหรือที่ทำงาน ลองอธิบายว่า “Mom, Dad, Bangkok traffic is so bad. If I don’t have to commute so much, it’ll save me gas money and also my mental health.”
  • แม่ฮะ พ่อฮะ การจราจรมันบั่นทอนนะ ทั้งสุขภาพจิตและเงินในกระเป๋า ค่าน้ำมัน ค่าแท็กซี่ เอาเงินเดือนไปหมดเลย
  • “It’ll give me time that I need to focus on work in stead of being stuck in traffic.” เอาเวลาไปตั้งใจเรียนหรือตั้งใจทำงานดีกว่าเอาเวลามานั่งติดแหง็กอยู่บนท้องถนนนะฮะ
  • คุณพ่อคุณแม่อาจสู้กลับมาว่า งั้นระหว่างรถติดหนูก็ทำงานได้นี่ลูก สู้กลับไปว่า “Mom, it’s not safe. It splits my focus.” ขับไปทำงานไป อันตรายค่ะแม่
  • เดี๋ยวแม่หาคนขับให้ “I’ll get car sick.” หนูเมารถค่ะแม่
  • หลายครอบครัวมีสมาชิกที่ dependent ต่อกันและกันมาก เลยเกิดอาการแยกกันไม่ได้ พ่อแม่อาจจะเลี้ยงมาอย่างไข่ในหินมากๆ หวงมากๆ บงการชีวิตมากๆ จนลูกกลายเป็นติดพ่อติดแม่ชนิดที่ทำอะไรเองไม่เป็นเลย ดีไม่ดีเรียนจบมาก็ทำงานกับธุรกิจที่บ้านอีก ไม่มีสังคมที่ไหนอื่นอีก อันนี้แม้ในวันหนึ่งจะอยากแยกตัวออกมา ตัวเองยังคิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่เองอย่างไร
  • “It takes planning and also guts.” ถ้าอยากหลุดออกมาจริงๆ นอกจากการวางแผนที่ดีแล้ว ยังต้องการความกล้าหาญอีกด้วย เพราะแน่นอนว่าอะไรต่อมิอะไรจะไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังแน่ ถนนเบื้องหน้าขรุขระแน่ เราพร้อมจะเผชิญความลำบากหลายสิบเท่ากว่าการอยู่สบายๆ ใต้ชายคาของคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่า

 

เมื่อพ่อแม่ไม่ชอบคนที่เราเลือกคบ

นั่นใครน่ะ?!?
24:28

  • เหตุการณ์ปกติของโลกนี้ ในทุกมุมของโลก ทุกสังคม ทุกวัฒนธรรม ทุกชาติ ทุกภาษา เป็นเหมือนกันหมด คุณพ่อเหม็นหน้าไอ้หนุ่มที่ลูกสาวกำลังควง คุณแม่ก็ไม่ถูกชะตานังผู้หญิงเฉาฉุ่ยที่ไหนไม่รู้ที่เจ้าลูกชายหลงรักหัวปักหัวปำเหลือเกิน
  • เราย่อมไม่อยากให้บ้านแตก และเราอยากให้ทุกคนรักกัน แต่เรื่องอย่างนี้จะตามใจพ่อแม่จริงหรือ ชีวิตของเรานะ และอาจจะเป็นชั่วชีวิตของเรากับคนคนนี้ก็ได้ เราต้องเลือกด้วยตัวของเราเอง และเราต้องเลือกเพื่อตัวของเราเอง จะพูดอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี
  • ลองใช้วิธีของโบ นั่นคือพยายามค่อยๆ ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับแฟนเราให้พ่อแม่ฟัง กรอกหูไปวันละนิด อาจเริ่มจากเรื่องทั่วๆ ไป แล้วเน้นเรื่องดีๆ ที่น่ารัก และแลดูเหมือนจะเป็นคุณสมบัติของแฟนที่ดีเข้าไปให้พ่อแม่ฟังทีละหน่อย ไม่ต้องเล่นใหญ่หรือจัดหนักมาก มันจะแลดูเป็นการโบกธงเชียร์จนเว่อร์ เอาแบบแคชวล เล่าสู่กันฟังสบายๆ
  • จากนั้นอาจเริ่มพาแวะเวียนเข้ามาให้พ่อแม่ได้เห็นหน้าค่าตาว่า อ้อ พ่อหนุ่มหรืออีสาวคนนี้เองที่ได้ยินชื่อมานาน เออ ก็ไม่เลวนิ เป็นต้น
  • ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่คิวซีเว่อร์ ไม่ว่าจะช่วยอวยแค่ไหนก็ยังสามารถขุดจุดด้อยอันไม่เป็นที่สบอารมณ์ขึ้นมาต้านได้เสมอ พี่เฟี้ยตขอแนะนำว่า จงอย่าต่อต้านการต่อต้านของพ่อแม่ แต่ให้ play along คือ อือออไปก่อน เช่น “แม่ว่าอีตาคนนี้โหงวเฮ้งไม่ไหวนะ หูกางแปลกๆ” ก็ตอบว่า “Oh, yeah, I guess you’re right! I never noticed but now I kinda see it, too.. LOL” เออ จริงด้วยค่ะแม่ เมื่อก่อนไม่สังเกต แต่ เออ กางจริงด้วย คิกคิก ฯลฯ คือถ้าเราไม่ไปอะไรมากมายกับความจุกจิก ‘เป็นปกติตามธรรมชาติของพ่อแม่’ ความตึงเครียดบางอย่างจะเบาลง แต่ถ้าเราแบบว่า “แม่อะ! ไม่เคยมีใครดีพอในสายตาแม่เลย! อยากให้หนูขึ้นคานไปจนตายใช่มั้ย! แม่ไม่รักหนูเลย!” ดราม่าไปอีก อีนี่
  • “Well, it is my decision, and if he/she is not worth it, I hope one day I’ll see it and realize it eventually. Still I need to learn to get hurt by myself. If it doesn’t work out, I’ll need you to be here for me. I’ll run back into your arms and cry, but ultimately I’ll need to learn to get hurt on my own because you can’t protect me forever. I need this.”
  • เป็นการตัดสินใจของ ผม/หนู ที่จะลองคบคนคนนี้ดู และถ้ามันไม่รอดขึ้นมาสักวัน ผม/หนู ก็อยากให้ พ่อ/แม่ ยังอยู่ตรงนี้ ให้กำลังใจและไม่ซ้ำเติมนะฮะ ไม่กระทืบซ้ำนะฮะ ประเด็นคือพ่อแม่ต้องปล่อยให้ลูกเรียนรู้ที่จะต้องเจ็บเองและรอดให้ได้เอง เพราะพ่อแม่จะคอยปกป้องลูกไปตลอดไม่ได้ พ่อแม่ไม่อมตะขนาดนั้นนะฮะ
  • “I’ll move on after that, I promise. I’ll be okay because I know you’ll be here for me, right?” เจ็บเสร็จเดี๋ยวก็หาย แล้วทุกอย่างก็จะไม่เป็นไรเพราะพ่อแม่จะเข้าใจ ใช่ไหมฮะ
  • และเมื่อพ่อแม่บอกว่า “I told you so…” ชั้นบอกแล้วใช่มะ…
  • ตอบว่า “That doesn’t help, Mom, Dad.” คือ…ซ้ำเติมทำไมเนี่ย ชีวิตไม่ดีขึ้นนะฮะ ปล่อยผ่านบ้างก็ได้ฮะ
  • การที่พ่อแม่ขยันบล็อกว่าที่เขยสะใภ้ อาจไม่ได้ทำเพราะความเกลียดในตัวบุคคลแต่อย่างใด แต่เขาอาจเพียงกลัวความคิดที่จะโดนกีดกันออกจากชีวิตของลูกที่กำลังจะไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น เขากลัวจะกลายเป็นคนนอกนั่นเอง
  • แต่ถ้าลูกรู้เท่าทัน และพยายามสื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าใจว่า เฮ้ย ไม่ได้หนีหายไปไหน พ่อแม่ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผม/หนู แน่นอน เดี๋ยวมาหาทุกสุดสัปดาห์ เดี๋ยวพาไปเที่ยวเกาหลีปลายปีนี้ แล้วจะพาไปญี่ปุ่นสงกรานต์หน้า
  • อีกอย่างที่เป็นไปได้คือ อย่าเพิ่งรีบยัดเยียดสถานะ ‘แฟนของลูก’ ให้พ่อแม่ต้องยอมรับเดี๋ยวนั้นทันที แต่อาจจะเริ่มเล่าถึงคนคนนั้นให้ฟังในฐานะ เพื่อนคนหนึ่ง ก่อน แล้วค่อยๆ เป่าหูอย่างต่อเนื่อง และอย่างอดทน ค่อยๆ ให้พ่อแม่ปรับตัวไปกับการมีอยู่ของคนคนนี้ วันหนึ่งพ่อแม่อาจจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเองก็ได้ว่า เอ๊ะแม่ว่าคนนี้เขาดีนะ ลองคบดูสิลูก (โลกสวยเหลือเกิน มันจะง่ายยังงี้จริงไหม)

 

สุดท้ายนี้

We’re on the same team!

35:10

  • แต่ละบ้านไม่เหมือนกันเลย อย่าเอาบ้านเราไปเปรียบเทียบกับบ้านใคร
  • ไม่ว่าจะเป็นการได้มาซึ่งงานในฝัน หรือคนในฝัน มันไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน และถ้าเรายังอยากให้พ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งของความสุขความสำเร็จของเรา ก็จงใจเย็น และค่อยๆ ให้พ่อแม่เข้าใจไปกับเรา
  • ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกเฟล เพราะความล้มเหลวของลูกก็เหมือนเป็นความล้มเหลวของพ่อแม่ด้วย
  • ถ้าเราหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือความรัก พ่อแม่เขาก็จะยินดีกับเราด้วยแหละ แต่นั่นคือเราต้องชัดเจนกับแพสชั่นของเรา มีแผนที่ดี และมีความมุ่งมั่นมากพอจะเอาให้ได้จริงๆ นะ
  • อย่าลืมว่าเราเป็นทีมเดียวกัน หลายคนทะเลาะกันบ้านแตกเพราะความรู้สึกว่า พ่อแม่ไม่รักเรา/ลูกไม่รักเรา พ่อแม่สะกัดดาวรุ่งตลอดเลย/ลูกพยายามขัดใจเราตลอดเลย พ่อแม่ไม่แคร์เราสินะ/ลูกไม่แคร์เราแล้วสินะ ฯลฯ ไอ้ความคิดเหล่านี้แหละที่จะทำให้จับมือไปด้วยกันไม่มีวันสำเร็จ
  • ถ้าเราสร้างความรู้สึกว่า ‘We’re on the same team!’ ขึ้นมาได้ โอกาสที่เราจะได้พ่อแม่มาหนุนหลังในการตามความฝันของเรา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็มีมากขึ้นไปด้วย
Tags: , , , , , , , , ,