“นายทุน ขุนศึก ศักดินา ตอนนี้เขาอาจไม่รู้สึกว่าเขาอยากจะเปลี่ยน แล้วเขาก็เกลียดผมมหาศาล ในขณะเดียวกัน คนที่อยู่ในระบบราชการ อายุเท่าผม จะขึ้นเป็นรองอธิบดี อธิบดี เขาคิดเหมือนผม ลูกหลานนายทุนเขาก็คิดว่า เขาจะร่ำรวยขนาดนี้ไปทำไม ถ้ายังมีคนเอารูปคนผูกคอตายไปวางไว้หน้าร้านเขา คือเขาจะทำ CSR ไปทำไม ถ้าคนยังรู้สึกแบบนี้”
จนถึงวันนี้ชื่อของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังเป็นชื่อที่ฝ่ายตรงข้ามหลายคนหวาดกลัว
ท่าทีของพรรคก้าวไกลคือพรรคที่มุ่งชน หวังเปลี่ยนโครงสร้าง และนั่นทำให้เขาถูกจับตามองจากทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ว่าจะเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่หากมีเสียงมากไป ใหญ่เกินไป อาจเป็นอันตรายกับระบบ ระบอบเดิม ที่พวกเขาฟูมฟักขึ้นมา
การหาเสียงของพรรคก้าวไกลหลายครั้งถูกจับตามองจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ข่าวการยุบพรรคก้าวไกลออกมาไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่พรรคซีกเดียวกันยังบอกว่าการ ‘เปลี่ยน’ แบบพรรคก้าวไกลอาจยากไปสำหรับสังคมไทย
แต่คะแนนโพลของพรรคก้าวไกลกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม คะแนนนิยมของเขาและพรรคก้าวไกลกลับดีขึ้น…
“แน่นอน พวกเขาอาจเห็นผมเป็นศัตรูและเขาอาจเกลียดชังผม เขาคงคิดว่าผมเป็นปีศาจแห่งยุคสมัย ก็ปล่อยให้เขาเกลียดไป แต่เราไม่ได้ต่อสู้กับเขาด้วยความเกลียดชัง และก็ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของระบบ ระบอบ เรื่องของอนาคตของคนทั้งประเทศ”
Tags: พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, Democracy Strikes Back