วาเลนติน่า พลอย (พลอยวาเลนตินา จาร์ดุลโล) นักร้องสาวเสียงใสสไตล์โฟล์คป๊อป ลูกครึ่งไทย-อิตาเลียน วัย 25 ปี เธอมีผลงานเพลงเนื้อร้องภาษาอังกฤษออกมาให้เราฟังกันแล้วถึง 3 เพลง ได้แก่ See you in life, Wire และ Let Go ทุกเพลงล้วนเป็นฝีมือการเขียนเนื้อร้องของเธอ ที่เธออยากจะแบ่งปันประสบการณ์ มุมมองในชีวิต และเรื่องราวดีๆ ให้คนฟัง

เส้นทางการเป็นนักร้องของเธอ เหมือนจะคล้ายศิลปินทั่วไป ผ่านเวที The X Factor และ Amici ของอิตาลี เคยมาประกวด The Voice Thailand ซีซั่น 6 แต่ก่อนจะมาเป็นศิลปินเต็มตัวกับค่าย What The Duck เธอผ่านเวทีนางงาม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 และไม่ธรรมดาด้วยตำแหน่งรองอันดับ 2

เรียกว่าจากนางงามสู่นักร้องตัวจริง

ล่าสุดเธอยังมีโอกาสได้ไปเล่นคอนเสิร์ต Music Matters 2019 ที่จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเพลง Wire ซิงเกิลที่สองของเธอก็ถูก Spotify จัดอยู่ในเพลย์ลิสต์ฮิตทั่วโลก ‘It’s a Hit!’ ร่วมกับพลงอื่นๆ ของศิลปินดังระดับโลก เช่น Taylor Swift, Ed Sheeran, Ariana Grande, Shawn Mendes และ The Chainsmokers  

นอกจากแพสชั่นในการเป็นศิลปินนักร้องเหมือนวัยรุ่นทั่วไป อีกมุมหนึ่งเธอกลับมีจิตอาสาชอบช่วยเหลือคนอื่น เธอเคยไปเป็นอาสาสมัครในโครงการ Monsalvat for Asia โดยช่วยนำยาและของใช้ที่จำเป็นไปให้คนที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล และทุกครั้งที่เธออยู่ไทย จะเข้าไปช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยการสอนภาษาอังกฤษบ้าง ทำกับข้าว หรือบริจาคสิ่งของจำเป็น

เรียกว่าเป็นนักร้องที่มีจิตอาสา

ชีวิตเงียบๆ ในเมืองแถบอะมัลฟี่ของอิตาลี

วาเลนติน่า พลอย มีพ่อเป็นคนอิตาเลียน ส่วนแม่เป็นคนไทย เธอเกิดและเติบโตในครอบครัวอบอุ่นที่เมือง ซอร์เรนโต้ แถบอะมัลฟี่ ของอิตาลี ที่มีวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ อยู่กับธรรมชาติ ทะเลและภูเขา มีคุณแม่เป็นคนสอนภาษาไทย และทุกวันหยุดเธอจะกลับมาเมืองไทย โดยเฉพาะที่นครราชสีมาบ้านเกิดของคุณแม่

“ชีวิตเราอยู่กับธรรมชาติเยอะมาก ทะเล ภูเขา ทุกวันทำอาหารกินเองที่บ้าน วันหยุดก็ไปเที่ยวธรรมชาติ ชีวิตไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นมากนัก แต่เราชอบช่วงเวลาเด็กๆ ที่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้น มันดูเรียบง่าย”

“ถ้าเทียบกับเด็กฝรั่งคนอื่น เราก็ยังไม่ได้มีอิสระมากนัก ตอนอายุยังไม่ 20 ปี ถ้าจะไปเที่ยวข้างนอก ต้องกลับบ้านก่อนสี่ทุ่ม แต่หลังจากอายุมากขึ้น ก็เริ่มปล่อยอิสระมากขึ้น คือแม่จะสอนให้เราปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ จะอยู่โรงแรมห้าดาว หรือจะไปเดินตลาด เดินตามท้องถนน ก็ได้หมด และแม่ก็จะสอนให้เราเป็นคนถ่อมตัวอยู่เสมอ”

เด็กขี้อายที่ร้องเพลงในห้องน้ำ และฝึกเล่นกีตาร์จากยูทูบ

ตอนเด็กเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก ไม่มั่นใจ มักโดนเพื่อนแกล้งด้วย เลยไม่มีใครรู้ว่าพลอยร้องเพลงเป็น แต่งเพลงได้ ชอบไปแอบร้องเพลงในห้องน้ำคนเดียว เป็นสาเหตุหนึ่งที่เริ่มแต่งเพลง เขียนเป็นไดอารี่ สบายใจมากกว่าจะพูดกับคนอื่นแบบตรงๆ

“ตอนเด็กๆ ชอบเขียนไดอารีและต้องมีคำคล้องจองกัน จะได้ดูไพเราะ แต่ว่ายังไม่ได้เล่นกีตาร์ เราเล่นไวโอลินมาก่อน ประมาณ 6-7 ปี ก็เริ่มเบื่อ เลยไปบอกแม่ว่าอยากร้องเพลงมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เรียน ฝึกร้องเพลงในห้องน้ำ แต่เรื่องโน้ตก็พอมีความรู้จากตอนเรียนไวโอลินอยู่บ้าง และกีตาร์ก็ฝึกเอาจากในยูทูบ”

เอาชนะความขี้อายด้วยการประกวดร้องเพลง

วันหนึ่งเพื่อนเอาวิดีโอที่เธอร้องเพลงไปลงเฟซบุ๊ก ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอร้องเพลงได้ เหมือนเป็นการทลายกำแพงความกลัวบางอย่าง เธอตัดสินใจไปสมัครรายการ The X Factor และ Amici ของอิตาลี เพราะอยากร้องเพลงให้ทุกคนฟัง อยากแชร์เรื่องราวดีๆ ให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย

จากนั้นเธอก็ข้ามฟากมาประกวด The Voice Thailand ซีซั่น 6 และจากเส้นทางการประกวดร้องเพลงก็หันเหไปเป็นการประกวดนางงามแทน บนเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 แถมยังมีดีกรีรองอันดับ 2 ทิ้งท้ายอีกต่างหาก

“เวทีนางงามเหมือนแข่งโอลิมปิกเลยนะ ทุกคนต้องมีพี่เลี้ยง เป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับเรา มีทั้งมุมที่เราชอบ และไม่ชอบ คือการเป็นนางงาม มันไม่ใช่แค่เป็นบิวตี้ควีน แต่เหมือนเป็นแพลตฟอร์มที่ถ้าพูดแล้วทุกคนฟัง พูดสิ่งดีๆ และมีประโยชน์กับคนอื่นได้ ในตอนนั้นเราก็ไม่คิดว่าจะต้องฝึกเดินแบบนี้ แต่งหน้าทำผมแบบนั้น ก็เป็นความรู้สึกที่แปลกดีเหมือนกัน”

“แน่นอนว่าสิ่งที่เชื่อมต่อกันคือเราอยากแชร์สิ่งดีๆ ให้คนอื่น เวทีแรกเราประกวดเพราะอยากจะเอาชนะใจตัวเอง แต่เวทีหลังๆ เราว่าไม่แล้วละ ความขี้อายมันค่อยๆ หายไปแล้วด้วย ซึ่งการประกวดนางงามหรือการเล่นดนตรี มันคือการแชร์สิ่งดีๆ เหมือนกัน คล้ายตอนที่เราเด็ก เราขี้อาย ไม่กล้าคุยกับใคร ก็เปิดเพลงคนอื่นฟัง ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น”

ชีวิตศิลปินนักร้องแบบเต็มตัว

มาอยู่เมืองไทยแบบจริงจังปีครึ่ง ความตลกของชีวิตอย่างหนึ่งคือแม้จะไปประกวดนางงาม สุดท้ายก็กลับมาเป็นศิลปินอยู่ดี

“คนมองว่าเราไปประกวดนางงามกับการเป็นศิลปินมันดูไม่เกี่ยวกันเลย เพราะนางงามต้องมีความเป๊ะ ศิลปินต้องมีความติสท์ แต่เราไม่เชื่อแบบนี้ ว่านี่คือกรอบของการเป็นบางอย่าง ทุกคนมีหลายด้านมากในชีวิต การเป็นนางงามต้องเป็นผู้หญิงสวย มั่นใจ แต่ในมุมของการร้องเพลง มันคือสิ่งที่น่าจะเสริมเข้ามาใ้ห้นางงามคนนั้นมีความแตกต่างจากคนอื่น”

“สุดท้ายแล้วการเป็นศิลปินก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปพอสมควร ความรับผิดชอบที่มากขึ้น เป็นความท้าทายในตัวเราที่อยากทำให้มันดีขึ้นในทุกวัน ว่าเราสามารถทลายขีดจำกัดตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิมได้ไหม คือไม่เคยจินตนาการว่าการเป็นศิลปินจะเป็นอย่างไร”

จิตอาสาชอบช่วยเหลือผู้อื่น

เป็นคนเห็นเด็กยากจนแล้วหัวใจเหมือนจะร้องไห้ เลยอยากจะทำบางอย่างเพื่อช่วยเหลือเขา อย่างสมัยก่อนถ้ากลับมาเมืองไทยจะชอบไปสอนภาษาอังกฤษ บริจาคเงินหรือสิ่งของที่เขาต้องการตามมูลนิธิต่างๆ เช่น โครงการ Help Thai โครงการการกุศลที่ช่วยเหลือเด็กๆ ที่บุรีรัมย์ หรือโรงเรียนเด็กตาบอดที่นครราชสีมา แต่ที่ใหญ่สุดที่เคยทำมาคือ โครงการ Monsalvat for Asia เป็นของคุณหมอคนหนึ่ง พลอยไปช่วยนำยาและของใช้ที่จำเป็นไปให้คนที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล

“นี่คือสิ่งที่ทำให้เราประกวดนางงามนะ ทำให้เราได้เรียนรู้หลายอย่าง คือ เวลาเราไปช่วยเหลือเด็กๆ จะเข้าใจเลยว่าชีวิตเราโชคดีมากแค่ไหน เราไปอยู่ตรงนั้นเห็นว่าเขาไม่มีอะไรเลย แต่มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ปัญหาที่เราต้องเผชิญอยู่จริงๆ แล้วมันเล็กมาก แล้วมันเป็นความสุขที่แท้จริงของเราที่ได้ไปทำประโยชน์ตรงนั้น”