การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกาในปี 2018 เมื่อวันที่ 6 พ.ย. เป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันจะได้ตัดสินการทำงานของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่เขาทำงานมาแล้ว 2 ปี โดยการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณต่อทิศทางของประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดี และดูว่าพรรครีพับลิกันจะสามารถครองที่นั่งส่วนมากในสภาคองเกรสได้อีกต่อไปหรือไม่

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกผู้แทนประชาชนทั้งในสภาผู้แทนราษฏร วุฒิสภา และผู้ว่าการรัฐ โดยจะเกิดขึ้นระหว่างการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ของประธานาธิบดี จึงเรียกกันว่าการเลือกตั้งกลางเทอม นั่นหมายความว่า อย่างน้อยที่สุดชาวอเมริกันก็จะได้แสดงออกว่าตนเองประเมินการทำงานของประธานาธิบดีอย่างไร โดยมักดูจากจำนวนที่นั่งที่พรรคของเขาได้รับ

การเลือกตั้งกลางเทอมที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ ได้ทำลายสถิติหลายเรื่อง ช่วงก่อนการเลือกตั้ง มีจำนวนผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่ไม่ใช่การเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยในปี 2014 มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแค่ 36% เท่านั้น ปีนี้ดูจากการลงทะเบียนใช้สิทธิคาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 45-50% ทั้งยังมีการระดมทุนเพื่อเลือกตั้งสภาคองเกรสแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีรายงานว่ามีการใช้เงินประมาณ 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อปี 2016 ใช้ไป 4.4 ล้านเหรียญสหรัฐ  

นอกจากนี้จำนวนผู้สมัครเพศหญิงที่เพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปี มีผู้สมัครเพศหญิงคิดเป็น 63% ของจำนวนผู้สมัครทั้งหมด จำนวนผู้สมัครที่บอกว่าตัวเองเป็น LGBTQ มี 244 คน ทั้งหมดเป็นฝั่งเดโมแครต  

ครั้งนี้ พรรคเดโมแครตต้องการ 23 ที่นั่งเพื่อควบคุมสภาผู้แทนราษฎร และต้องการเพิ่มมากกว่า 2 ที่นั่งเพื่อให้ชนะในวุฒิสภา การเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าเดโมแครตจะได้คะแนนในระดับรัฐหรือไม่

ผลเอ็กซิทโพลล์แรกที่ทำโดยสำนักข่าวเอพีออกมาว่า ประเด็นหลักที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญที่สุดคือ ประกันสุขภาพและการเข้าเมือง ผู้ตอบแบบสอบถาม 41% บอกว่าประกันสุขภาพเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ใข้ในการตัดสินใจ พรรคเดโมแครตถูกโจมตีในเรื่องนี้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งในประเด็นที่ว่า สภาพที่เป็นอยู่ก่อนประกันจะส่งผลต่อการได้รับประกันสุขภาพหรือไม่

คาราวานของผู้อพยพจากอเมริกากลางโดยมีเป้าหมายมาที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเริ่มต้นไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของชาวอเมริกัน ทรัมป์ซึ่งมีแนวทางต่อต้านผู้อพยพอย่างเด็ดขาดจึงถูกวิจารณ์ว่าหาประโยชน์จากเรื่องนี้ ขณะที่เดโมแครตก็ยังมีจุดอ่อนเรื่องความมั่นคง

พรรคเดโมแครตน่าจะได้รับชัยชนะในการสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งต้องรักษา 10 ที่นั่งในรัฐที่ทรัมป์ได้คะแนนมาก 2 เท่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016

“ผมมั่นใจว่าพรรคเดโมแครตจะได้ที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาผู้แทน” เบน เรย์ ลูจัน (Ben Ray Lujan) ประธานกรรมการการหาเสียงสภาคองเกรสของพรรคเดโมแครตให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ขณะที่ทรัมป์ย้ำว่า หากพรรคเดโมแครตได้รับการเลือกตั้งจะทำให้ “พวกสังคมนิยมเข้ามาเทคโอเวอร์ สหรัฐอเมริกา”

เมื่อวันที่ 3 พ.ย.เขาทวีตข้อความว่า หากพรรคเดโมแครตได้ที่นั่งส่วนใหญ่ในสภา พวกเขาจะขึ้นภาษี ออกนโยบายที่ทำให้คนตกงาน ปิดเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ เอาประกันสุขภาพของเราไป ดำเนินการแบบสังคมนิยม และ “ลบ” เส้นพรมแดนของเราออก

หากได้คะแนนเสียงข้างมากในสภา พรรคเดโมแครตจะเริ่มดำเนินการหาทางสอบสวนประธานาธิบดีและรัฐบาลทรัมป์ ในเรื่องการแทรกแซงจากรัสเซีย การใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างผิดวัตถุประสงค์ และการจ่ายเงินปิดปากแก่ผู้หญิงที่กล่าวหาว่าถูกทรัมป์ล่วงละเมิดก่อนที่เขาจะได้รับเลือกตั้ง

ฝ่ายพรรครีพับลิกันประกาศว่าจะลดภาษีมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ได้รับความนิยม เช่น เมดิแคร์ (Medicare) เมดิเคด (Medicaid) และประกันสังคม รวมทั้งยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพในยุคของโอบามาด้วย

ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ หากเดโมแครตชนะในรัฐสวิงโหวตอย่างฟลอริดา โอไฮโอ และวิสคอนซิน ไม่เพียงแต่ทำให้ได้รัฐบาลท้องถิ่นที่ก้าวหน้ากว่าเดิมมาก แต่ยังทำให้พรรคมีส่วนในกระบวนการกำหนดเขตเลือกตั้งใหม่หลังปี 2020

แม้ว่าตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือผู้สมัคร รวมทั้งอดีตประธานาธิดบดีโอบามา แต่ดูเหมือนผู้ควบคุมทิศทางของกระแสที่ออกมาจะเป็นทรัมป์ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 พ.ย. ทรัมป์ปราศรัยที่รัฐอินเดียน่าว่า “การเลือกตั้งกลางเทอมเคยเป็นเรื่องน่าเบื่อ ใครรู้บ้างว่ามันคืออะไร ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องร้อนแรงแล้ว”

ผลการเลือกตั้งก็ยังเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะประเด็นผู้หญิงและความหลากหลายทางเพศ ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตส่วนหนึ่งที่ได้รับเลือกตั้งกลายเป็นบุคคลแรกของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งหลายด้านอย่างน้อย 5 ด้าน 1) อเล็กซานเดรีย ออคาซิโอ-คอร์เตซ (Alexandria Ocasio-Cortez) ผู้หญิงที่อายุ 29 ปี ที่ถือว่าน้อยที่สุดของสมาชิกคองเกรสจากรัฐนิวยอร์ก 2) อายานนา เพรสส์ลีย์ (Ayanna Pressley) สภาผู้แทนราษฎรคนแรกที่เป็นผู้หญิงผิวดำของรัฐแมสซาชูเซตส์ 3) ราชิดา ทลาอิบ (Rashida Tlaib) รัฐมิชิแกน และ อิลฮาน โอมาร์ (Ilhan Omar) ผู้หญิงมุสลิมสองคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาคองเกรส 4) จาเรด โพลิส (Jared Polis) ผู้ว่าการรัฐโคโรลาโดคนแรกที่เปิดเผยว่าตนเองเป็นเกย์ 5)  ชาริซ เดวิดส์ (Sharice Davids) รัฐแคนซัส และ เด็บ ฮาแลนด์ (Deb Haaland) รัฐนิวเม็กซิโก เป็นผู้หญิงชนพื้นเมืองอเมริกาสองคนแรก

ที่มา:

https://www.theguardian.com/us-news/2018/nov/06/midterm-elections-2018-exit-polls-voters?CMP

https://www.theguardian.com/us-news/ng-interactive/2018/nov/06/midterm-elections-2018-live-results-latest-winners-and-seats

https://www.businessinsider.com/2018-midterm-election-records-early-voting-women-lgbt-candidates-2018-11

https://www.npr.org/2018/10/18/658255884/voter-turnout-could-hit-50-year-record-for-midterm-elections

https://www.theguardian.com/us-news/2018/nov/06/midterms-2018-first-history-making-election-wins

เครดิตภาพ: Joseph PREZIOSO / AFP