(บทความนี้มีเนื้อหารุนแรง อาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้อ่านทุกคน)
ศพชายไม่ทราบสัญชาติ ลอยมาติดริมฝั่งโขง ช่วงหน้าวัดหัวเวียง เขตอำเภอธาตุพนม ตรวจพบว่าสภาพศพถูกห่อมัดด้วยกระสอบป่าน 2-3 ใบเย็บติดกัน สภาพใบหน้าเละจากการถูกทุบตีจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ลำคอถูกเชือกไนล่อนรัดไว้ ส่วนบริเวณท้องถูกคว้าน และถูกยัดด้วยแท่งปูนคล้ายเสาปัก ใช้เชือกมัดติดกับแผ่นหลังเพื่อถ่วงน้ำ…
นั่นคือหนึ่งในสองศพที่ถูกพบบริเวณแม่น้ำโขงหลังจากถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดโดยการ รัดคอ คว้านท้องศพ ยัดปูน ถ่วงน้ำ (1) จนกลายเป็นข่าวดังเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่แจ้งผลตรวจดีเอ็นเอจากสองศพที่พบในภายหลังว่า ผู้เสียชีวิตทั้งสองคือ สหายกาสะลอง และสหายภูชนะ (นามแฝง) คนสนิทของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ภายหลังการรัฐประหารของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557
ลักษณะการฆาตกรรมคล้ายกันนี้เคยมีการสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกับนายหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ หรือหะยีสุหลง โต๊ะมีนา โต๊ะอิหม่ามที่มีชื่อเสียงในอดีต และเป็นผู้นำและปัญญาชนของชาวไทยมุสลิมโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับการเมืองและความขัดแย้งในพื้นที่ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร ปลายปี 2490 เกิดการรัฐประหารขึ้น และมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลมาเป็นขั้วของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างจากขั้วอำนาจเดิม ทำให้ ‘หะยีสุหลง’ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นกบฏ จนในที่สุดต้องโทษจำคุกในข้อหาปลุกระดมและก่อการกบฏเพื่อแบ่งแยกดินแดนเป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน
เมื่อพ้นโทษออกมา หะยีสุหลงยังถูกคุกคามจากอำนาจฝ่ายรัฐ จนกระทั่งเช้าของวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2497 ภายหลังเสร็จจากละหมาด หะยีสุหลง พร้อมนายอาหมัด โต๊ะมีนา-บุตรชายคนโต และพรรคพวกอีกสองคน หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ในปี 2500 เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนขั้วอีกครั้งมาเป็นยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมา จึงสืบสวนใหม่ และได้ข้อสันนิษฐานว่า ผู้หายสาบสูญไปนั้นถูกเชือกรัดคอ คว้านท้องศพ และอำพรางด้วยการนำศพทั้งหมดไปผูกไว้กับแท่งซีเมนต์ในทะเลสาบสงขลา ใกล้กับเกาะหนู เกาะแมว แต่เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมาหลายปีแล้ว ทำให้ไม่พบศพหรือเศษซากใดๆ อีกแล้ว
เกี่ยวข้องกับน้ำ ยังมีวิธีการทรมานเชลย นักโทษ หรือแม้กระทั่งผู้ต้องสงสัย ที่เรียกว่า Waterboarding (2) หรือกรอกน้ำ มีหลักฐานปรากฏในยุคมืดที่มีการล่าแม่มดและทรมานเพื่อให้ยอมรับสารภาพ โดยจับกรอกน้ำเข้าปากจนทนการสำลักน้ำไม่ได้
การกรอกน้ำยังเป็นหนึ่งในหลายวิธีและเทคนิคที่ซีไอเอใช้ทรมานนักโทษเช่นกัน คาลิด ชีค โมอัมเหม็ด (Khalid Sheikh Mohammed) ผู้ต้องสงสัยคดีก่อการร้าย 9/11 เคยถูกทรมานด้วยวิธีการนี้ เจ้าหน้าที่จับเขานอนหงายกับพื้นกระดานและมัดตัวเขาไว้ จากนั้นราดน้ำลงบนใบหน้าเขาแบบไม่ยั้ง ตั้งแต่ตอนเที่ยงของวันที่ 12 มีนาคม 2546 ถึงตอนเช้าของอีกวัน รวมทั้งสิ้น 65 ครั้ง ส่งผลให้เขาสำลักน้ำ เกิดอาการหลอน คลุ้มคลั่ง และไม่สามารถสื่อสารอะไรได้ เจ้าหน้าที่จึงมีคำสั่งยกเลิกการทรมานแบบนี้ ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติลงมติให้การทรมานวิธีนี้หรือวิธีไหนๆ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ตรงข้ามกับโดนัลด์ ทรัมป์ที่ยังเห็นดีเห็นงาม เรียกร้องให้นำวิธี Waterboarding กลับมาใช้อีกครั้ง ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งในโอไฮโอ เขาเคยกล่าวว่า “ผมชอบวิธีนี้มาก ผมไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป”
หากย้อนกลับไปในอดีตกาล การเสียบประจาน (3) เป็นวิธีการทรมานที่เราอาจไม่เชื่อว่าจะมีเกิดขึ้นในโลก แต่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในยุคศตวรรษที่ 15 และเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในประเทศโรมาเนีย โดยใช้ไม้ด้ามยาว ปลายไม่แหลม แทงเข้าทางรูทวาร เมื่อด้ามไม้เสียดแทงเข้าไปลึกพอ ก็จะทำการยกด้ามไม้ขึ้นตั้งฉากกับพื้น ด้วยน้ำหนักตัวของเหยื่อจะทำให้ด้ามไม้ค่อยๆ เสียดแทงลึกเข้าไปทำลายอวัยวะภายใน เป็นความตายที่เชื่องช้าและทรมาน ใช้เวลานับชั่วโมงหรืออาจจะทั้งวันกว่าจะจบสิ้น
ในยุโรป การขังมนุษย์ไว้กับหนูอย่างเดียวก็น่าจะเรียกว่าเป็นการทรมานแล้ว แต่ยุคกลาง การใช้หนูเป็นเครื่องมือ (4) ดูจะโหดร้ายกว่า โดยทำกรงครอบและมัดติดกับมนุษย์ แล้วจับหนูใส่เข้าไป จากนั้นสุมความร้อนบริเวณรอบกรง โดยสัญชาตญาณของสัตว์จะพยายามหนีจากความร้อน มันก็จะวิ่งพล่านไปบนหน้าท้อง ตะกุยตะกายด้วยเล็บที่แหลมคมเพื่อมุดหนีเข้าไปในตัวคน ผลที่ตามมานั้นน่าขยะแขยงและสยดสยอง
การฉีกเต้านม (5) ก็เป็นวิธีทรมานที่ถูกนำมาใช้บ่อยในยุคกลาง อุปกรณ์เครื่องฉีกทำจากเหล็กคล้ายคีมสำหรับคีบและดึงรั้งเต้านม การทรมานเริ่มที่การนำอุปกรณ์เครื่องฉีกไปทำให้เย็นจัดหรือร้อนจัด แล้วนำไปคีบและดึงรั้งเต้านม อุปกรณ์เดียวกันนี้สามารถใช้ทรมานผู้ชายได้เช่นกัน แต่ใช้กับองคชาติและถุงอัณฑะ
การทรมานทางด้านจิตใจก็มีใช้กันในยุคกลางเหมือนกัน เรียกเป็นภาษาละตินว่า Camera Silens (6) แปลว่า ‘ห้องเงียบ’ ห้องที่ใช้สำหรับทรมานเป็นห้องปิดทึบ ปราศจากแสงสว่าง เอาไว้ขังผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยไม่ต้องซ้อมหรือทุบตี วิธีการทรมานนี้จะมีต่อสภาพจิตใจ ทำให้เกิดอาการหลอนและหวาดกลัว เป็นการทรมานที่น่าจะเบาที่สุดแล้วสำหรับยุคโบราณ
Stoning (7) บทลงโทษด้วยการขว้างด้วยหินจนตาย เป็นอีกวิธีที่ทรมาน แต่สำหรับสังคมในประเทศอาหรับทั้งหลายถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ใช่กฎหมายที่เพิ่งบัญญัติขึ้น แต่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่รับรู้กันว่า ศาสนาอิสลามเคร่งครัดในเรื่องการผิดประเวณีมาก
แต่การลงโทษสถานหนักเช่นนี้ จะต้องผ่านการยืนยันโทษจากพยานจำนวน 4 คน ซึ่งต้องเป็นชายมุสลิมที่มีความเที่ยงธรรม ไม่ใช่ว่าใครจะมากล่าวโทษใครกันได้ง่ายๆ และตามหลักศาสนาแล้ว กรณีการพิพากษาโทษประหารชีวิต จะต้องกระทำโดยผู้พิพากษาเท่านั้น
การลงโทษทุกครั้งจะกระทำต่อหน้าผู้คนโดยเปิดเผย และไม่ให้ลงโทษในมัสยิดสถาน การลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน ให้ใช้ก้อนหินขนาดพอดีมือ ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป และต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจ (อิหม่าม) เท่านั้น และเมื่อผู้ถูกลงโทษเสียชีวิตแล้ว ให้จัดการศพตามปกติ คือ อาบน้ำศพ ห่อศพ ละหมาด และนำไปฝัง
อีกวิธีหนึ่งที่สังคมไทยมักคุ้นพอๆ กับการปาหินใส่นักโทษ นั่นคือ การเผานั่งยาง (8) ที่เคยกลายเป็นข่าวโด่งดังเมื่อช่วงกลางปี 2559 หลังจากมีการพบกองเถ้ากระดูกมนุษย์และร่องรอยเศษยางรถยนต์ถูกเผาถึง 23 จุดในบริเวณป่าเชิงเขาบ้านคำบอน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ที่เรียกกันว่า ‘สุสานเผานั่งยาง’
อินทรชัย พาณิชกุล-อดีตนักข่าวค่ายโพสต์ทูเดย์ เคยเขียนบทความจากข่าวดังว่า การเผานั่งยางเป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่รัฐชอบทำกัน สมัยก่อนเวลาจับผู้ต้องสงสัยมารีดข้อมูล ขู่บังคับให้รับสารภาพ เค้นไปซ้อมไปเกิดพลั้งมือทำเขาตาย เลยต้องหาทางทำลายหลักฐาน
ยางรถยนต์เป็นเชื้อเพลิงที่ดี หาง่าย แกะรอยยาก นำไปสวมร่างของผู้ตายเหมือนฮูลาฮูป ศพไหนเพิ่งตายใหม่ๆ จับนั่งได้ เขาเรียกว่า ‘เผานั่งยาง’ ศพไหนตายมานานหลายชั่วโมง ตัวแข็ง จับนั่งไม่ได้ก็จับนอน เรียกว่า ‘เผานอนยาง’ เสร็จแล้วเอาน้ำมันราด จุดไฟ ยางจะลุกไหม้ไปเรื่อยๆ จนเหลือแต่เถ้าถ่าน…
ความตายเป็นสิ่งน่ากลัว และเมื่อใดที่ความตายเคลื่อนเงามารอที่เบื้องหน้า ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะสามารถปล่อยวางหรือปลงกันได้ง่ายๆ สิ่งที่พอทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็เพียงภาวนา ขอให้ตนเองตายอย่างไม่ทุกข์ทรมาน เท่านั้นพอ
อ้างอิง:
- https://www.welt.de/politik/ausland/article135213691/Das-sind-die-13-Foltermethoden-der-CIA.html
- https://www.leben-im-mittelalter.net/gesellschaft-im-mittelalter/recht/folter/foltermethoden.html
- https://www.blick.ch/baa/die-20-brutalsten-foltermethoden-der-geschichte-id15113324.html
- http://pra-lad.blogspot.com/2016/03/blog-post_2.html
- https://www.posttoday.com/politic/report/428958