เวลานี้คือช่วงเริ่มนับถอยหลังคอนเสิร์ต ‘PERSES THE FIRST CONCERT ‘INTO THE ALTERLAND’ ของ PERSES ศิลปิน T-Pop จากค่าย G’NEST ในเครือ GMM Music หลังจากที่เดบิวต์มา 3 ปี และช่วงซักซ้อมเตรียมพร้อมขึ้นคอนเสิร์ต
The Momentum มีโอกาสคุยกับสมาชิกทั้ง 5 คน ได้แก่ จั๋ง-วิกร บูรณภิญโญ, เน-ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์, กฤติน สอสูงเนิน, ปาล์ม-พีรวิชญ์ พินธะ และปลั๊กกี้-ธรากร คำสิงห์ เพื่อถามไถ่ถึงเบื้องหลังคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก
การสัมภาษณ์ครั้งนี้ PERSES กล่าวถึงความตั้งใจ ความกังวล และวิธีเติมพลังใจของแต่ละคนก่อนคอนเสิร์ตใหญ่ ตลอดจนบอกเล่าประสบการณ์บนเวทีต่างประเทศ ไปจนถึงอนาคตของ T-Pop ในมุมมองของ PERSES

เน-ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์
ช่วงปีที่ผ่านมาเราได้เห็นคอนเสิร์ตใหญ่ของศิลปิน T-Pop หลายวง แต่สำหรับ PERSES นี่คือคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในรอบ 3 ปี คิดว่าเร็วหรือช้าไปไหม
เน: มันเป็นช่วงที่กำลังดีกับการจะมีคอนเสิร์ต เราค่อยๆ สะสมแฟนคลับ สะสมคาแรกเตอร์ของเรามาจนวันนี้ เหมือนเราก็มีสเต็ปของตัวเองที่ไม่ได้กดดัน ไม่ได้เร่งรีบจนเกินไป
ปลั๊กกี้: ถามว่าเรามีคอนเสิร์ตใหญ่ช้าไหม จริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเรามีช้าขนาดนั้น ตอนนั้นเราเห็นเพื่อนๆ ที่เดบิวต์มาในระยะเวลาเดียวกันมีคอนเสิร์ต เราก็รู้สึกอยากมีนะ แต่เรายังอยากรอให้พร้อมที่สุด ด้วยผลงานเพลงเราในเวลานั้นยังไม่ได้ปล่อยมาเยอะ ก็อยากรอให้คอนเสิร์ตเราร้องเพลงของ PERSES ส่วนใหญ่ ตอนนี้ฐานแฟนเพลงค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน รู้สึกว่าคอนเสิร์ตใหญ่นี้คือ เรากำลังเดินทางถึงจุดหมายแรกของเราแล้ว
ประสบการณ์ที่แฟนๆ จะได้รับในคอนเสิร์ตใหญ่ จะต่างออกไปจากโชว์ปกติอย่างไรบ้าง
กฤติน: มันจะยังเป็นโชว์ปกติของ PERSES ที่ทุกคนเคยเห็น แต่มันจะมีการอัปเกรดไปอีกขั้นอีก เพราะเราเติบโต พัฒนามาในระดับหนึ่ง เหมือนวิวัฒนาการเป็นอีกร่างหนึ่ง เป็นขั้นกว่าของ PERSES ในรูปแบบปกติ ทุกคนน่าจะตะลึงว่า PERSES ทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ มันมีอะไรที่น่าทึ่งแน่นอน
สำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะถึงนี้ แต่ละคนมีความกังวลไหม แล้วกังวลเรื่องอะไรบ้าง
จั๋ง: กังวลมากประมาณหนึ่ง ด้วยภาพรวมคอนเสิร์ตทั้งหมดมันค่อนข้างจัดเต็มจัดหนักมาก ก็รู้สึกกังวลเรื่องเวลา เรื่องจำเนื้อ เพราะเป็นคนจำเนื้อไม่ค่อยเก่ง (หัวเราะ) ถ้าเห็นจากในรายการ CarOke จะมั่วเนื้อตลอด
เน: กังวลสุดๆ เลย ปกติเวลาเราจะโชว์เพลงที่เคยโชว์กันอยู่แล้ว หรือถ้าเพลงใหม่ก็จะมีแค่เพลงเดียว แล้วเราก็จะถูกห่อหุ้มด้วยเพลงที่เราเคยโชว์อยู่แล้ว มันก็จะรู้สึกมั่นใจกับโชว์นั้นๆ แต่ว่าครั้งนี้เรียกว่าใหม่เกือบทั้งหมด อาจจะกลัวว่าพอขึ้นเวทีจะกังวลทั้งเรื่องบล็อกกิง เนื้อเพลง ท่าเต้น หรือผิดคิว ซึ่งมันคงเป็นความสนุกบนเวที เป็นความสดใหม่ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเคลือบไปด้วยความกังวลนิดหน่อย
กฤติน: เรามีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ แล้วบางอย่างไม่เคยทำมาก่อน เลยกังวลว่าจะเป็นอย่างไรนะ แต่สำหรับเรามันมีบางอย่างที่มันน่าสนุก และหลายอย่างที่ต้องปรับตัวเพื่อคอนเสิร์ต ทั้งการดูแลร่างกายตัวเองให้พร้อม เพราะว่าคอนเสิร์ตเน้นไปที่การเพอร์ฟอร์ม มันน่าจะเหนื่อยมาก แต่ก็คงสนุกมากเหมือนกัน อะดรีนาลีนน่าจะพุ่งลืมเหนื่อย
ปลั๊กกี้: รู้สึกว่าน่าสนุกมากกว่ากังวล เห็นภาพในหัวชัดมากว่ามันจะต้องออกมาดีมากๆ เราก็ตื่นเต้นไปกับมัน ความรู้สึกอาจไม่ได้พร้อมเสมอไป แต่โอกาสมันมาแล้ว เราต้องทำเต็มที่กับโมเมนต์นั้น แล้วก็สนุกสนานไปกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ปาล์ม: ด้วยความที่เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของ PERSES พอมันมาถึงจริงๆ เรากลับรู้สึกว่าเราจะพร้อมอย่างที่เราคิดไว้หรือเปล่านะ เป็นเพราะว่าเราอยากตั้งใจให้คอนเสิร์ตนี้เป็นมาสเตอร์พีซสำหรับเรามากๆ เราเลยรู้สึกกังวลในเรื่องของการเตรียมตัวมากกว่า แต่พอถึงวันจริงคิดว่าพวกเราทั้ง 5 คน คงเต็มที่อย่างแน่นอน ถึงแม้มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่วันนั้นมันคงเป็นวันสำคัญ แล้วเป็นวันที่ดีในความทรงจำของพวกเราแน่นอน

ปาล์ม-พีรวิชญ์ พินธะ
การเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่อาจทำให้เหนื่อยล้า แต่ละคนมีวิธีการเติมพลังอย่างไร
กฤติน: ช่วงนี้คิดบวกมากขึ้น อะไรที่เรากำลังจะแพ้เสียงในหัว เราก็สลัดทิ้งไป กลับมาแฮปปี้มากขึ้น ตอนเช้าตั้งแต่ตื่นมาก็จะเปิดผ้าม่านรับแสงก่อนเลย ไม่จับโทรศัพท์ เพราะบางทีเล่นโซเชียลฯ ตอนเช้าก็อาจเปิดไปเจออะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ไปทั้งวันได้
เน: ของเราเพิ่งมาค้นพบการวิ่งตอนเช้า พอได้ตื่นเช้าแล้วรู้สึกว่ามีเวลาไปทำอย่างอื่นต่อ แล้วพอไปวิ่งก็ได้ไปเจอกับคนอื่นที่เขาอยู่ในเมืองเดียวกับเรา อยู่ในสังคมใกล้ๆ กับเรา แล้วเราก็กำลังไปวิ่งด้วยกันอยู่ ได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยด้วย ได้ทบทวนตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะตอนวิ่งมันเล่นโทรศัพท์ไม่ได้
จั๋ง: จริงๆ คล้ายเน ก่อนนอนจะคิดไว้ว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเราตื่นมาทำภารกิจตอนเช้าสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นไปฟิตเนส หรือตื่นไปวิ่งก็จะเติมพลังได้ทั้งวัน แล้วก็นั่งฟังเพลงด้วย
ปลั๊กกี้: การเติมพลังคือการใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ ไม่มีตารางอะไรเลย ไม่กำหนดว่าตัวเองต้องทำอะไร เป็นแมงกะพรุนล่องลอยไปเรื่อยๆ ในเวลา 24 ชั่วโมงของวันนั้น แต่ถ้าเพื่อนโทรมาก็ออกไปข้างนอกด้วยกันได้
ปาล์ม: เติมแมวครับ พอดีเพิ่งไปรับแมวมาเลี้ยงอีกตัวหนึ่ง อยากกลับไปหาแมวแล้วตอนนี้ (หัวเราะ)

ปลั๊กกี้-ธรากร คำสิงห์
ก่อนจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในไทย PERSES ได้ไปแสดงโชว์ในต่างประเทศหลายประเทศ ประสบการณ์จากคอนเสิร์ตต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง
ปลั๊กกี้: มันเป็นประสบการณ์ที่ได้เข้าถึงทุกคน เพราะว่าเวลาไปต่างประเทศ มันจะมีกำแพงภาษา แล้วบางคนอาจไม่ได้รู้จักเรา หรือรู้จักแต่ยังไม่ได้เปิดใจ เขาอาจมารอดูคนอื่นในงาน หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ได้มาเพื่อดูเรา แต่สิ่งที่เราทำตอนนั้นคือทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับโชว์ของพวกเรา เพราะไม่ว่าจะเป็นที่ไหนที่เราไป พวกเราก็จะบอกตลอดว่าทำให้เต็มที่ ไม่ต้องกลัว แล้วพอลงมาหลังเวทีก็ได้รับฟีดแบ็กดีๆ กลับมาตลอด
ปาล์ม: แต่ละสถานที่ คนดูก็จะมีเนเจอร์ที่แตกต่างกัน บางที่คนดูก็อาจจะนิ่งๆ แต่เขาก็ยังโบกมือไปด้วยกันกับเรา หรือว่าบางประเทศเขาก็จะลุกขึ้นมาเต้นด้วย ถึงแม้บางทีเขาอาจจะไม่รู้จักเพลงเรา แต่เขาสนุกไปกับเพลง ส่วนใหญ่เป็นทุกประเทศเลย รู้สึกว่าเป็นอะไรใหม่ๆ ที่เราได้เจอ เป็นประสบการณ์ที่ดี และได้ลุ้นว่าแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรบ้าง

จั๋ง-วิกร บูรณภิญโญ
เนื่องจากได้เดินทางไปคอนเสิร์ตหลายประเทศ เห็นภาพไหมว่า T-Pop ทั้งวงการสามารถไปได้ไกลอีกแค่ไหน หรือไปไกลมากกว่าเอเชียได้ไหม
จั๋ง: การที่เราเริ่มเห็นศิลปินไทย T-Pop ออกไปโชว์ต่างประเทศเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย โซนอเมริกา หรือยุโรป ตลาดตอนนี้มันค่อนข้างเปิดกว้างขึ้นเยอะมาก แล้ว T-Pop เริ่มมีสีสันใหม่ๆ ที่คนเขายังไม่เคยเจอ ทั้งความมีชีวิตชีวาแบบคนไทย เพราะฉะนั้นคิดว่ามันมีศักยภาพที่จะสามารถโตขึ้นได้อีกเยอะมาก รวมถึงศิลปินรุ่นใหม่ก็เก่งมาก ทั้งคนที่เดบิวต์แล้ว หรือคนที่กำลังเตรียมตัวอยู่ รู้สึกว่ามีทางไปอีกเยอะเลย
เนื่องจากรอคอยคอนเสิร์ตใหญ่มา 3 ปี เมื่อทำมันสำเร็จแล้ว คิดว่าหลังจากนี้ PERSES จะเติบโตไปอย่างไร วงจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม
จั๋ง: เราน่าจะมีมุมมองในการเพอร์ฟอร์มที่โตขึ้น เพราะด้วยความที่เราได้ไปงานใหญ่ๆ กันในต่างประเทศ หรืองานโชว์อีเวนต์ใหญ่ๆ ทุกคนจะได้ฟีดแบ็กที่คล้ายกันว่าเรามีทัศนคติในการโชว์ต่างไปจากเดิมเยอะมาก รวมไปถึงความมั่นใจในตัวเองน่าจะเพิ่มขึ้นด้วยระหว่างคอนเสิร์ตใหญ่ และ PERSES จะอ้วนขึ้น เพราะหลังจากคอนเสิร์ตใหญ่นี้จะได้พักร้อน (หัวเราะ)

กฤติน สอสูงเนิน
บางคนอาจเคยฟังเพลงแล้ว แต่ไม่รู้จัก PERSES หรือบางคนรู้ว่ามีวงชื่อ PERSES แต่ไม่รู้จักสมาชิกวง แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาของศิลปินหลายวง แต่สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกน้อยใจหรือคิดมากหรือไม่
กฤติน: ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงน้อยใจนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เพราะมันแล้วแต่ความชอบว่าเพลงไหนจะเจาะเข้าไปในใจจนทำให้เรารู้สึกอยากรู้จักศิลปิน เราเองก็เป็นตอนฟังศิลปินคนอื่น ไม่ใช่ว่าศิลปินไม่เก่ง แต่ว่าอาจจะยังไม่ใช่ทาง ยังไม่ใช่ความชอบของเรา คนเรามีรสนิยมฟังเพลงไม่เหมือนกัน มันเลยปกติมาก
ปลั๊กกี้: ไม่นอยเหมือนกัน เพราะรู้สึกถูกแล้ว เราเป็นศิลปิน และสิ่งที่เราทำออกมามันคือเพลง ถ้าเขารู้จักเพลง นั่นแปลว่าเพลงเรากำลังทำงานแล้ว เพลงมันคือผลงานชิ้นหลักที่ศิลปินทำออกมาให้จับใจคนก่อน แล้วคนอาจจะมาค้นหาตัวตนของเราต่อ อย่างช่วงแรกๆ ที่เพลงน่ารักน้อยลงหน่อย เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น แต่คนก็ยังไม่ได้รู้จัก PERSES ว่าเป็นใคร เราอาจจะมีความน่าค้นหามากขึ้น และคนก็ผูกพันกับเราโดยไม่รู้ตัวเพราะเขาได้ใช้ความพยายามที่จะค้นหาเรา
ปาล์ม: คิดว่าเพลงเป็นอีกช่องทาง นำทางมาให้คนรู้จักเราอย่างที่ปลั๊กกี้บอก พอเพลงมันทำงาน คนที่ชอบเพลงเขาก็จะเริ่มหาแล้วว่าคนไหนเขาร้องเพลงนี้นะ แล้วก็จะตามมาดูโชว์เรา ติดตามกันไปเรื่อยๆ จนเป็น PIECES ของเรา
จั๋ง: สำหรับเราดีใจ ไม่นอยด้วย เพราะว่าตอนแรกที่มาเป็นศิลปินก็มีความคิดแบบนี้เลย แต่ว่าไม่เคยโดนถาม เราคิดว่าไม่ต้องรู้จักเราก็ได้ รู้จักแค่เพลงก็ได้ ในฐานะศิลปินคนทำเพลงรู้สึกว่าผลงานที่เราทำออกไป มันส่งไปถึงคนฟังแล้ว มันมีความสุขที่สุดเลย
เน: เหมือนเพื่อนเลย (หัวเราะ)
คนที่อ่านบทความนี้อาจรู้จักวง PERSES แต่ไม่รู้จักสมาชิกจั๋ง, เน, กฤติน, ปาล์มและปลั๊กกี้ ถ้าอยากให้คนรู้จักหรือเข้าใจเรามากขึ้นจากบทความนี้ แต่ละคนมีประโยคที่อยากพรีเซนต์ตัวเองอย่างไร
จั๋ง: อยากให้คนรู้จักในพาร์ตของความกล้าลอง ไม่กลัวที่จะคว้าโอกาสหรือได้ลองอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยลองมาก่อน พยายามเปิดโอกาสให้ตัวเองตลอด อยากให้มองว่าเราเป็นคนที่พยายามมากกับทุกอย่าง เป็นคนที่ให้เกียรติความพยายามของคนอื่นมากด้วย
กฤติน: สำหรับเราคือเป็นคนกล้าพูดครับ เป็นคนจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง
ปาล์ม: เราคิดว่าของเราคือเชื่อในตัวเอง เชื่อใจของตัวเอง และอยากบอกด้วยว่าให้รักตัวเองมากๆ อย่าไปสนใจคนอื่นเยอะ
ปลั๊กกี้: สำหรับเรา ถ้ามองครั้งแรกอาจจะเห็นภาพลักษณ์ที่น่ารัก สมมติเปรียบเทียบเป็นชาเขียวจะดูเหมือนหวาน 100% แต่ถ้ารู้จักกันจริงๆ เราคือชาเขียวหวาน 50% ไม่ได้หวานมากและไม่ได้ขมขนาดนั้น
เน: เราเป็นชาเขียวไม่หวานเลย (หัวเราะ) เป็นคนคุยไม่เก่ง แต่ถ้าคุยเรื่องหนังสือกับหนังก็คุยได้ครับ
เดบิวต์มา 3 ปีแล้ว คิดว่าวันที่ดีที่สุดของ PERSES คือเหตุการณ์อะไร
กฤติน: อาจเป็นวันหยุดที่เราได้ไปเที่ยวหลายวันติดกัน คือวันทำงานได้เจอแฟนคลับก็มีความสุขนะ แต่เหมือนอาชีพอื่นที่ต้องการวันผ่อนคลาย พักร่างกาย เยียวยาตัวเอง หรือได้กับการปลอบประโลม มีวันที่เราได้ออกไปปล่อยใจ ไม่เล่นโทรศัพท์ ได้อยู่กับเพื่อน ได้อยู่กับคนที่เรารู้สึกว่าเป็นเซฟโซน เราว่านั่นก็คือช่วงเวลาที่มีความสุขและผ่อนคลายมากที่สุดในช่วงเวลาที่เราเป็นศิลปินมา
เน: ของเราน่าจะเป็นทุกครั้งที่เรากำลังจะปล่อยเพลงใหม่ ซึ่งทุกครั้งที่ปล่อยเพลงใหม่มันจะพาเราไปเจออีกอารมณ์ เจออีกตัวตนหนึ่งที่เราอาจจะยังไม่เคยค้นหาในแต่ละเพลง
จั๋ง: โมเมนต์ที่มีอีเวนต์ที่อยู่กับแฟนคลับ ได้คุยกัน หรือมีการ Hi-Bye รู้สึกว่าชอบโมเมนต์นั้น เพราะว่าเราได้เห็นคนที่สนับสนุนเราด้วยตาเนื้อ รู้สึกว่ามันเติมเต็มเรามาก
ปาล์ม: คงเป็นวันที่มีพรีเซนเตอร์อันแรก เราทำงานอย่างเต็มที่มาตลอดแล้ววันนี้มีคนที่เห็นค่าเราแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นอีกเครื่องยืนยันว่ามีคนรู้จักเราเยอะแล้วนะ แบรนด์จึงสนใจเรา เลยรู้สึกว่าวันนั้นเรามีค่าในตัวเองมากๆ อย่างบอกไม่ถูก
ปลั๊กกี้: จริงๆ คล้ายทุกคน แต่วันที่ภาพชัดสุดคือวันเดบิวต์ เพราะว่าตัวเราก็สู้ชีวิตมานานเหมือนกันกับเส้นทางนี้ มีคนที่เขารอดูอยู่ แล้วก็คาดหวังว่าเราไปทำอะไรอยู่ตั้งนาน พอวันที่ได้เดบิวต์ก็เหมือนได้ประสบความสำเร็จ ทำให้ทุกคนเห็นว่าเราทำได้แล้วจริงๆ
สมมติว่าในอนาคต กระแสของ T-Pop อาจซบเซาจืดจางลงไป หรือในวันหนึ่งที่เราไม่ได้อยู่ตรงนี้ อยากให้คนจดจำ PERSES ว่าอย่างไร
จั๋ง: ตำนาน (หัวเราะ) อยากให้จดจำในฐานะศิลปินที่เพอร์ฟอร์แมนซ์ดี จดจำในฐานะศิลปินคนหนึ่งที่ตั้งใจสร้างผลงานเพื่อความฝันตัวเองด้วย แล้วก็เพื่อทำให้กลุ่มแฟนคลับของเรามีความสุขที่สุด
กฤติน: น่าจะไม่มีวงไหนเหมือน PERSES แล้ว เราว่ามันยากมากที่คน 5 คนแบบนี้มันจะมารวมกัน เป็นอะไรที่มันไม่เข้ากันเลย
จั๋ง: มันเป็นฟาร์มเปิดมากเลย
กฤติน: ใช่ มันยากมาก แล้วมันก็ใช้เวลาปรับจูนกันยาก ก็อยากให้เป็นภาพจำว่าแบบนี้คือ PERSES มีแค่วงเดียว ไม่มีวงไหนมาทับไลน์ได้อีกแล้ว
ปลั๊กกี้: เราจะคล้ายพี่จั๋ง เราเคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่อยากเป็นศิลปินมาก่อน ตอนเด็กก็มีศิลปินที่เราชื่นชม เราก็อยากให้ PERSES เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจ หรือเป็นภาพที่เขาเห็นแล้วคิดว่าจะต้องเป็นแบบนี้ให้
ปาล์ม: อยากให้เห็นถึงหนุ่มน้อย 5 คน ที่วันหนึ่งมารวมตัวกันเพื่อทำตามความฝันของตัวเองด้วยความพยายามของตัวเอง คือเราเริ่มต้นจากที่ไม่มีใครรู้จักเราเลย จนวันนี้เราเติบโตกันมามาก เพราะความพยายามของเรา ก็อยากให้คนเห็นถึงความพยายามของพวกเรา แล้วก็อาจส่งต่อถึงรุ่นหลังๆ ว่า ถ้าทุกคนพยายามและเต็มที่กับตัวเอง ทุกคนก็จะประสบความสำเร็จสักวันหนึ่ง
ทิ้งท้ายกับแฟนคลับที่รอคอนเสิร์ต
เน: คอนเสิร์ตครั้งนี้ของ PERSES เป็นเหมือนไมล์สโตนที่น่าจดจำของทั้ง PERSES และ PIECES ทุกคน เพราะทั้งพวกเราและทีมงานตั้งใจทำกันมากๆ เต็มที่ที่สุด ก็อยากให้คอนเสิร์ตครั้งนี้ของพวกเราเป็นหนึ่งในความทรงจำของ PIECES ทุกคนครับ
ปาล์ม: อยากให้มารวมตัวกันครับ มาสนุกไปด้วยกัน เพราะว่ามันเป็นอีกหนึ่งการเดินทางของพวกเรา อาจจะเป็นก้าวที่เพิ่งเริ่มต้นก็อยากให้ทุกคนมาร่วมจับมือแล้วก้าวไปด้วยกัน เพื่อทำตามความฝันของเราให้มันประสบความสำเร็จที่สุด
ปลั๊กกี้: อยากเสริมว่าวันนั้น PERSES เต็มที่มากแน่นอน อยากให้ทุกคนรักษาเสียงตัวเองไว้ให้ดี เพราะว่าวันนั้นขอให้กลับไปแล้วเสียงแหบ ขอให้เต็มที่ในส่วนของทุกคนเหมือนกัน แล้วก็เชื่อว่าวันนั้นทุกคนจะต้องสนุกไปด้วยกันแน่นอน
จั๋ง: ฝากถึงคนดูว่าเตรียมร่างกายให้พร้อม พวกเรา PERSES จะบอกว่าเวลาโชว์ เราจะบังคับให้ทุกคนเต้นด้วยครับ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น วอร์มร่างกายดีๆ เตรียมมาฟังลิสต์เพลงเจ๋งๆ ได้เลย รวมถึงการเรียบเรียงต่างๆ และเพลง PERSES ก็มีเพลงที่เราโปรดิวซ์เองด้วย อยากให้ดูเวอร์ชันไลฟ์เจ๋งๆ ในคอนเสิร์ต
กฤติน: เจอกันครับ
บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบันทึกการเดินทางของ PERSES ในช่วงประกาศคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก อย่างไรก็ตามหวังว่า PIECES จะรู้สึกอิ่มเอมไปกับคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์ที่สมาชิกวง PERSES ตั้งใจส่งมอบความรักและความสนุกให้กับแฟนทุกคน
Tags: T-POP, PERSES, G’NEST, GMM MUSIC, PERSES Into The Alterland, จั๋ง วิกร บูรณภิญโญ, เน ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์, กฤติน สอสูงเนิน, ปาล์ม พีรวิชญ์ พินธะ, The Frame, ปลั๊กกี้ ธรากร คำสิงห์




