บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันฉายภาพยนตร์เรื่องลักกันวันตาย ใน Netflix ดังนั้นบทความนี้จึงไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์
สำหรับภาพยนตร์แนวทริลเลอร์-ดราม่าเรื่องลักกันวันตาย เป็นผลงานล่าสุดของ ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีผลงานดังหลายเรื่อง เช่น คิดถึงวิทยา (2557), หนีตามกาลิเลโอ (2552), Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (2549) และซีรีส์ทีมรักนักหลอก (Analog Squad) ที่ได้ร่วมงานกับ Netflix เมื่อปี 2566
หากดูจากตัวอย่างภาพยนตร์ลักกันวันตาย จะพบนักแสดงนำอย่าง เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ รับบทเป็น โต และริว-วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล รับบทเป็น เพชร ทั้งคู่เป็นพนักงานธนาคารที่พยายามยักยอกเงินออกจากบัญชีไม่เคลื่อนไหว หลายคนอาจมองว่า นี่เป็นหนังอาชญากรรมขโมยเงิน หากแต่ต้นบอกว่า แก่นแท้ของหนังคือครอบครัว ด้วยเหตุของการโจรกรรมคือ โตต้องการทำเพื่ออนาคตลูกสาว
“มันไม่ใช่แค่เรื่องใครขโมยเงินใคร มันเป็นเรื่องของการตั้งคำถามกับชีวิตมากกว่า แล้วเรามองมันในมุมหนังครอบครัว” ต้นกล่าว
และความน่าสนใจคือ ต้นทำหนังที่สะท้อนความสัมพันธ์ในครอบครัวอยู่เสมอ ซึ่งในครั้งนี้เป็นหนังที่ตัวละครหลักเปี่ยมไปด้วยความเป็นพ่อ ที่พร้อมยอมทำผิดเพื่อลูก ต้นเน้นย้ำว่า ตัวเขาเองยังไม่มีลูก และหนังยังสอดแทรกประเด็นของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามาปฏิรูปการทำงานของคนหลายอาชีพ นอกจากนี้ต้นยังเล่าถึงอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องเป็นทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการ รวม 3 บทบาทที่สร้างให้ภาพยนตร์ลักกันวันตายสมบูรณ์
เพราะเงินเป็นเรื่องเซ็กซี
เชื่อว่าหลายคนคงคิดตรงกันว่า หนังหรือซีรีส์ที่เกี่ยวกับอาชญากรรม การปล้น ลักขโมยช่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ดึงดูดให้เราอยากดูรวดเดียวจบ ไม่ว่าจะหนังไทยหรือหนังต่างประเทศก็ตาม เมื่อพูดคุยถึงเรื่องเงิน ต้นกล่าวว่า อาจเป็นเพราะเรื่องเงินมันทั้งเซ็กซีและแฟนซี
“เราว่าเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องเซ็กซี่ในชีวิต หมายถึงว่าใครๆ ก็อยากมีเงิน ก็อยากรวย มันมีแฟนซีบางอย่างที่ให้เราจินตนาการว่าอยากมีสิ่งของในชีวิต ซึ่งเราว่ามันมีตัวกระตุ้นอย่างหนึ่ง ยิ่งสังคมปัจจุบันเป็นสังคมโซเชียลฯ ทุกคนเห็นอะไรในอินเทอร์เน็ตยิ่งขับเคลื่อนความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ พอสังคมสร้างความอยากให้เราแล้ว สิ่งที่จะมาเติมเต็มเราได้คือ เงิน มันเลยทำให้อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องเงินมันทำให้คนรู้สึกสนใจ”
ความเซ็กซี่ของเรื่องเงินนำมาสู่บทสนทนาบนโต๊ะอาหารของต้นกับเพื่อน ซึ่งแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ที่เกิดจากคำว่า ‘บัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว’ เป็นสิ่งที่ต้นพยายามอธิบายให้คนเข้าใจตรงกันก่อน ซึ่งมันคือบัญชีที่ไม่มีรายการเงินเข้า-ออกมาระยะหนึ่ง อาจเป็นบัญชีที่เราเปิดทิ้งไว้แล้วลืมว่ามีอยู่ เป็นบัญชีของชาวต่างชาติที่เคยทำธุรกิจในไทย หรือเป็นบัญชีผู้เสียชีวิตแต่ญาติไม่รู้ว่ามีบัญชีนี้อยู่ โดยทั่วไปทางธนาคารจะส่งจดหมายหรือข้อความแจ้งเตือนว่า บัญชีของคุณไม่เคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานานแล้ว ขอให้เจ้าของบัญชีดำเนินการรักษาบัญชีหรือปิดบัญชี
ซึ่งต้นได้รู้จักคำนี้จากเพื่อนที่ทำงานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตอนที่กินข้าวแล้วคุยกัน เพื่อนของต้นพูดขึ้นมาว่า บัญชีลักษณะนี้มีเยอะมาก และมีคนหรือพนักงานธนาคารพยายามเอาเงินจากบัญชีไม่เคลื่อนไหวออกมาใช้
ถามว่าทำเช่นนี้จะไม่ถูกฟ้องร้องหรือ เพื่อนตอบว่า ถ้าเป็นบัญชีของคนตายที่ไม่มีญาติ อาจไม่มีใครมาฟ้องร้องได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาบทภาพยนตร์ลักกันวันตาย
“มันเกิดคำถามขึ้นมากมายหลังจากบทสนทนานั้นจบ เราว่าสิ่งหนึ่งที่เราสนใจมากที่สุดสำหรับไอเดียนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการขโมยเงินเท่านั้น การขโมยเงินบัญชีคนตายเรารู้สึกว่า มันพิเศษเพราะว่าหนังปล้น หนังขโมยต่างๆ นานาที่เราเคยเห็นมันมีขโมยเงินคนหลายแบบ แต่ขโมยเงินคนตายจากในบัญชีเราไม่เคยเห็น แต่สิ่งที่เราสนใจมากกว่านั้นคือ ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้”
เมื่อได้อ่านถึงที่มาที่ไปของหนัง คงเริ่มรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดูหนังอาชญากรรมสุดเร้าใจบ้างแล้ว ทว่าต้นเล่าว่า เขาทำหนังในมุมหนังครอบครัว เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน รวมถึงครอบครัวของเราเอง เพราะเราอาจไม่รู้ว่าสมาชิกในครอบครัวเรามีบัญชีไม่เคลื่อนไหวที่มีเงินเหลือทิ้งไว้หรือไม่
“เราว่าทุกครอบครัวไม่เคยรู้ว่า พ่อแม่พี่น้องเรามีบัญชีอยู่เท่าไร ที่ไหนบ้าง มีบัญชีไม่เคลื่อนไหวหรือเปล่า เขาไม่เคยเล่า เราก็ไม่เคยถาม แม้กระทั่งตัวเราเอง ถ้าวันหนึ่งตัวเราตายไปแล้วเราก็มีบัญชี แต่ไม่ได้บอกใครไว้ เงินก้อนนี้มันก็เหมือนถูกฝังดินไว้แล้วหายไปเลย เพราะเราว่าเราไม่มีทางใช้เงินหมดจน 0 บาทแล้วก็ตาย
“พอเรามีไอเดียแล้วจะสร้างเรื่องจากบัญชีไม่เคลื่อนไหวของคนตาย เราคิดว่าแล้วใครจะต้องการเงินก้อนนี้ และในชีวิตเราเงินก้อนใหญ่ที่สุดเราใช้มันไปกับอะไร สิ่งที่เราสนใจมันเลยกลายเป็นเรื่องของครอบครัว” ผู้กำกับกล่าว
“ทำให้ดีที่สุดเพื่อลูก”
ลักกันวันตายเริ่มต้นจากเรื่องเงิน แล้วพัฒนามาเป็นหนังเกี่ยวกับครอบครัวในแนวทริลเลอร์-ดราม่า ซึ่งต้นตอบคำถามว่า บทหนังต่อยอดมาในเส้นทางนี้อย่างไร
“จริงๆ เราว่าไอเดียหนังปล้นมันทำได้เป็นร้อยรูปแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสนใจแล้วเราพัฒนามาคือ หนังครอบครัวที่สะท้อนให้เห็นถึงคนในยุคปัจจุบันนี้ หนังพูดถึงคุณพ่อคนหนึ่งที่รักลูกมาก อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก โดยเฉพาะเรื่องพื้นฐานการศึกษา แต่ในปัจจุบันนี้การศึกษามีราคา เพราะอยู่ดีๆ ค่านิยมของคนยุคนี้ต้องเรียนอินเตอร์ เรียนภาษาอังกฤษ นั่นคือโอกาสที่ดีของชีวิต แต่มันเป็นราคาที่สูงเสียเหลือเกิน เราเลยกลับมาตั้งคำถามว่า ถ้าวันหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งที่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเขา แล้วเขาดันไปเจอช่องว่างบางอย่างที่จะช่วยเติมเต็มได้ เขาจะทำไหม เขาจะทำอย่างไร แล้วชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อ”
ผู้กำกับเล่าต่อว่า เคน ธีรเดชที่รับบทเป็นพนักงานธนาคาร เป็นแฟมิลีแมนที่ต้องหาเงินก้อนใหญ่ส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ โดยเงิน 15 ล้านเป็นเพียงค่าเล่าเรียน เพราะยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมาอีกไม่น้อย และต้นเห็นว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ด้วยค่านิยม ที่อยากผลักดันลูกให้เติบโตไปได้ไกลและมีคุณภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ตอนที่เราเขียนบท ค่าเทอม 1 ล้านอาจจะมีแค่ที่เดียว แต่ทุกวันนี้มันมีหลายๆ ที่ที่เกินล้าน มันเกิดขึ้นจริง แล้วหลายคนก็พยายามทำเต็มที่เพื่อหาเงินก้อนนี้จริง เผอิญเราไม่มีลูก แต่เวลาเราคุยกับเพื่อน ญาติพี่น้อง เราคิดเลยว่าถ้าเป็นเรา เราจะหาเงินจากไหน
“เรารู้สึกไปกับเพื่อนๆ พี่น้องเราว่า พวกคุณพลังสูงจริงๆ ต้องต่อสู้ ต้องหาเงิน นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อนตัวละคร ซึ่งเรื่องลูกเรื่องครอบครัวมันเป็นแรงขับเคลื่อนที่แข็งแรงพอ คำว่า ‘ทำให้ดีที่สุดเพื่อลูก’ เราเชื่อว่าเป็นวลีเด็ดที่ไว้ปลอบใจพ่อแม่ทุกคน เพื่อทำอะไรบางอย่างที่ดีที่สุดให้ลูกก็เพราะคำนี้แหละ”
เมื่อการศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญของชีวิต พ่อแม่จึงพยายามวางรากให้มั่นคงและแข็งแรงที่สุด แต่ถึงตรงนี้หลายคนคงตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเรียนอินเตอร์ โรงเรียนนานาชาติ ทำไมพ่อแม่ต้องตะเกียกตะกายเพื่อลูกทั้งที่ตัวเองอาจทำไม่ไหว ในประเด็นนี้ต้นบอกว่า เมื่อดูหนังจบจะเป็นหัวข้อที่น่าสนใจให้พูดคุยกันต่อไป
“ทุกวันนี้หลายคนในชนชั้นกลาง หรือพนักงานทั่วไปบอกว่า ถ้าคุณส่งลูกเรียนอินเตอร์คุณได้สังคมนะ คุณได้ชีวิต เป็นการลงทุนที่ยิ่งใหญ่สำหรับลูกคนหนึ่ง คำถามคือแล้วถ้าคุณเงินไม่พอ ก็ส่งไปเรียนโรงเรียนธรรมดาสิ โรงเรียนเอกชนทั่วไปก็ได้ โรงเรียนรัฐดีๆ ก็มีเยอะแยะ แต่เขาเชื่อว่าอินเตอร์มันดีกว่า เขาก็พยายามที่สุดที่จะให้ของที่ดีที่สุด เราว่ามันคือการติดกับดักค่านิยม เราว่าคำนี้คือสิ่งหนึ่งที่ดูจบแล้วน่าจะได้คุยกัน” เขากล่าว
เคน ธีรเดช กับบทพ่อธรรมดา
โดยปกติเราจะได้เห็นเคน ธีรเดชในชีวิตจริงเป็นคุณพ่อที่อบอุ่นและดูเพียบพร้อมของลูกชาย 2 คน แต่ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นเขาเป็นคุณพ่อที่แสนธรรมดา เมื่อถามว่าทำไมต้องเป็นเคน ธีรเดชที่มารับบทนำ ต้นตอบว่าความเป็นพ่อของเคนคือ สิ่งที่เขาประทับใจอยู่แล้ว และอยากเห็นเคนในแง่มุมใหม่
“เริ่มจากเขียนบทตัวละครตัวนี้ เป็นคุณพ่อที่อารมณ์ดีน่ารัก แฟมิลีแมนคนหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อลูก เราคิดว่าคนนี้มันควรจะเป็นใคร เรานึกถึงพี่เคน เพราะมันเหมาะกับเขา เวลาที่เราเห็นเขาอยู่กับลูก เขาก็เป็นคุณพ่อที่น่ารักมาก อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้เป็นคุณพ่อ แต่เรากลับรู้สึกว่ามุมคุณพ่อของเคนมันดีมาก มันน่าจะมาเติมเต็ม แต่ที่เราสนใจไปมากกว่านั้น คือตัวละครตัวนี้ต้องทำบางอย่างที่ข้ามเส้นไป เรายังไม่เคยเห็นจากเคนในงานอื่น มันมีทั้งมุมที่น่าสนใจในการเห็นเคนในแบบที่เรารู้สึก แล้วก็พาเคนข้ามไปในเส้นที่เราไม่เคยเห็นเขาด้วย เราว่าคนดูก็น่าจะรู้สึกสนุกไปกับตัวละครนี้จากเคน”
เขาเล่าต่อไปว่า เขาพยายามทำให้เคนเป็นตัวแทนของคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นพ่อที่ดี น่ารัก รักครอบครัว ดีทั้งในครอบครัวและสายตาคนทั่วไป แต่กำลังประสบปัญหาในชีวิต
“เคนในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของฮีโร่ เป็นมนุษย์ธรรมดามากๆ เป็นผู้ชายวัย 40 กว่าปีที่ไม่ได้มีแต้มต่ออะไรในชีวิตมากนัก แล้วด้วยความที่เขาไม่ได้มีแต้มต่ออะไรเป็นพิเศษ มันเลยทำให้เขาต้องดิ้นรนมากเพื่อจะได้สิ่งที่พิเศษให้กับลูก ในเมื่อเขาไม่พิเศษ เขาก็อยากให้ลูกเขาพิเศษ เราพูดเองผมยังรู้สึกเลยว่า มันเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ แม้เราจะไม่เคยเป็นพ่อคน แล้วเรารู้สึกว่าอันนี้คือมันสามารถเชื่อมโยงกับคนกลุ่มใหญ่ๆ”
นอกจากนี้ เขายังพูดถึงฉากที่ชื่นชอบในหนัง ซึ่งเป็นฉากที่เคนกับริวต้องแสดงด้วยกัน ถือเป็นฉากที่เป็นหัวใจสำคัญของลักกันวันตาย
“เวลาทำงานเราว่าในแต่ละฉากก็มีความสนใจของมันคนละแบบ แค่การเข้าซีนกันของแต่ละตัวละครมันก็สนุกแล้ว สำหรับเรา เราสึกว่ามนุษย์คุยกันน่าสนใจสุด ซีนที่พี่เคนคุยกับริว หรือโตคุยกับเพชรในหนัง มันเป็นซีนที่ 2 คนนี้ต้องชวนกันทำสิ่งนี้ คือซีนหัวใจที่สุดของหนัง ไม่ต้องพึ่งพาเทคนิคอะไรเลย แค่คุยกันให้เราเชื่อว่า คนดีๆ จะพากันทำเรื่องไม่ดี แปลว่าชีวิตต้องเจออะไรมาบ้าง โมเมนต์นั้นสิ่งที่คุยคืออะไร น้ำเสียงมันอะไร แววตาคืออะไร เคมีที่มันเกิดขึ้นในซีนนั้นต่างหากที่มันน่าสนใจสำหรับเรา เราว่าซีนนี้เป็นซีนที่ซ้อมเยอะมาก ซ้อมบ่อยที่สุด แล้วเราก็บอกเคนกับริวว่านี่คือหัวใจของเรื่อง” กล่าวอย่างภูมิใจ
ย้อนไป 2 ปี ตอนเขียนบทที่ต้องคาดเดาอนาคตของ AI
จากตัวอย่างภาพยนตร์ ตัวละครโตที่เป็นพนักงานธนาคารต้องถูก AI ประเมินว่าทำงานต่ำกว่าเกณฑ์ ส่งผลให้เขาเผชิญวิกฤตในชีวิต ซึ่งสถานการณ์นี้อาจคล้ายคลึงกับหลายอาชีพที่กำลังได้รับผลกระทบจาก AI ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แม้บทหนังจะดูทันสมัย แต่คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าบทเรื่องนี้มาก่อนกาล เพราะต้นได้เขียนบทเรื่องนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นเป็นการทำนายแนวโน้มของ AI และดูเหมือนว่ามันได้กลายเป็นจริงในวันนี้
“วันแรกที่เราเริ่มเขียนบทเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คำว่า AI มันใหม่มาก วันนั้นมันเพิ่งมี ChatGPT วันนี้มันไปถึง ChatGPT5 แล้ว ตอนนั้นมันเริ่มแค่ว่าถามอะไรแล้วมันตอบได้ แล้วมันก็ยังเขียนประโยคง่ายๆ แต่มันยังวิเคราะห์ไม่ได้นะ ตอนนั้นเรายังแซวมันอยู่เลยว่าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ซึ่งเราก็สนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเทคโนโลยี ชอบดูคลิปวิเคราะห์ เราเชื่อว่าจะพัฒนา ตอนเขียนบทเราต้องมองไปยังอนาคตว่า AI จะทำอะไรกับชีวิตเราได้บ้าง ซึ่งตอนนั้นมันก็เป็นจินตนาการ เราก็ไม่มีทางรู้ว่ามันจะพัฒนาไปถึงจุดไหน แต่ก็คิดว่ามันคงมีผลกับชีวิต คือวันนั้นเราก็พยายามจินตนาการแหละ แต่ว่ารู้ว่ามันมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น”
เมื่อ 2 ปีที่แล้วเขาตั้งคำถามว่า สำหรับคนอายุพอๆ กับเขาในวัย 40-45 ปี AI จะมีอิทธิพลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง แล้วจะปรับตัวหรือก้าวเดินในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้อย่างไร
“ตัวละครอย่างโต เขาคือคนในเจเนอเรชันเดียวกับเรา เป็นคนที่เหมือนกับเป็นคนยุคนี้ที่กำลังอยู่ในจุดต้องเปลี่ยนผ่านเพราะ AI มันเริ่มเข้ามามีผลกับเรา ตอนนั้นเราเขียนบทเราเชื่อว่า จะมี AI ตัดสินชีวิตคุณอยู่นะ ซึ่งวันนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยุควันที่คอมพิวเตอร์ตัดสินชะตากรรมคุณแล้ว แล้วถ้าวันนี้คุณไม่สามารถต่อสู้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ ชีวิตคุณจะทำอย่างไร เราว่ามันก็มีคำถามหลายๆ อันที่เราเอามาจากสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น ทั้งการเรียน การศึกษา หรือเทคโนโลยี เป็นองค์ประกอบที่เอาเข้ามาใส่ในงานเรื่องนี้
แม้ AI จะเข้ามากระทบชีวิตคนหลากหลายอาชีพ แต่ดูเหมือนว่าบทบาทของผู้กำกับคนนี้คงไม่ถูก AI แทนที่ง่ายๆ เพราะในหนังเรื่องนี้เขาเป็นคนที่ลงมือทำทั้ง 3 หน้าที่ ทั้งเขียนบท กำกับ และการเป็นโปรดิวเซอร์หรือผู้อำนวยการสร้างที่เพิ่งได้ลองทำเป็นครั้งแรก เป็นมนุษย์ 1 คนที่รับ 3 บทบาท แม้ว่าความต้องการของผู้กำกับกับโปรดิวเซอร์จะขัดแย้งกันไปเสียหน่อยก็ตาม
“เราว่าการตีกับตัวเองเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับเรา ปกติเราเขียนบท กำกับอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เราเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เวลาเราเป็นผู้กำกับเราก็จะต้องได้สิ่งที่เราต้องการทุกอย่าง ผู้กำกับก็จะบอกว่าเพื่อหนัง แพสชันของเราคือทำหนังอย่างไรให้ดีที่สุด แต่หมวกของโปรดิวเซอร์คือถ้าเรามีเงินน้อย มีเงินเท่านี้นะ เราจะบาลานซ์สิ่งนี้อย่างไร
“โปรดิวเซอร์คือการจัดการทั้งหมด เงินก็คือส่วนหนึ่งที่ต้องจัดการ เพียงแต่เราในหมวกของการเป็นผู้กำกับเราไม่เคยต้องคิดสิ่งนี้เลย เมื่อก่อนเรากำกับเราไม่เคยรู้เรื่องเงินเลย แต่โปรดิวเซอร์มันต้องรู้ส่วนอื่นที่ผู้กำกับไม่รู้ด้วย เงื่อนไขที่เราไม่เคยรู้ มันคือการจัดการกองถ่ายในภาพรวมที่เราต้องเข้าใจในทุกปัญหา เราว่ามันก็เป็นบทบาทที่สนุกนะ” ต้นเล่าถึงบทบาทใหม่ในชีวิตที่เขาได้รับ
สุดท้ายนี้หากใครดูภาพยนตร์ลักกันวันตายจบคงเกิดคำถามมากมายขึ้นมาในใจ แต่ก่อนจะไปดูเรื่องนี้ ใครสงสัยว่ามีอะไรต้องรู้เป็นพื้นฐานก่อนดูหนังไหม ต้นทิ้งท้ายถึงข้อแนะนำไว้เล็กน้อยว่า ไม่ต้องรู้อะไรเลยจะดีกว่า
“ลักกันวันตายเป็นหนังครอบครัว เรื่องความสัมพันธ์ของคนทุกชนชั้น ทุกวัย ไม่ใช่แค่คุณพ่อคนหนึ่งที่ต้องการเงิน มันมีวัยอีกวัยหนึ่งที่ต้องการเงินคนละรูปแบบ ทุกวัยเราจะมีความสำคัญของการใช้เงินที่ไม่เท่ากัน สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังมันสามารถเชื่อมโยงกับคนได้ทุกวัย โดยเฉพาะบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว มันเกิดได้ทุกครอบครัว
แต่เอาจริงนะ เป็นครั้งแรกที่เราพยายามจะบอกทุกคนว่า รู้ให้น้อยสุด รู้เท่าที่หนังตัวอย่างบอก แล้วไม่ต้องรู้อะไรอีก ถ้าดูหนังตัวอย่างแล้วรู้สึกสนใจ ชอบประเด็นนี้ ดูจบแล้วช่วยกรุณาลืมหนังตัวอย่างไปด้วย แล้วไปดูเลย สนุกกับมันไปเลยดีกว่า คือเรารู้สึกว่าการรู้จักตัวละครแล้วค่อยๆ เห็นพัฒนาการของเขา แล้วค่อยๆ เห็นชะตากรรมหรือเรื่องราวของเขามันคือ ประสบการณ์ที่เราว่าน่าจะสนุกที่สุดสำหรับการชมภาพยนตร์เรื่องนี้” ต้นกล่าวทิ้งท้ายพร้อมหัวเราะ
Tags: Netflix, The Frame, ต้น นิธิวัฒน์ ธราธร, ลักกันวันตาย, Everybody Loves Me When I'm Dead, เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์