ในวันนี้ อิมเมจ-สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ หรือ Image Suthita ศิลปินจากค่ายสมอลล์รูม (Smallroom) ได้ออกอัลบั้มแรกชื่อว่า Actress ซึ่งน่าจะสร้างความแปลกใจให้หลายคนอยู่ไม่น้อยว่า ทำไมเจ้าของน้ำเสียงที่หลายต่อหลายคนฟังมาหลายปีถึงเพิ่งมีอัลบั้มแรก และหลายคนอาจคงสงสัยต่อว่า แล้วก่อนหน้านี้จนกระทั่งตอนนี้เธอทำอะไรอยู่บ้าง เพราะนอกจากเรื่องงานเพลงแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงอยากทำความรู้จักอิมเมจในแง่มุมอื่นๆ ด้วย

ด้วยเหตุนี้ The Momentum จึงพูดคุยกับอิมเมจถึงที่มาของอัลบั้ม Actress ไปจนถึงชีวิตส่วนตัว ทั้งงานอดิเรกอย่างการตัดเย็บเสื้อผ้า ถ่ายภาพ ออกกำลังกาย และเรื่องอาการป่วยด้วยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome: PCOS) ที่เธออยากแบ่งปันประสบการณ์และสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพให้กับทุกคน

แต่งเพลงจากตัวละครในหนังจนกลายเป็นจุดตั้งต้นของอัลบั้ม Actress

หากถามนักแต่งเพลงหรือเหล่าศิลปินว่า เนื้อหาในเพลงที่พวกเขาเขียนขึ้นมา มีจุดเริ่มต้นมาจากชีวิตจริงหรือเปล่า แน่นอนว่าหลายคนมักตอบว่ามาจากชีวิตจริง ไม่ก็จากเรื่องราวความรักของคนใกล้ตัว เช่นเดียวอิมเมจที่บอกว่า ก่อนหน้านี้เธอจะแต่งเพลงจากประสบการณ์ที่ได้รับฟังมาจากคนสนิท 

“เมื่อก่อนส่วนมากก็แต่งเพลงจากเรื่องใกล้ตัว เรื่องราวที่เพื่อนสนิทหรือใครมาปรึกษา เราก็เอามาแต่งเพิ่มได้ เพราะเป็นเรื่องราวในชีวิตจริง เป็นเรื่องที่เราฟังมาจริงๆ มีประสบการณ์กับมันจริงๆ มันก็จะมีความอินอยู่ในระดับลึก” เธอกล่าว

แต่วิธีการแต่งเพลงของอิมเมจได้มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อโรคโควิด-19 ระบาดจนทำให้ไม่สามารถออกจากบ้านไปหาแรงบันดาลใจ และไม่ได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำงาน เธอจึงหยุดแต่งเพลง แล้วหางานอดิเรกอื่นทำเพื่อฆ่าความเบื่อหน่าย อย่างการปลูกต้นไม้-ดอกไม้ 

“ตอนโควิด-19 ไม่ได้ออกจากบ้าน เหมือนไม่ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ มันเลยตัน ไม่มีเรื่องจะเล่าในการเขียนเพลง เราเลยหยุดแต่งเพลงไปก่อน เพราะมันแต่งไม่ออกแล้ว เลยไปหาอย่างอื่นทำ ไปปลูกต้นไม้ ปลูกดอกทานตะวัน แต่มันก็ตายไป” อิมเมจเล่า

อันที่จริงการที่เธอปลูกดอกไม้แล้วไปไม่รอด อาจไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะมันทำให้อิมเมจได้ค้นพบงานอดิเรกใหม่อย่างการตัดเย็บเสื้อผ้า ที่นำพาให้เธอได้ลงมือเขียนเพลงอีกครั้ง แม้ว่าการเย็บผ้ากับการแต่งเพลงจะดูไม่สัมพันธ์กันเลย แต่มันส่งผลเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด

“พอเลี้ยงดอกไม้แล้วตาย เราก็หางานอดิเรกใหม่ที่มันจะไม่ตาย เลยมาเจอการตัดเย็บเสื้อผ้า ทีนี้ตอนเย็บผ้าเราก็เปิดหนังดูไปด้วยคือ เปลี่ยนจากฟังเพลงมาเป็นดูหนัง ก็ดูเรื่องที่ชอบมากตั้งแต่เด็กคือเรื่อง Harry Potter ดูภาคแรกจนถึงภาค 7 เลย ดูวนไปทุกภาค แล้วอยู่ดีๆ มันก็ได้เพลงขึ้นมาเอง มาจากภาค 6 (Harry Potter and the Half-Blood Prince, 2009) เป็นเพลงแรกที่แต่งได้จากหนังเลย” 

การค้นพบครั้งสำคัญของอิมเมจคือ การที่ได้รู้ว่าตัวเธอสามารถแต่งเพลงจากฉากหนังที่ได้ดูในภาพยนตร์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องราวของคนในชีวิตจริงก็ได้ ดังนั้นเธอจึงดูหนังเรื่องอื่นต่อจนแต่งเพลงได้อีกเรื่อยๆ

“มันต้องเลือกตัวละครก่อน อย่าง Harry Potter ภาค 6 คือเขียนจากตัวละครเดรโก มัลฟอย (Draco Malfoy) ซึ่งมันเป็นภาคที่เขาเจออะไรหนักมาก เราทั้งอ่านหนังสือทั้งดูหนัง มันก็มีความอิน อีกเรื่องคือ Little Women (2019) เราชอบหนังเวอร์ชันที่กำกับโดย เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) ดูหลายรอบมาก คือเพลงมันขึ้นมาเอง เราเขียนจากตัวละคร เอมี มาร์ช (Amy March) เหมือนเราเจอทางใหม่ว่าเรารับบทก็ได้ ไม่ต้องเป็นเรื่องของเราก็ได้ เราฉีกกฎที่เคยสร้างให้กับตัวเองว่า มันต้องเป็นเรื่องที่เราเคยเจอ หรือว่ามีประสบการณ์ร่วมถึงจะเขียนได้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่” อิมเมจกล่าว

จากการเย็บผ้าไป ดูหนังไป ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้อิมเมจอินไปกับชีวิตของตัวละครในภาพยนตร์ จนจุดประกายให้เธอกลับมาแต่งเพลงได้ อีกทั้งยังเป็นที่มาของชื่ออัลบั้ม Actress หรือนักแสดงหญิง ที่เธอจะสวมบทบาทเป็นใครก็ได้เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกไปยังผู้ฟัง แต่น่าเสียดายว่าเพลงที่อิมเมจแต่งขึ้นจากหนังก่อนหน้านี้ ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในอัลบั้มแรกของเธอ

“พอไปเสนอพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์-ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่ายสมอลล์รูม) พี่รุ่งก็บอกว่า คอนเซปต์นี้มันน่าสนใจแต่นักแสดงจริงๆ เขาก็ไม่ได้เขียนบทเองหรือเปล่า ส่วนมากเขาก็จะไปเล่นบทที่คนอื่นเขียนไว้ ถ้าอย่างนั้นเราลองหาคนอื่นมาเขียนบทให้ไหม สรุปว่าอัลบั้ม Actress ทั้ง 10 เพลง ก็ได้นักแต่งเพลง 9 คน โปรดิวเซอร์ 9 คน ไม่ซ้ำกันเลย แล้วก็มีเพลงที่เราแต่งเองเพลงเดียวคือเพลง Actress เหมือนชื่ออัลบั้ม ซึ่งทำเพลงใหม่หมด เพลงที่แต่งจากหนังไม่ได้เอามาใส่เลย” เธอเล่าถึงอัลบั้มแรก

หากนับจำนวนเพลงทั้งหมดของอิมเมจที่ปล่อยออกมาเป็นซิงเกิล ก็มีจำนวนมากพอที่จะรวบรวมได้หนึ่งอัลบั้ม แต่เธอเล่าต่อถึงเหตุผลที่เพิ่งมีอัลบั้มแรกเพราะต้องการให้ทั้งอัลบั้มอยู่ในคอนเซปต์หรือธีมเดียวกัน ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ใช้เวลาทำนานกว่า 2 ปี เพื่อแต่งเพลงใหม่ทั้งหมดให้ตรงกับคอนเซปต์ที่วางไว้

“ในอนาคตเราก็อยากทำอัลบั้มเป็นธีมนะ ชอบ สนุกดี มันเหมือนระหว่างที่เราทำงาน เราก็ได้สวมมายด์เซตว่าอยู่ในธีมนี้นะ” เธอบอกกับเรา

แต่การที่อัลบั้มแรกของอิมเมจเป็นการรวบรวมนักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์คุณภาพเอาไว้ด้วยกัน เราจึงสงสัยว่าแล้วนิยามของอัลบั้มนี้มันเรียกว่าแนวอะไร อิมเมจตอบติดตลกว่า อาจจะเป็นแนวทดลอง เพราะด้วยคอนเซปต์อัลบั้มที่ไม่ได้ร้อยเรียงกันด้วยแนวเพลง แต่เชื่อมโยงกันด้วยคอนเซปต์การแสดง เธอจึงขยายความว่าอัลบั้มนี้ก็เหมือนกับการดูละครเวที

โดยเปิดอัลบั้มด้วยแทร็ก Prologue ความยาว 50 วินาที เสมือนเปิดม่านของโรงละคร ก่อนจะเข้าสู่เพลงถัดๆ ไป ตามลำดับ แต่ความพิเศษคือเพลงใครสักคนนั้น (Somebody) ซึ่งเป็นเพลงก่อนเพลงสุดท้าย โปรดิวซ์โดย ป๊อด-ธนชัย อุชชิน หรือป๊อด โมเดิร์นด็อก

“เพลงนี้ (ใครสักคนนั้น) โปรดิวซ์โดยพี่ป๊อด เหมือนเป็นบทที่ 9 เราตั้งใจไว้วางลำดับนี้ เพราะเพลงมันเรียกว่าน้อยแต่มาก เพราะเครื่องดนตรีมันน้อยชิ้นที่สุด มันเหมือนก่อนหน้านั้นเราฟังมาหลายเพลง ซึ่งทุกเพลงก็จะมีเลเยอร์เยอะ เหมือนเวลาเราจะซื้อน้ำหอมแล้วต้องดมหลายๆ กลิ่น มันก็เริ่มมึนหัว ต้องดมเมล็ดกาแฟเพื่อเคลียร์จมูกก่อนจะดมกลิ่นต่อไป ซึ่งเพลงนี้ก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนเมล็ดกาแฟ ให้เราได้พักโสตประสาท เพื่อที่เราจะได้ไปฟังบทสรุปจากเพลง Actress ที่เป็นเพลงสุดท้าย ปิดอัลบั้ม” อิมเมจอธิบาย

เมื่อพิจารณาจากสกิลการแต่งเพลงจากหนังของเธอ ประกอบกับชื่ออัลบั้ม Actress ไปจนถึงการเปรียบเทียบวิธีฟังเพลงกับละครเวทีทำให้เราสงสัยว่า อิมเมจอยากลองเป็นนักแสดง หรืออยากแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์หรือเปล่า

“แต่งเพลงประกอบหนัง จริงๆ ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ถ้ามีเรื่องราวให้เราอ่าน มีอะไรให้เราจินตนาการต่อ ส่วนการแสดงก็อยากทำ ตอนที่เรียนมัธยมก็อยู่ชมรมดราม่า ตอนที่อยู่มหาลัยก็อยู่ละครเวทีคณะด้วย จริงๆ ชอบนะ ผู้กำกับติดต่อได้นะคะ” เธอฝากตัวกับผู้กำกับพร้อมเสียงหัวเราะ

ทำขนม ตัดเย็บผ้า เรียนเต้น เล่นกีฬา และดูแลสุขภาพ 

ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทุกคนต้องอยู่ในบ้าน จึงไม่แปลกที่หลายคนจะมีงานอดิเรกใหม่ๆ ให้ลองทำแก้เบื่อ แต่เมื่อหมดช่วงล็อกดาวน์ ออกไปเรียน ออกไปทำงานได้ตามปกติ ก็ห่างหายจากการทำงานอดิเรก แต่สำหรับอิมเมจที่ได้เจองานอดิเรกที่ถูกจริตอย่างการตัดเย็บเสื้อผ้า ดูเหมือนว่าเธอจะทำอย่างต่อเนื่องและจริงจังมาจนถึงปัจจุบัน เพราะอย่างชุดน่ารักที่เธอใส่มาวันนี้ก็เป็นชุดที่เธอตัดเย็บเอง

“ตอนหาอะไรทำไปเรื่อย ก็เสิร์ชตลาดออนไลน์ แล้วก็เจอจักรเย็บผ้ามือสอง ซึ่งจริงๆ เราเป็นคนชอบเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ แต่เทรนด์เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วมันไม่วินเทจเลย มันแทบไม่มี ต้องเป็นเสื้อผ้ามือสองเท่านั้น แล้วพอเป็นมือสองไซซ์กับสีมันก็เลือกไม่ได้ เราก็ตัดใส่เองไปเลย แต่ตอนนี้เทรนด์วินเทจมันเริ่มกลับมา เริ่มหาเสื้อผ้าทรงนี้ง่ายขึ้น” อิมเมจเล่า

ก่อนหน้าที่จะมาตัดเย็บเสื้อผ้าเธอบอกว่ามีงานอดิเรกอย่างการถ่ายภาพและทำขนม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำได้ยากในช่วงล็อกดาวน์ เพราะเธอถ่ายภาพทั่วบ้านจนไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้ว หรืออย่างการทำขนมที่ต้องทำคราวละหลายชิ้นตามสูตร แต่ไม่สามารถแบ่งปันอาหารให้คนอื่นได้ ส่งผลให้คนในบ้านต้องกินขนมจนน้ำตาลขึ้นไปตามๆ กัน ด้วยเหตุนี้งานตัดเย็บเสื้อผ้าจึงตอบโจทย์ที่สุดในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป อิมเมจได้กลับมาอะไรที่เธอชอบอีกครั้ง พร้อมกับมีโปรเจกต์มากมายในหัว

“ช่วงนี้มีไลฟ์ทำอาหารด้วย แต่จริงๆ ทำอาหารไม่เป็นนะ ก็เลยไลฟ์ เพราะอยากให้คนดูมาบอกวิธี ก็ได้ความรู้เยอะมาก แล้วจริงๆ ก็อยากลองทำรายการที่ชวนช่างกล้อง ช่างถ่ายภาพมาคุยกันเรื่องกล้อง เรื่องถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโออะไรอย่างนี้ เพราะชอบกล้องเลยอยากทำรายการ แล้วก็อยากเป็นผู้กำกับหนังสั้น เพราะพอชอบถ่ายรูป ก็อยากลองถ่ายวิดีโอดูเหมือนกัน แล้วก็อยากทำอีกหลายอย่าง มีช่วงหนึ่งก็อยากทำเฟอร์นิเจอร์เอง เป็นงานไม้ไปเลย เพราะเราว่าเราชอบงานคราฟต์” เธอบอกถึงสิ่งที่เธออยากลองทำ

ถึงตรงนี้เราหวังว่าอิมเมจจะได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ทุกสิ่งที่เธออยากทำ ซึ่งในวันนี้เราได้เห็นอิมเมจทำกิจกรรมใหม่อย่างการเต้น ที่เธอบอกว่าเพิ่งเคยลองทำเช่นกัน

“จริงๆ เต้นไม่เป็น แต่พอเริ่มทำอัลบั้ม ดูแล้วว่าน่าจะมีเพลงเร็วเยอะ พี่รุ่งเลยเป็นห่วง ถ้าเกิดต้องเพอร์ฟอร์ม มันจะนิ่งไม่ได้ ก็เลยส่งไปเรียนเต้น แต่ถือว่าเริ่มเรียนช้ามาก ปกติคนอื่นเขาเริ่มเรียนตั้งแต่เด็ก มันก็จะไว แต่ว่านี่มาเรียนตอนอายุ 20 กว่าปีแล้ว แต่ก็สนุกดีค่ะ เหมือนได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ขยายคอมฟอร์ตโซน เหมือนได้ออกกำลังกายด้วยนะ” 

อิมเมจเล่าต่อว่า เธอเริ่มออกกำลังกาย เพราะโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยที่เธอเป็นศิษย์เก่าได้จัดงานวิ่งมาราธอนฟันรันระยะทาง 5 กิโลเมตร อิมเมจที่มีวันเกิดวันเดียวกับวันสถาปนาโรงเรียนจึงไม่อยากพลาดกิจกรรมนี้ แต่ก่อนจะลงถนนวิ่งจริงก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย

“พอเริ่มออกกำลังกายเพื่อไปวิ่งครั้งนั้น หลังจากนั้นมันก็รู้สึกโอเคนะ ไม่ได้แย่ เราเลยพยายามออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน วันละ 15 นาที มันทำให้มีพลังงานในการใช้ชีวิตมากขึ้น จากที่เราเปื่อยๆ เอื่อยๆ นอนตื่นเที่ยง นอนดึกมากๆ กลายเป็นปรับชีวิตตัวเอง นอนตื่น 8-9 โมงได้ ตื่นมาออกกำลังกายเลย ดูตาม Youtube เลยไปเรื่อยๆ แบบง่ายๆ ทำวันละ 15 นาทีมันง่ายกว่าที่คิดนะ นี่ทำมา 1 ปีแล้ว เป็นหนึ่งความภูมิใจ เพราะจริงๆ การออกกำลังกายมันยากสุดตอนที่เราคิดว่า เราจะลุกมาทำดีไหม แต่ถ้าถอดสมองก่อน ไม่ต้องคิดแล้วทำไปเลย พอทำจนชินแล้วมันจะไม่อยากเสียสถิตินี้ไป แบบว่าเราจะหยุดจริงๆ เหรอ ทำมา 1 ปีแล้วนะ” 

เมื่อถามว่าตอนนี้เธออินกับกีฬาอะไร เธอตอบว่า ‘แบดมินตัน’

“ชอบชวนเพื่อนไปตีแบด สนุกดี มันลืมเหนื่อยจริงๆ นะ เพราะไปกับเพื่อนด้วย เราโชคดีที่เพื่อนเราไม่มีใครทำงานออฟฟิศเลย แล้วบ้านก็อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ไม่ได้นัดตีแบดทุกครั้งนะ บางทีเราก็จะนัดไปกินชาบูด้วย แต่ถ้าเราไปตีแบดก่อนแล้วไปกินต่อ มันจะกินอร่อยขึ้นนะ” อิมเมจตอบแกมขำ

อีกหนึ่งเหตุผลที่อิมเมจดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะเธอเองก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพที่เป็นแรงจูงใจให้เธอดูแลตัวเองในวัย 26 ปี

“ตอนอายุประมาณ 24 ปี ตรวจเจอว่าเป็นโรคยอดฮิตของผู้หญิงคือ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ประจำเดือนไม่มา ผลข้างเคียงคือสิวขึ้น ผมร่วง ตัวบวมน้ำ ซึ่งตอนนั้นเพื่อนรอบตัวก็เริ่มตรวจเจอเหมือนกัน แล้วก็เริ่มมีคนในอินเทอร์เน็ตที่ตรวจเจอด้วย แล้วมาเล่าประสบการณ์”

เธออธิบายว่า ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบจะไม่หายขาด เพียงแต่สามารถควบคุมอาการได้ ซึ่งต้องมีวินัยในตัวเองด้วย

“สาเหตุไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่ควบคุมอาการได้ แต่เราต้องมีวินัย ต้องทานยาคุมแบบ 1 เดือน ไปเรื่อยๆ ซึ่งบางคนก็จะเจอภาวะแทรกซ้อนจากการกินยาคุม แล้วคนที่บ้านเรามีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมด้วย มันก็ไม่ควรที่จะกินยาคุม เพราะจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม แล้วพอมันกินฮอร์โมนไม่ได้ ก็เลยต้องออกกำลังกาย อันนี้ก็เป็นอีกแรงจูงใจให้ออกกำลังกาย” 

นอกจากนี้ยังเชียร์อัปให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายทีละเล็กทีละน้อย

“จริงๆ การออกกำลังกายมันยาก ต่อให้มีแรงจูงใจก็ยาก แต่ถ้าเราเป็นคนชอบอยู่นิ่งๆ เราต้องพยายามหาแรงจูงใจให้ได้ อย่ารอให้ป่วยก่อน เพราะตอนนั้นที่ร่างกายเรามันป่วยอยู่ แล้วต้องมาออกกำลังกายอีก มันรู้สึกเหนื่อยมากๆ แต่ถ้าร่างกายเรายังปกติดี อยากให้ดูแลเรื่องโพสเจอร์ตัวเอง หรือค่อยๆ ออกกำลังกาย แค่ 5 นาที 7 นาที 10 นาที ค่อยๆ เพิ่มความยาวไปเรื่อยๆ” อิมเมจแนะนำ

Mirror image

ในวันนี้หากพูดชื่ออิมเมจ สุธิตา หลายคนอาจมีมุมมองที่มองเธอแตกต่างกันออกไป หลายคนยังติดภาพเธอในมิติการเมืองจาก Twitter ของเธอเมื่อปี 2560 ทำให้เราสงสัยว่า อิมเมจอยากให้คนจดจำตัวเองแบบไหน

“จดจำแบบไหนก็ได้ จดจำเป็นดนตรี นักร้อง นักแสดง ช่างภาพ ช่างตัดชุด หรือคนทำขนมก็ได้หมดเลย แต่จริงๆ จะบอกว่าการเมืองมันคือทุกอย่างเลย มันแยกจากชีวิตเราไม่ได้ น้ำที่เรากินก็เป็นการเมือง คลื่นอินเทอร์เน็ตที่เราใช้ก็เป็นการเมือง มันอยู่ในชีวิตเราตลอด เพราะฉะนั้นมันจึงไม่แปลกที่เราทุกคนจะมีความเห็นต่อมันได้ แล้วเราก็มีความเห็นไม่ตรงกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเมื่อสังคมเกิดการถกกัน หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะหากทุกคนคิดเห็นเหมือนกัน มันก็จะไม่เกิดมุมมองใหม่ๆ” อิมเมจกล่าว

เราชวนอิมเมจคุยต่อว่า ตอนนี้ตัวอิมเมจมองเห็นปัญหาอะไรในสังคมแล้วอยากสื่อสารออกมาบ้างไหม

“พอเราขับรถมันก็มีปัญหาเรื่องอื่นอยู่ดีนะ ถนนทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมน้ำมันมันแพงจัง แล้วแต่ว่าเราเป็นผู้ใช้งานส่วนไหน แต่โตขึ้นเราไม่ค่อยบ่นแล้ว ก็ปล่อยวางมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเราหมดไฟนะ แต่เราต้องดูแลสุขภาพจิตของเราเหมือนกัน” อิมเมจตอบ

ในช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์เราถามว่า อยากกลับไปแก้ไขอะไรในอดีตไหม อิมเมจบอกว่า เป็นเรื่องสุขภาพที่เธออยากแก้ไข รวมทั้งอยากให้ทุกคนหาสมดุลในชีวิตของตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะการนอนพักผ่อนให้เพียงพอและการกินอาหารที่ดี

“ส่วนตัวแล้วเรารู้สึกว่าเราชิลขึ้นเยอะกับตัวเอง ดูแลตัวเองสำคัญที่สุด เพราะว่าทุกวันนี้ดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เราไปเป็นภาระคนรอบข้าง ดูแลจิตใจตัวเอง เพื่อไม่ให้ส่งพลังงานลบให้คนอื่น คอยเช็คกับตัวเองเรื่อยๆ ว่าวันนี้เราเป็นอย่างไร เราไหวไหม เราโอเคไหม มันก็ท้าทายตัวเองได้ แต่ถ้าถึงคำว่าฝืนก็ต้องพัก อย่าไปกดดันตัวเองมาก ต้องดูแลตัวเองเพื่อคนที่รักจะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วงเรา” อิมเมจทิ้งท้าย

Tags: , , , , , , ,