เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงเคยได้ดูภาพยนตร์ของค่ายหนังอารมณ์ดี GDH กันมาบ้าง ไม่ว่าจะแนวดราม่าที่ทำคนดูเสียน้ำตากันมานักต่อนัก แนวโรแมนติกน่ารักที่พาผู้ชมยิ้มตามตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ไปจนถึงแนวสยองที่ชวนให้ขนลุกขนพองข้ามวันข้ามคืน ทว่าเมื่อพูดถึงหนังจากค่าย GDH ที่ตกคนดูให้ตีตั๋วเข้าไปชมกันได้ตลอดคงหนีไม่พ้น หนังตลกอารมณ์ดี ที่ดูกี่ทีก็ยังคงหัวเราะตามได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง SuckSeed ห่วยขั้นเทพ, เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ และ Friend Zone..ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน
ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่ได้มีแต่ชื่อ GDH เป็นเครื่องหมายการันตีความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีลายเซ็นของ หมู-ชยนพ บุญประกอบ ผู้กำกับหนังตลกผู้ยืนยันว่าตัวเขาไม่ใช่คนตลก ที่ The Momentum อยากชวนผู้อ่านไปทำความรู้จักก่อนดูภาพยนตร์ ซองแดงแต่งผี (The Red Envelope) หนังเรื่องใหม่แกะกล่องของเขา ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า คนดูกำลังจะได้หัวเราะจนท้องแข็งตลอดการชมแน่นอน
นิสิตรั้วชมพู ผู้หมกมุ่นอยู่กับการสร้างหนังจากเรื่องจริง
เวลาผ่านมาเกือบ 14 ปีแล้ว นับจากวันแรกที่คนไทยได้ดูภาพยนตร์ตลกสายดนตรีที่ชวนเราร้องเพลงทุ้มอยู่ในใจทุกครั้งที่มันดังขึ้น อย่างเรื่อง Suckseed ห่วยขั้นเทพ ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยรุ่น 3 คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อการเล่นดนตรี แต่หากจะเล่าถึงที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คงต้องย้อนกลับไปไกลอีกสักนิดถึงชีวิตของนิสิตหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ไม่เคยคิดว่าโปรเจกต์จบของตัวเขา กำลังจะกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในสายอาชีพผู้กำกับเต็มตัว
“ผมเรียนที่นิเทศ จุฬาฯ ด้านภาพยนตร์นะครับ แล้วหนังที่ผมทำตอนปี 4 คือ เรื่อง SuckSeed ห่วยขั้นเทพ ตอนนั้นใช้ชื่อเรื่อง The SuckSeed แล้วพี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) มาเป็นคอมเมนเตเตอร์ เหมือนมาดูงานของนักศึกษาแล้วก็ชอบนะครับ ซึ่งเป็นโชคดีของผม ก็คือพอปีต่อๆ มา มีน้องๆ เขาทำภาคต่อ พี่เก้งก็ไปดูทุกปี จึงชวนผมและน้องๆ มาลองทำให้มันเป็นหนังใหญ่”
ทั้งนี้คำว่าภาพยนตร์สำหรับบางคนมันอาจเป็นเพียงสื่อบันเทิงที่เสพเอาความสนุกง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไร หรือเสพเอาแนวคิดอันซับซ้อนบางอย่างที่สื่ออื่นๆ ไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ แต่สำหรับเขาคำว่าภาพยนตร์เป็นเหมือนไดอารีขนาดใหญ่ เพราะผลงานที่ผ่านมาหลายเรื่องล้วนสร้างมาจากเรื่องราวชีวิตของตัวเองในแต่ละช่วงเวลาทั้งนั้น ถึงแม้มีการดัดแปลงเสริมแต่งไปบ้าง เพื่อสร้างอรรถรสแก่ผู้ชม แต่สุดท้ายคือการนำชีวิตของเขาไปสู่สายตาหลายหมื่นคู่ของคนดูอยู่ดี
“ผู้กำกับแต่ละคนจะมีความถนัดไม่เหมือนกัน ของผมจะเป็นสายเอาเรื่องตัวเองมาทำเสียส่วนใหญ่ ผ่านประสบการณ์ชีวิตตัวเองทั้งนั้น
“SuckSeed ก็แบบหนังวัยรุ่นเล่นดนตรี ก็คือเรื่องตัวเองที่ชอบเล่นดนตรี เมย์ไหนฯ ก็เรื่องแบบเด็กคนหนึ่งที่ชอบวาดการ์ตูน แอบชอบเพื่อนและเอาไปจดในไดอารี นี่ก็ชีวิตผมเอง เฟรนด์โซนฯ ก็คือประสบการณ์ของผม ตอนเป็นลูกเรือ เป็นสจ๊วต ที่มีเรื่องความเป็นเฟรนด์โซนเกิดขึ้น ผมก็เอาเรื่องตัวเองมาทำ”
ผู้กำกับภาพยนตร์จากหน้าความทรงจำในวันที่ต้องทำหนังรีเมก
จากจุดเริ่มต้นของเด็กวัยรุ่นชอบเล่นดนตรี สู่นิสิตผู้ใช้เรื่องราวจากชีวิตมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลงาน จนกระทั่งกลายเป็นผู้กำกับมืออาชีพที่สร้างสรรค์ภาพยนตร์ดังระดับประเทศ เขาพิสูจน์ให้เห็นว่า เส้นทางของคนทำหนังไม่จำเป็นต้องเริ่มจากไอเดียยิ่งใหญ่ไกลตัวเสมอไป แต่เริ่มจากการเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้จักดีที่สุด ทว่าในวันที่เขาต้องมาชิมลางกำกับเรื่องราวที่มีต้นฉบับมาอยู่แล้ว และไม่ใช่เรื่องของเขาเลยแม่แต่น้อย เขาเองจึงมองว่า เป็นความท้าทายบทใหม่ในชีวิต
“พี่โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) ทิ้งซองแดงให้ผมเก็บเลย ก็เลยโชคดีของผมครับ”
ประโยคที่เขาบอกเล่ากับเราเมื่อถามถึงที่มาของภาพยนตร์เรื่องซองแดงแต่งผี ภาพยนตร์รีเมกเรื่องแรกของค่าย GDH ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ไปชมภาพยนตร์ไต้หวันเรื่อง Marry my dead body ในเทศกาลภาพยนตร์ ซึ่งเล่าเรื่องของนายตำรวจชายแท้โลกแคบที่บังเอิญไปหยิบซองแดงของผี LGBTQIA+ ซึ่งตามวัฒนธรรมของไต้หวัน หากใครเผลอไปหยิบซองแดงเข้า จะต้องแต่งงานกับคนที่ตายไปแล้ว
ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไม่เพียงแต่มอบความสนุกกับโต้งในวันนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ทำให้เขาจินตนาการถึงหน้านักแสดงนำ หากเรื่องนี้ถูกนำมารีเมกเป็นเวอร์ชันไทย และชวนให้เขาหวนนึกถึงผู้กำกับสายคอเมดีคนหนึ่งที่เขามองว่า น่าจะถนัดในการทำหนังแนวนี้ ทำให้การรีเมกครั้งนี้เปรียบเสมือนซองแดงที่โต้งวางไว้ให้เขาหยิบ
ความสุขจากการได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรกของโปรดิวเซอร์อย่างโต้ง ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่หนังเรื่องนี้ถูกเลือกมารีเมกใหม่อีกครั้ง แต่เป็นไอเดียหลักของหนังและสารบางอย่างภายในภาพยนตร์ที่ทำให้ GDH และหมูมองว่า มันมีคุณค่าและความพิเศษที่ควรได้รับการเล่าใหม่
“ปกติ GDH จะให้ความสำคัญกับ Big Idea หรือไอเดียตั้งต้นของหนังมากๆ เรื่องนี้จริงๆ มีองค์ประกอบที่เป็นหนังไทยมากๆ ก็คือเรื่องผี และเรื่อง LGBTQIA+ แล้วมันดูเป็นจุดขายของหนังคนไทยมากๆ แต่ว่ามันดันเป็นหนังจากต่างประเทศ ที่พอมันมารวมด้วยกันกลายเป็นหนังแอ็กชัน กลายเป็นหนังคู่หู แม้หน้าหนังมันดูเหมือนจะเป็นหนังวาย แต่ก็ไม่ใช่เมื่อได้ดูแล้ว คือมันรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน เลยรู้สึกว่าเป็นหนังที่มันครบรสชาติมากๆ เมื่อได้ดูแล้วก็เลยรู้สึกว่า น่าทำมากๆ เลย
“อีกความน่าสนใจคือไอเดียแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความสนุกกับสาระ เรื่องความสนุก ความน่าจะเป็นหนังที่สนุก ผมเองดูแล้วก็ชอบ จนรู้สึกว่าอยากดูที่มันถูกดัดแปลงเป็นแบบไทย เลยรู้สึกสนุกแล้วก็ตื่นเต้นที่จะได้ทำสิ่งนี้ อีกส่วนที่เป็นสาระก็คือ รู้สึกว่าการพูดถึงความหลากหลายทางเพศต่างๆ ยังเป็นสารที่ควรจะต้องถูกพูดถึงอยู่
“แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว หรือแม้ว่าไต้หวันเขาก็ผ่านเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว แต่ว่าผมเคยฟังผู้กำกับภาคต้นฉบับเขาให้สัมภาษณ์ว่า เขาบอกว่าแม้ว่ากฎหมายจะผ่าน แม้ว่าสิทธิต่างๆ จะโอเคขึ้น แต่ว่าการพูดสิ่งนี้เพื่อให้สังคมโดยภาพรวมได้เข้าใจมากขึ้น ได้ยอมรับมากขึ้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็นคนเจนเก่า เจนใหม่ ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังรู้สึกแบบต่อต้านหรือยังไม่เข้าใจในสิ่งนี้มากพอ”
อย่างไรก็ตามแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สร้างจากความทรงจำของหมูเลย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับเส้นเรื่องหนังเลยแม้แต่น้อย เพราะตัวเขาเองในช่วงเวลาหนึ่งก็เคยอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้มีความหลายทางเพศ ซึ่งเขามองว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เขาได้รู้จักโลกมากขึ้น
“ตอนมัธยม ผมก็เรียนในโรงเรียนชายล้วน ผมจะไม่ค่อยคุ้นชินกับความหลากหลายทางเพศ แต่ว่าพอขึ้นมามหา’ลัย มันเหมือนเปิดโลก แบบว่า ‘อ๋อ ความหลากหลายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เฮ้ย มันสนุกมากเลยนะ การที่มีเพื่อนแบบหลากหลายเพศมันดีมาก’
“รู้สึกว่าชีวิตมันมีสีสัน เหมือนกับปลดล็อกโลกใบนี้ ผมเป็น Straight แต่ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมาแบ่งแยกหรืออะไร เลยรู้สึกว่าสารนี้มันอยู่ในใจเราเหมือนกัน มันเชื่อมโยงกับเรามาก จึงรู้สึกว่า เรามาทำเรื่องนี้แหละ และโชคดีว่า เรื่องนี้มันมีทั้งเนื้อหาและสาระที่เรารู้สึกว่าเราเชื่อในสิ่งนี้ และก็อยากจะเล่า และความสนุกที่ดู ทั้งเป็นสิ่งที่เราถนัดและเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ 2 อย่าง รวมอยู่ด้วยกัน”
เริ่มใหม่ในเส้นทางเดิม
แน่นอนว่าในส่วนของการกำกับภาพยนตร์ตลก เราในฐานะคนดูสามารถไว้ใจเขาได้อยู่แล้ว เห็นได้จากผลงานมากมายก่อนหน้านี้ของเขา ที่เรียกเสียงฮาจากเราไปได้ทุกครั้งที่ดู แต่ถึงกระนั้นหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงความตลกซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชำนาญ และเป็นสิ่งที่คนดูเคยสัมผัสจากผลงานของเขามาแล้วเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหลายสิ่งที่ตัวเขาในฐานะผู้กำกับต้องเรียนรู้ และเราในฐานะคนดูต้องมาลุ้นไปพร้อมๆ กันด้วย
“ผมไม่เคยรีเมกหนังมาก่อนแน่ๆ ถ้าจะต่างจากงานที่เคยทำมาก็รู้สึกว่า หนังเรื่องนี้มีหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ก็คือพวกเทคนิคพิเศษต่างๆ อันดับแรกที่นึกออก ก็คือฉากแอ็กชันที่ต้องใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ทำหนังด้วยซีจีเป็นหลักเยอะมากนัก ก็คือได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้เยอะขึ้นมาก
“และมีความท้าทายอีกหนึ่งอย่าง คือการรีเมกมันมีต้นแบบอยู่แล้ว มีคนเคยดูต้นแบบแล้ว แปลว่าเขาก็จะรู้ว่าจริงๆ เป็นอย่างไร จะเกิดการเปรียบเทียบโดยอัตโนมัติว่า อะไรยังไง มันเหมือนหรือมันต่าง กว่าหรือแย่กว่า เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะต้องคิดเรื่องนี้ แต่จะทำยังไงให้มันสนุก ทำยังไงให้คนดูไม่ได้รู้สึกว่า อะไรบางอย่างหายไป และก็ทำยังไงให้เซอร์ไพรส์คนดูได้ด้วย ก็คือความท้าทายอันนี้แหละที่เรารู้สึก”
จากคำตอบที่ได้รับ ทำให้เราอดใจจะถามต่อไม่ได้ว่า “กดดันหรือไม่ เพราะผลงานต้นฉบับทำไว้ค่อนข้างดี” ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ชวนให้มองคำว่ากดดันต่างออกไป
“มันเป็นความกดดันที่เรียกว่าเป็นปกติละกัน เวลาเราทำหนังทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา ก็คือความกดดันเป็นเรื่องปกติสำหรับผม ผมรู้สึกอย่างนั้นแต่ว่าเรามาโฟกัสว่าเราจะสนุกกับมันหรือยังมากกว่า”
หมูอธิบายมุมมองต่อความกดดันของเขาต่อว่า ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เขาเผชิญกับการกดดันทุกครั้งในการทำภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ได้มองว่าความกดดันเป็นสิ่งที่ยากจะจัดการ เพียงแค่ต้องรู้วิธีการกำจัดมันให้ถูกจุด ซึ่งตัวเขาเองก็มีวิธีการเพื่อดึงความกดดันออกจากตัวเขาเช่นกัน
เขาเริ่มอธิบายวิธีการสร้างเสียงหัวเราะจากคนดู โดยเขามักจะเล่ามุกต่างๆ ให้ทีมงานและนักแสดงฟัง และใช้เสียงหัวเราะของคนเหล่านั้นเป็นตัวตัดสินใจว่า มุกในแต่ละฉากมันสามารถทำงานกับอารมณ์คนดูได้หรือไม่ ซึ่งวิธีนี้เองที่เป็นกลยุทธ์ที่เขาใช้เพื่อล้างความกดดันภายใต้การทำหนังรีเมกครั้งนี้ ที่เขาก็ต้องยอมรับว่า ความคาดหวังจากผู้ชมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“บางทีเราเล่ามุกที่เราดัดแปลงขึ้นมา แล้วขำขึ้นมาพร้อมกัน 5 คนเลย มันจะคอนเฟิร์มว่า มุกมันเวิร์กแน่นอน พวกเราก็เลยไม่ได้ไปคิดว่า แฟนคลับต้นฉบับจะชอบหรือเข้าใจหรือไม่ ถ้าคิดอย่างนั้นมันจะเตลิดไปไกล มันจะไม่มีวันได้คำตอบที่ถูกต้องชัดเจน เราเลยสโคปลงมาดีกว่า”
ความตลกในสังคมที่เปลี่ยนไป นำไปสู่ความใส่ใจของคนทำหนัง
แม้เขาจะมีวิธีการจัดการความกดดันในการหาจุดตรงกลางที่รู้สึกว่ามุกต่างๆ ภายในเรื่องมันตลกมากพอสำหรับคนดู และหากภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่งจะสามารถจัดว่าเป็นแนวคอเมดีได้นั้น หลักการสำคัญก็คงหนีไม่พ้นจังหวะที่เสียงหัวเราะจากผู้ชมที่แทรกขึ้นมาทันควัน หลังจากมุกตลกที่นักแสดงพูดจบลง
ทว่าหลายครั้งก็ต้องยอมรับว่า มุกเรียกเสียงฮาเหล่านั้นอาจเป็นดาบสองคมสำหรับคนทำหนัง เพราะสำหรับบางคนมุกเหล่านั้นก็ชวนให้หัวเราะจนท้องแข็ง แต่สำหรับบางคนมุกเหล่านั้นมันอาจเป็นคำพูดที่บาดลึกเข้าไปในใจหรือไปสะกิดปมอะไรสักอย่าง จนยากที่จะมองหนังเรื่องนั้นเป็นหนังตลก ซึ่งหมูในฐานะผู้กำกับหนังตลกก็คิดถึงประเด็นนี้เช่นกัน
“ซีเรียสมากเลย ทุกวันนี้ตระหนักมากๆ และก็จะเช็กกันอย่างละเอียดมาก สมมติตัวอย่างก็คือจะมีคุณแวววรรณ (แวววรรณ หงส์วิวัฒน์ – นักเขียนบทภาพยนตร์) ที่เป็นคนมีเรดาร์ของสังคมอยู่ และก็มีความตระหนักรู้ว่า อันนี้กระทบจิตใจใครหรือเปล่าที่ชัดเจน บางทีผมอาจจะเผลออะไร ก็จะให้แววเช็ก แววก็จะมีที่ปรึกษาอีกที่คอยเช็กว่า มุกนี้มากไป น้อยไป ก็คือตรวจทานกันให้โอเค แต่ก็ยังต้องขำด้วยนะ แต่ก็ต้องไม่ไปกระทบจิตใจใครด้วย
เมื่อได้ยินถึงความใส่ใจและความระมัดระวังของคนทำหนังที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางสภาวะสังคมที่ผู้ชมเริ่มมีความตระหนักรู้มากขึ้นและพร้อมวิพากษ์วิจารณ์สื่อทันทีหากสื่อพยายามผลิตซ้ำชุดความคิดที่ไม่เหมาะสม ก็ชวนให้สงสัยว่า “ภาพยนตร์ตลกที่สอดแทรกประเด็นละเอียดอ่อนเรื่องนี้ จะเป็นภาพยนตร์ตลกแบบไหนกัน และคำตอบที่ได้รับก็ทำให้เราได้รู้จักผู้ชายคนนี้และภาษาภาพยนตร์ที่เขาใช้การสร้างผลงานเรื่องนี้มากขึ้น
“คนจะชอบคิดว่าผมเป็นคนตลก แต่ผมว่าผมไม่ใช่คนตลกอะไรขนาดนั้น ผมแบ่งความตลกในโลกนี้เป็น 2 แบบก็คือ นักแสดงตลกที่เขามีสกิลและความเชี่ยวชาญในการสร้างเสียงหัวเราะ สร้างมุกตลกขึ้นมาได้ มันเหมือนกับเรารู้เลยว่า คนนี้จะทำให้เราตลกมาก และยังคงเขาทำให้เราตลกได้อยู่ดี ซึ่งผมรู้สึกว่าคนแบบนี้เก่งมากๆ เป็นสกิลที่ผมไม่มี ผมทำอย่างนี้ไม่เป็น แต่ผมจะพยายามทำแบบสถานการณ์มากกว่า”
จากนั้นเขาเริ่มอธิบายถึงคำว่า Situation Driven หรือสถานการณ์พาไป หนึ่งในวิธีการที่เขาใช้เพื่อสร้างความตลกให้กับฉากต่างๆ ในหนังของเขา ซึ่งเป็นวิธีสร้างความตลกที่เกิดจากความตั้งใจของผู้สร้าง แต่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของตัวละครภายในเรื่อง
“คนที่ไม่ได้เป็นคนตลกเลย แต่ดันบังเอิญไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มันอะไรวะเนี่ย เกี่ยวอะไรกับกู ทำไมกูต้องมาทำแบบนี้ มันจะเป็นความรู้สึกอย่างนั้นมากกว่า คือคนที่กำลังถูกคนดูหัวเราะอยู่ เขาไม่ได้เล่นตลก เขาอาจจะกำลังฉิบหายอยู่ ซวยอยู่ (หัวเราะ) หรือกำลังดราม่าอยู่ แต่ว่าพอกล้องมาจับมุมนี้ กับใส่เพลงแบบนี้ มันก็เลยกลายเป็นคอเมดี ผมจะชอบความรู้สึกแบบนี้”
‘ธรรมชาติของบุคคล’ คือหนทางการสร้างตัวละครที่สมบูรณ์
นอกจากวิธีการสร้างเสียงหัวเราะให้กับหนังตามสไตล์ของเขา อีกวิธีการหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการผู้กำกับคนนี้คือ การใช้ธรรมชาติและภาพจำของนักแสดงในการแต่งแต้มเสียงหัวเราะให้กับภาพยนตร์
หมูมองว่านักแสดงแต่ละคนมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง ซึ่งเขาจะไม่พยายามดึงเสน่ห์เหล่านั้นออกจากนักแสดง แต่เลือกที่จะต่อยอดธรรมชาติของนักแสดงไปสู่การสร้างตัวละครที่มีมิติ
โดยตัวละครที่สอนแนวคิดนี้ให้เขาคือ คุ้ง ในเรื่อง Suckseed ห่วยขั้นเทพ ซึ่งเป็นตัวละครที่เขาได้แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนในชีวิตจริงคนหนึ่ง ที่เขาให้นิยามว่า “ไอ้คุ้งมันอยู่เหนือมาก” ทำให้ไม่ว่าภาพคุ้งในหัวของเขาจะชัดเจนมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมมารับบทได้เสียที จนกระทั่งนักแสดงวัยรุ่นคนหนึ่งที่รับบทบาทนี้อย่าง พีช-พชร จิราธิวัฒน์ ทำให้เขาเปลี่ยนแนวทางการสร้างตัวละครใหม่
“เราก็หาคนเล่นบทนี้ แต่ปรากฏว่ามันก็ไม่มีใครใกล้เคียงกับไอ้คุ้ง เพราะไอ้คุ้งมันอยู่เหนือมาก จนกระทั่งได้คุณพีช พชรมาเล่น แล้วพอมาเล่นก็เป็นความ พีช พชร ผสมกับไอ้คุ้งแบบที่เราคิดออกมาอยู่ดี และก็เวิร์กในแบบของมัน
“ผมก็เลยเข้าใจว่า อย่างนี้นี่เอง บางทีเราไม่จำเป็นจะต้องบังคับให้นักแสดงทุกคนมาเล่นบทแบบที่เราคิด 100% หรอก มันเจอครึ่งทาง แล้วมันจะสบายใจ และไอ้ความสบายใจนั้น บางทีมันจะแมตช์กันในแบบที่เราเองก็คิดไม่ได้ด้วย”
ด้วยแนวทางนี้เองทำให้คนดูจะได้เห็นเหล่านักแสดงนำของเรื่อง ที่ไม่ได้กลายร่างเป็นตัวละครตามบทโดยสมบูรณ์แบบ แต่เป็นลูกผสมระหว่างบทที่ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจและธรรมชาติที่อยู่ในตัวของนักแสดง
โดยเขายกตัวอย่าง บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ในบทบาท เม่น ที่หมูมองว่า แม้คนส่วนใหญ่อาจจะเห็นบิวกิ้นในบทดราม่าเป็นหลัก หรือ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ในบทบาท ตี่ตี๋ ที่คนอาจจะรู้สึกว่าเขาเป็นศิลปินระดับพรีเมียม แต่ด้วยเคมีโดยธรรมชาติที่ทั้งสองมีร่วมกัน จึงไม่ยากเลยที่ทั้งคู่จะสามารถถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างสมบูรณ์
“อย่างที่ทุกคนทราบกันดีก็คือ เขาผ่านเรื่องด้วยกันมาเยอะ ความสัมพันธ์ของเขายาวนาน มันเลยก่อให้เกิดเวลาเล่นกัน แซวกัน ต่อปากต่อคำ แกล้งกวนกัน มันเป็นคู่นี้จริงๆ ที่พิเศษทั้งนอกจอในจอ และผมก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาตัวเองก็รู้สึกว่า สมแล้วแหละ มิน่าทำไมคนถึงรักชอบ 2 คนนี้กันขนาดนี้”
รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ในเรื่องเช่นกัน ที่เขามองว่าธรรมชาติและภาพจำของพวกเขาส่งเสริมให้ตัวละครสมบูรณ์ขึ้น ตั้งแต่ ก้อย-อรัชพร โภคินภากร รับบท เจ๊ก๊อย ตำรวจหญิง บุคลิกหนักแน่น จริงจัง แต่ยังคงแฝงความตลกในตัว ซึ่งเขามองว่าเห็นว่าเป็นตัวตนของก้อยตั้งแต่ก่อนจะเปิดแคสต์นักแสดง หรืออย่าง ปุ๊-ปิยะมาศ โมนยะกุล ในบท อาม่า ตัวละครที่ทั้งตลกได้และก็เสียใจเป็น ซึ่งเขารู้สึกว่าคุ้นชินกับภาพนี้ของเธอจากซิตคอมหรือภาพยนตร์ต่างๆ ที่เธอเคยเล่น เช่นเดียวกับ จตุรงค์ มกจ๊ก ในบท เสี่ยโจ้ หัวหน้าแก๊งค้ายา ที่ช่วงหนึ่งของเรื่องต้องโดนผีตี่ตี๋ ซึ่งเป็นผี LQBTQIA+ เข้าสิง ทำให้เราได้เห็นเขาในการแสดงที่คนดูอาจจะเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ซึ่งหมูมองว่าเป็นเสน่ห์ที่โดดเด่นในการแสดงของจตุรงค์ที่เขาอยากเก็บเอาไว้ ไปจนถึง แอนนา ชวนชื่น ในบทซินแส ที่เขามองว่าเป็นตัวตนของแอนนาอย่างแท้จริง เช่น วิธีการพูดและสำเนียงภาษาจีนติดตลก จึงไม่ต้องปรับคนเล่นให้เข้ากับบทเลย เพราะบทเข้ากับคนเล่นอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว
“ผมค้นพบสิ่งนี้มาเรื่อยๆ แบบตัวละครเม่น ก็คือบิวกิ้นกับตัวละครเม่นที่เราคิดนั่นแหละ มันจะไม่ใช่บิวกิ้นที่เปลี่ยนมาเป็นอีกคนหนึ่ง 100% เราไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น คือใครจะคิดว่า มันก็บิวกิ้นนี่หว่า แต่ถ้ามันเวิร์ก ถ้าเราดูแล้วเรายังอินตามได้ ยังรู้สึกสนุก ยังรู้สึกซึ้งได้ด้วย มันก็โอเคแล้ว”
ลมหายใจของวงการภาพยนตร์ ในวันที่ผู้คนมีทางเลือกมากขึ้น
นอกจากความตั้งใจหลายๆ อย่างในการรีเมกครั้งนี้ ตั้งแต่วิธีการสร้างเสียงหัวเราะอย่างระมัดระวัง ไปจนถึงการสร้างตัวละครผ่านตัวตนของนักแสดงของเขา สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นความตั้งใจในการทำภาพยนตร์สักเรื่องที่คนทำหนังทุกคนมีร่วมกันคือ การพาผู้คนมาชมหัวเราะ ร้องไห้ ในโรงภาพยนตร์ไปพร้อมกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันที่ผู้ชมเริ่มมีทางเลือกในการชมสื่อมากขึ้น โรงภาพยนตร์จึงไม่ใช่สถานที่เดียวที่คนจะมานั่งรับประสบการณ์ด้วยกันอีกต่อไป และพฤติกรรมของผู้ชมที่เปลี่ยนไปนั้นก็ทำให้ผู้กำกับอย่างเขา ที่เติบโตมาในยุคที่โรงภาพยนตร์ยังรุ่งเรือง กังวลอยู่ไม่น้อย
“รู้สึกกังวลมากๆ ในช่วงนี้ เพราะว่าตั้งแต่เปิดสถิติมา ผมก็ติดตามรายได้โรงภาพยนตร์ แล้วก็โอ้โห แม้กระทั่งหนังแบบฮอลลีวูดเอง หนังที่มีแฟรนไชส์เอง มันยากมากเลย รู้สึกว่ายุคนี้เป็นยุคที่ทุกอย่างแย่งความสนใจเราได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะพอมีสตรีมมิงที่เราสามารถดูหนังฟอร์มยักษ์ได้ที่บ้านตลอดเวลา มันก็เป็นธรรมชาติที่เราหลีกเลี่ยงยาก”
ทั้งนี้เขามองว่าวิธีการที่พอจะบรรเทาวิกฤตที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์กำลังเผชิญได้ คือการทำให้หนังเป็นที่พูดถึงมากขึ้น เพื่อชวนให้คนดูเข้าใจหรือได้เห็นสิ่งที่คนทำหนังต้องการสื่อสาร ผ่านการโปรโมตต่างๆ
แม้ปัจจุบันภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องทุ่มแรงโปรโมตกันอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเสมอไป เพราะผู้ชมยังมองว่า เป็นหนังแนวเดิมๆ วนลูปอยู่ในเซฟโซนจนไม่น่าสนใจ ซึ่งคำวิจารณ์ข้างต้นก็เป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ชมบางคนรู้สึกกับภาพยนตร์จาก GDH เช่นกัน แต่หมูในฐานะผู้กำกับกลับไม่ได้มองเช่นนั้น และเลือกที่จะพาเราไปย้อนดูผลงาน GDH ที่ผ่านมาอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ผมรู้สึกว่าเวลามีคอมเมนต์แบบนี้ ผมจะนึกถึงหนังหลายๆ เรื่องที่มันออกจากเซฟโซนไปมากๆ ของ GDH แบบเขาลืมไปหรือเปล่านะ เขาลืมนึกถึงหนังเหล่านั้นไปหรือเปล่า
“ผมก็ไม่แน่ใจนะ เขาอาจจะรู้สึกว่าหนัง GDH คือฟีลกู๊ด เหมือนคีย์เวิร์ดคือฟีลกู๊ด แต่ผมจะนึกถึงหนังที่ไม่ฟีลกู๊ดของ GDH เต็มไปหมดเลย โดยเฉพาะยุคหลังๆ ผมจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ฟีลกู๊ดเอาเสียเลย คุณดูแฟลตเกิร์ลหรือวิมานหนามหรือยัง แต่บางทีเราควบคุมความคิดเห็นคนไม่ได้อยู่แล้ว”
อย่างไรก็ตามเขาก็มองว่าทุกคำติชม ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่คนทำหนังควรรับฟังอยู่ เพราะมันไม่ใช่คำพูดที่ต้องการทำลายกำลังใจคนทำงาน แต่เป็นเสียงความต้องการของคนดูที่ช่วยชี้แนะคนทำหนัง
“มีหนังดูง่ายบ้าง มีหนังหลากหลายแบบบ้าง บางทีหนังแบบนี้ก็อาจจะไม่ถูกใจบางคน อีกแบบหนึ่งก็อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ แต่ถ้าเป็นคอมเมนต์ที่เรียกว่ามีประโยชน์ เราก็จะคิดทุกฝั่งเสมอ แล้วก็เอามาคิดทบทวนเสมอ ซึ่งบางทีเป็นคำติแล้วบางทีเราก็ชอบนะ
“โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่กำลังโปรโมตหนัง หลายๆ ครั้งเรารู้สึกว่า คำติชม คำที่เขาพูดถึงประเด็นนี้นะ ถ้ามองข้ามอคติต่างๆ ไป บางทีมันเป็นคำที่ทำให้เราฉุกคิดเหมือนกันว่า ทิศทางในการพูดถึงหนังของเรามันควรจะเป็นยังไงต่อ ก็จะมีประโยชน์เหมือนกัน”
6 ปีที่หายไปและการกลับมาใหม่หลังเติบโตขึ้น
หลังจากคุยมาสักพัก เราในฐานะผู้สัมภาษณ์ได้เรียนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับเขามากขึ้น ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอาชีพ วิธีการทำงาน ไปจนถึงวิธีคิดต่างๆ ของเขา เช่นเดียวกับการได้รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องซองแดงแต่งผี เป็นโปรเจกต์แรกในรอบ 6 ปี ที่เขาได้โอกาสกลับมานั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์อีกครั้ง หลังจากฝากผลงานอย่าง Friend Zone..ระวังสิ้นสุดทางเพื่อนไว้เมื่อหลายปีก่อน
จึงทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าช่วงเวลากว่าครึ่งทศวรรษที่เขาหายไปนั้น เขากลายไปเป็นใคร ไปอยู่ในบทบาทไหน และระหว่างนั้นเขาได้อะไรกลับมาบ้าง ซึ่งคำตอบที่ได้รับคือเส้นทางชีวิตของในวันที่ไม่ได้สวมหมวกผู้กำกับภาพยนตร์
เขาเล่าย้อนไปว่าหลังจากทำเรื่อง Friend Zone..ระวังสิ้นสุดทางเพื่อนเสร็จ เขาก็เริ่มต้นใหม่กับโปรเจกต์อื่นๆ เช่น ซีรีส์และภาพยนตร์ทันที แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 และไอเดียตั้งต้นที่เขามองว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนดูต้องการอีกต่อไป โปรเจกต์เหล่านั้นจึงถูกพับเก็บไปก่อน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำในสิ่งที่ถนัดที่สุดได้ในเวลานั้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นโอกาสของเขาในการได้ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ไปด้วยเช่นกัน
“ระหว่างนั้นผมก็ไปทำอย่างอื่นเลย ไปกำกับโชว์เวที รายการแข่งขัน หรือกระทั่งไปทำละครเวทีในคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด ไปเขียนพล็อตที่มันแบบบ้าบอหลุดโลกไปเลย
“ได้เรียนรู้หลายอย่าง ความกดดันในการเลือกไอเดียมาทำหนังมันจะลดลง แต่ว่ามันจะไปในเชิงทดลองมากขึ้น หมายถึงว่า เราจะทำอะไรก็ได้ มันไม่ได้กดดันเท่าทำหนังใหญ่กับ GDH เราก็เลยทดลองแฟนตาซีไปเลย ไซ-ไฟไปเลย
“เราไปเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อาจจะเรียกว่าเติมความมั่นใจกลับมาแล้วกัน ผมเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเชิงเทคนิค ในเชิงแบบช่องของเรื่องที่เราไม่เคยแตะ ซึ่งมันก็ทำให้ผมกลับมาทำเรื่องนี้ที่มันมีทั้งแฟนตาซี ทั้งผี ทั้งแอ็กชัน ทั้งบู๊ และก็ยังเป็นคอเมดีครอบอยู่ได้ด้วย ก็เรียกว่าเหมือนไปเก็บเลเวลมาประมาณนี้”
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทดลองทำงานสายบันเทิงด้านอื่นๆ มาสักพัก แต่เมื่อถามว่า “อะไรคือความชอบและสิ่งที่เขารักจะทำมากที่สุด” เขาตอบอย่างไม่ลังเลและแน่วแน่มาก ในระดับที่เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีต่อสิ่งนั้นจริงๆ
“แน่นอนก็ต้องทำหนัง ยังชอบทำหนังที่สุด เหมือนหนังมันคือ ทำ 3 รอบ กำกับ 3 รอบ กำกับตอนเขียนบท กำกับตอนไปออกกอง และก็กำกับตอนตัดต่อ
“ผมก็มีความสุขทุกขั้นตอนเหล่านี้ บางคนอาจจะแบบชอบทำตอนโพสต์ฯ (โพสต์โปรดักชันหรือกระบวนการตัดต่อหลังการถ่ายทำ) ตอนตัดต่ออย่างเดียว เขาก็จะทำเป็นฝั่งโพสต์ฯ บางคนอาจจะชอบแค่ออกกอง ก็อาจไปเป็นผู้ช่วย แต่ผมชอบทุกขั้นตอน เลยรู้สึกว่าถูกแล้วที่เราทำ”
ก่อนที่เขาจะทิ้งท้ายกับเราว่า แม้กระบวนการทำภาพยนตร์หนึ่งเรื่องจะต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ จนถึงขั้นที่บางครั้งเขาต้องกลับมานึกว่าชีวิตช่วงหนึ่งของเขาหายไปเต็มๆ ในช่วงที่ทำหนังสักเรื่อง อีกทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่สำหรับเขา ตราบใดที่ประโยคว่า ‘เมื่อไรจะเสร็จ’ ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่เขากำลังทุ่มเทช่วงชีวิตหนึ่งให้กระบวนการทำงาน นั่นหมายความว่า เขายังสนุกและมีความสุขกับสิ่งที่เขาทำอยู่
Tags: กำกับภาพยนตร์, GDH, ผู้กำกับหนัง, ผู้กำกับภาพยนตร์, ผู้กำกับ, The Frame, ชยนพ บุญประกอบ, ซองแดงแต่งผี, The Red Envelope, หมู ชยนพ, จีดีเอช