หลายคนคงเคยฟังเพลง ผิงไฟ เจ้าสาวไฉไล หรือ ลอยผ่าน หลากหลายเวอร์ชันที่ศิลปินมากมายนำมาคัฟเวอร์ใหม่ ทว่าแท้จริงแล้วต้นฉบับเป็นของวง ‘อภิรมย์’ วงดนตรีโฟล์กจากสกลนคร เจ้าของเดียวกับเพลง วันสบาย แพ้ทาง ดวงตานั้น เรือใบ ฯลฯ ที่ขับกล่อมคนฟังในห้วงอารมณ์อันแสนอภิรมย์สมชื่อวงมากว่าสิบปี จนกลายเป็นที่นิยมในหมู่คนฟังเพลงนอกกระแส ทั้งยังได้รับเชิญให้เป็นวงโปรโมตในเทศกาลดนตรีอินดี้อยู่เสมอ

ค่ำคืนหนึ่งของปี 2559 ณ บาร์แห่งหนึ่งในย่านลาดพร้าว ระหว่างการแสดงดนตรีของวงอภิรมย์ มีเสียงจากฟรอนต์แมนเอ่ยขึ้นว่า พวกเขากำลังจะพักวง จากนั้นทุกคนได้พากันลงจากเวทีอย่างเงียบๆ และหายไปจากการแสดงระยะหนึ่ง จนเกิดคำถามจากใครหลายคนว่าอภิรมย์หายไปไหน? กระทั่งปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่เพลงชื่อ คนข้างใน ถือเป็นเพลงใหม่หลังพักวง ถัดมาอีกสองเดือนก็ปล่อยงานเพลงในอัลบั้มที่ 2 ชุด ไม่อภิรมย์ ออกมาจนครบ 8 เพลง เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาในรอบ 4 ปีอย่างเต็มรูปแบบ 

บทเพลงในชุด ไม่อภิรมย์ ต่างจากที่แฟนๆ เคยสัมผัสมา จากเพลงนั่งฟังสบายๆ สู่ความหนักแน่นเข้มข้นของเนื้อหาที่ ‘ต่าย’ – ประกาศิต แสนปากดี นักร้องนำและนักเขียนเพลงประจำวง ถ่ายทอดออกมาเสมือนกับการเล่าเรื่องสั้นแนวชีวิตและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งเกมการเมืองในกระดานที่บรรยายไว้ราวกับผู้มาก่อนกาล การรังแกเด็กของผู้ใหญ่ที่ขโมยทรัพยากรธรรมชาติและอนาคตของลูกหลานตัวเอง วิกฤตเศรษฐกิจ การข้ามฝ่าหายนะชีวิต กระทั่งเรื่องผี ซึ่งพวกเขาได้นิยามแนวทางการเขียนเพลงของตัวเองเอาไว้ว่าเป็น ‘ศิลปะภาษา’ 

วันนี้เรานัดกับต่ายและ ‘โฟล์ก’ – พีระวัฒน์ อุทโท มือกลอง สมาชิกยุคปัจจุบัน เพื่ออัพเดตเรื่องราวของวงอภิรมย์ ถกลึกถึงเบื้องหลัง 8 บทเพลงจากอัลบั้ม ไม่อภิรมย์ ว่าเหตุใดจึงสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายร่างเดิมของตัวเองที่ผู้คนรับรู้มาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และอนาคตของวงจะเป็นเช่นไรหลังจากนี้ 

4 ปีก่อน หลังจากที่อภิรมย์ประกาศพักวง จากวันนั้นจนถึงวันที่ออกอัลบั้มใหม่ สมาชิกวงหายไปทำอะไรกันมาบ้าง 

ต่าย: ตอนที่จะยุบวง รู้สึกหลายอย่าง เรื่องสุขภาพด้วย อย่างโฟล์ก (หันหน้าไปทางเพื่อนมือกลอง) ป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เวลาอยู่บนรถตู้จะนอนเบาะหลังยาวๆ อย่างเดียว เพราะนั่งไม่ได้ ส่วนผมเป็นเรื่องการทำความเข้าใจกับตัวเอง ไม่ค่อยโอเคกับพาร์ตการมีชื่อเสียง รู้สึกว่ามันเป็นพิษ ไม่ค่อยอยากจะไปต่อ ก็มีความสุขที่ได้ทำงานและเสนอมุมมองนะ แต่ไม่ได้อยากเป็นสาธารณะขนาดนั้น ไม่อยากให้อภิรมย์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมาแบก อยากให้เป็นเรื่องสนุก พอทุกคนคาดหวังว่าต้องเอามาเป็นหลัก มันเครียด สุดท้ายก็มาหนักที่ผมซึ่งเป็นคนเขียนเพลง พอทำความเข้าใจกับตัวเองระดับหนึ่งก็พักวงแยกย้ายกัน 

พอพักวง โฟล์กก็กลับมาทำร้านวันสบายที่สกลนคร ส่วน ‘เมท’ – เจษฎา​ เกียรติ​ธาตรี มือกีต้าร์ก็ลาออกจากวงไปทำงานประจำ ผมมีโปรเจ็กต์งานเดี่ยวของตัวเอง ตอนนั้นมีเพลงอีกก้อนหนึ่งที่ไม่ได้ลงในนามอภิรมย์ เพราะรู้สึกว่าเพลงมันไม่อภิรมย์ เป็นมุมเครียดๆ เลยอยากทำอัลบั้มเดี่ยวที่เป็นเชิงศิลปะภาษาเพื่อท้าทายตัวเอง อยากข้ามขีดจำกัดของตัวเองในการเขียนเพลงให้ได้มากกว่าอภิรมย์ 

คุณได้ค้นพบอะไรบ้างระหว่างที่แยกออกมาทำงานเพลงเดี่ยว 

ต่าย: ระหว่างนั้นก็ถามตอบกับตัวเองว่า ทำไมถึงเขียนเพลงออกมาแล้วไม่ได้ฟีลอภิรมย์เลย เลยเลิกวงอภิรมย์มาเขียนงานเดี่ยว ก็ได้เพลง กระดาน, 213, 2540, รังแกเด็ก มาค้นพบตอนหลังว่าเป็นเรื่องของความเครียดด้วย เพราะเราเป็นฟรอนต์ของวง ต้องแบกรับชื่อเสียง สองปีถัดมาหลังจากพักวง ช่วงที่กำลังรวบรวมงานเดี่ยวอยู่นั้น โฟล์กก็ชวนว่ากลับมาทำอภิรมย์ไหม ซึ่งผมเล่นกีตาร์ได้แล้ว เลยหามือคีย์บอร์ดเพิ่ม ก็กลับมาเขียนเพลงให้วงอภิรมย์ 

ถามว่าอภิรมย์คืออะไร รูปร่างหน้าตายังไง หากยึดหลักของอภิรมย์ชุดแรกก็คือความชิล ถ้าจะต้องต่อยอดจากตรงนั้นมันเขียนไม่ได้ เลยคิดว่ายังมีเพลงอยู่อีกก้อนหนึ่ง แต่มันไม่อภิรมย์ แล้วยังมีสองเรื่องที่ค้นพบและหาคำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง คือ 1. ความคาดหวังจากแฟนเพลง ที่ได้ตามมาจากชื่อเสียง คอมเมนต์ต่างๆ ชอบเพลงนี้จังเลย ความชอบนี่แหละมันค้ำคอ 2. ความคาดหวังจากตัวเอง เอาเพลงของตัวเองมาตั้งเป็นธง ไม่ว่าจะเป็น เจ้าสาวไฉไล วันสบาย แล้วต้องข้ามกำแพงนั้นไปเพื่อให้ได้อภิรมย์ที่ชิลกว่า ดีกว่า เราต้องเอาสองเรื่องนี้มาทำลายทิ้งเพื่อเป็นปัจจุบันให้ได้ 

มีวิธีทำลายอย่างไร 

ต่าย: ทำลายความคาดหวังจากแฟนเพลงก่อน คือต้องกลับไปสู่จุดศูนย์ให้ได้ วันที่เขียน เจ้าสาวไฉไล ก็ยังไม่มีใครรู้จักเรา แล้วทำไมเขียนเพลงได้ ฉะนั้นต้องเอาคนฟังออกไปจากหัวเราให้ได้ ทำให้เฉยที่สุด ฉันจะเขียนเพลงปัจจุบันของฉันในวันนี้ ซึ่งผมใช้เวลาอยู่ 2 ปี พอล้างความคาดหวังจากคนฟังได้ ต่อมาคือทำลายความคาดหวังจากตัวเอง ต้องล้างภาพของ วันสบาย เจ้าสาวไฉไล จดหมายจากโจโจ้ ออกไป วันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกัน เราคือเชฟคนเดิม แต่วันนี้วัตถุดิบเป็นแบบนี้ วันนั้นเป็นแบบนั้น ไม่เกี่ยวกัน ที่แบกอยู่เป็นเรื่องของวันนั้น ก็กลับมาที่ปัจจุบัน 

สิ่งที่สามที่ต้องไปต่อสู้คือ ความคาดหวังจากวง สมาชิกวงอภิรมย์ไม่ได้มีแค่ผมกับโฟล์กนะ ยังมีนักดนตรีแบ็กอัพและผู้จัดการวง เลยต้องมาคุยกันว่าทิศทางของอภิรมย์จะไปกันอย่างไร เพราะไม่มีทางที่ผมจะมาเขียนเพลงชิลๆ แบบเพลงวันสบายได้ เกือบ 10 ปีแล้วนะ ต่อให้รอนานแค่ไหนก็ทำไม่ได้ วัตถุดิบไม่เหมือนเดิม มีฐานความเครียดมาจากสังคม การเมือง แล้วก็ปัญหาเรื่องลูกอีก 

ปรากฏว่าโฟล์กไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่จะเขียน แค่อยากมีเพลงใหม่ ผมคิดเยอะไปเอง เขาไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น งั้นถ้าไม่เหมือนเดิมก็ใช้ชื่อ ไม่อภิรมย์ เป็นชื่ออัลบั้ม เพราะคำว่า ‘อภิรมย์’ นั่นแหละเป็นตัวที่ค้ำคอเอาไว้ พอปลดล็อกคำว่าอภิรมย์ มันก็คือตัวเราเอง กูจะทำอัลบั้มต่อไปอีกแบบหนึ่ง แล้วมันจะเจ๋งอีกแบบหนึ่ง มีความโตขึ้น 

เท่ากับว่าอัลบั้ม ไม่อภิรมย์ อีกนัยหนึ่งคือเพลงไม่เหมือนอภิรมย์แบบเดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว 

 ต่าย: ชื่ออัลบั้มได้มาตอนประชุมกัน แต่ผมคิดไว้นานแล้วว่าจะสื่อสารกับแฟนเพลงที่เมื่อเช้าเพิ่งฟังเพลง วันสบาย แล้วมาฟังเพลง เดิมเดิม จะตั้งตัวทันได้อย่างไร ก็เปรยชื่ออัลบั้มไว้ล่วงหน้าว่าไม่อภิรมย์นะครับ เวลาไปเล่นแต่ละที่ก็จะบอกให้เขาเริ่มปรับตัว แต่พอปล่อยเพลงก็เห็นมีบ้างในยูทูบที่ว่า ‘ทำไมมันไม่เป็นอย่างนั้นเลย’ ซึ่งเรารู้แล้วว่าต้องโดนแรงเสียดทานนี้แน่ๆ 

เอาจริงๆ วิธีการทำงานมันเกิดมาจากตัวเรา ซึ่งก็ผ่านประสบการณ์วันนั้นมาจนถึงวันนี้ เพียงแต่มันเครียดกว่า เลยบอกว่าไม่อภิรมย์ พอปลดล็อกว่ามันไม่อภิรมย์ เพลงที่เขียนมาทั้งหมด 8 เพลง มันก็ไม่ใช่อภิรมย์แบบยุคนั้นแล้ว เราต้องโดนแรงเสียดทานจากแฟนเพลงแน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้นคืองานทำทิ้งเลย แล้วพยายามใช้เพลงที่เครียดและซับซ้อนในอัลบั้มนี้พูดเรื่องการทำงานศิลปะภาษาที่ผมอยากจะข้ามขีดจำกัดของตัวเอง 

ศิลปะภาษา ในความหมายของคุณคืออะไร

ต่าย: ไม่ใช่แค่การทำเพลง แต่เหมือนกำลังเขียนหนังสือที่ร้องในทำนอง เล่าเป็นฉากเหมือนในภาพยนตร์ สร้างภาพในหัวคนฟังโดยไม่ต้องใช้เอ็มวี มันคือศาสตร์ที่ไม่รู้จะอ้างอิงจากที่ไหน นิยามว่าน่าจะเป็นงานศิลปะการใช้ภาษาที่ทำให้เกิดภาพ อาจจะมีคำนิยมอื่นก็ได้ แต่ก็ใช้คำนี้เพื่ออธิบายให้ตัวเองรู้ว่ากำลังทำเรื่องนี้ ถือเป็นการบำบัดตอนที่เราเครียด ปล่อยอัลบั้มนี้โดยไม่สนใจแล้วว่าใครจะฟังหรือไม่ฟัง แต่เราได้ระบายออกไปแล้ว 

ย้อนกลับไปวันที่ก่อตั้งวงอภิรมย์ อะไรเป็นแรงผลักดันในการทำวงนี้ขึ้นมา 

ต่าย: เราเล่นดนตรีกลางคืนที่มุกดาหาร ผมกับโฟล์กเรียนราชภัฎสกลนครด้วยกัน ผมเรียนศิลปะ โฟล์กเรียนดนตรี โฟล์กจบไปก่อนแล้วกลับบ้านที่มุกดาหาร ตอนนั้นเขาขาดนักร้อง เป็นช่วงที่ผมทำนิพนธ์ เลยไปหางานทำด้วยการเป็นนักร้อง อยู่ที่นั่น 2-3 ปี ก็กลับมาบ้านที่สกลนคร แฟนของโฟล์กเป็นคนสกลฯ จะกลับมาทำร้านเหล้า เมทมือกีตาร์ซึ่งเป็นคนเต่างอยก็เลยกลับด้วย มาเล่นตามร้านเหล้าด้วยกันต่อ โดยเล่นร้านโฟล์กเป็นหลัก และตั้งชื่อว่าอภิรมย์ 

แล้วชื่ออภิรมย์มาจากไหน

ต่าย: โหวตกัน ยุคนั้นเป็นยุคเพลง Easy Listening บูมในร้านเหล้า ร้านเหล้าเล็กๆ ทำในบ้าน 4-5 โต๊ะ เริ่มมีเยอะขึ้น นักดนตรีก็มักจะมีกีตาร์ตัวหนึ่งกับเพอร์คัสชัน เอาเพลงร็อกเพลงเรกเก้มาเล่น ฟังยังไงมันก็เพลิน เราเลยตั้งเป็นชื่อวงว่าอภิรมย์ ฟังชิลๆ อะไรแบบนั้น 

ส่วนเรื่องทำเพลง ผมทำตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ช่วงที่อยู่มุกดาหารก็มีเพลง วันสบาย เจ้าสาวไฉไล แพ้ทาง กลับมาสกลฯ ก็ทำเพลงต่อ ตอนนั้นเป็นยุคแรกๆ ที่มีเน็ตไอดอลคัฟเวอร์งานลงยูทูบ มันมีช่องทาง เราเลยอยากมีช่อง มีเพลงของตัวเองลงบ้าง เพราะไม่ได้ขวนขวายอยากจะไปทำเทปในกรุงเทพฯ อยู่ที่นี่ก็ทำได้

หลักๆ ทำเพลงอยู่ที่สกลนครมาตลอดเลยใช่ไหม

ต่าย: ฐานที่มั่นอยู่สกลฯ เราไม่ค่อยอยากเข้ากรุงเทพฯ​ อยากจะให้มีอย่างซีแอตเทิลซาวด์ ลิเวอร์พูลซาวด์ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือเท่ากันหมดแล้ว มาสเตอร์ก็ส่งอินเทอร์เน็ตได้ ไม่จำเป็นต้องไปกองกันอยู่กรุงเทพฯ

ถ้าเทียบยุคนั้นก็มีวงจากเชียงใหม่ที่ไปดังในกรุงเทพ​ฯ จนมีชื่อเสียงทั่วประเทศ อภิรมย์เองก็เป็นวงจากภาคอีสาน ปัจจุบันหลายเมืองอย่างขอนแก่น มหาสารคาม สกลนคร อุดรธานี ก็เริ่มมีศิลปินเยอะขึ้น 

ต่าย: เป็นเทรนด์ด้วยนะ อย่าง Anatomy Rabbit ทุกคนก็จะรู้ว่ามาจากอุดรธานี แต่ก็ต้องมีการสื่อสารกันมาก่อนว่าฉันอยู่อุดรธานีนะ หรือดีเจบอกว่าวงจากอุดรธานี อย่าง Cat Radio ก็จะบอกว่าวงนี้จากเชียงใหม่นะ วงนี้จากสกลนคร จากอุดรธานี จากหัวหิน มันไม่ใช่เรื่องของค่ายแล้ว

รู้สึกอย่างไร เมื่อเพลงอย่าง วันสบาย เจ้าสาวไฉไล หรือ ผิงไฟ มีคนรู้จักในวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะแค่ในสกลนคร แต่ยุคนั้นยังติดชาร์ตเพลงฮิตในกรุงเทพฯ ด้วย 

ต่าย: เราเป็นคนไปยื่นที่ Fat Radio เองแหละ เขาไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าเอาเพลงจากยูทูบไปเปิดเองนะ ตอนแรกก็หวังว่าเขาจะติดต่อมาขอเพลง เขาคงไม่มีเวลาขนาดนั้น เราคิดบ้าไปเอง แต่ก็มีจังหวะหนึ่งที่ปล่อยเพลงลงยูทูบประมาณ 3-4 เดือน โดยที่ยังไม่ได้ไปติดต่อคลื่นวิทยุ อยากดูพฤติกรรมคนฟังเพลงว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน พอพ้นจากจังหวะนั้นก็คิดว่าจะส่งคลื่นวิทยุ คือมีขั้นตอนที่คิดวางไว้อยู่ ในระหว่าง 3-4 เดือนแรก ช่วง 1,000-10,000 วิว เป็นช่วงที่ได้แฟนเพลงจริงๆ

พอเพลงดัง ตอนนั้นตั้งใจจะยึดอาชีพหลักเป็นศิลปินกันเลยไหม 

ต่าย: ตอนนั้นเล่นกลางคืนกัน แต่ก็บอกกับวงว่าออกไปทัวร์ยังไงก็ช่าง ให้มองเป็นงานอดิเรก กลับมาบ้านเราก็ยังมีชั่วโมงเล่นที่ร้านเหมือนเดิม อาชีพหลักคือการเล่นที่ร้าน ถึงเงินจะน้อยกว่าก็จริง แต่เรายังยึดว่าให้อภิรมย์มันสนุก ไม่ใช่แบบว่าดังแล้วเลิกเล่นกลางคืน

ต่อจากที่พักวงไป กลับมาทำอัลบั้ม ไม่อภิรมย์ มีจุดเริ่มต้นจากเพลงไหนก่อน 

ต่าย: เพลง กระดาน ซึ่งเป็นไซด์โปรเจ็กต์งานเดี่ยวที่เขียนมาแล้วไม่เป็นอภิรมย์ แต่รู้สึกว่าโทนนี้ก็คือผมอีกมุมหนึ่ง เลยบันทึกเป็นเดโมปล่อยลงยูทูบ เหมือนกับว่าเวลาผมคิดเขียนเพลง ดีไม่ดียังไง คนจะฟังหรือไม่ฟัง คิดเอาไว้ว่าถ้าไม่บันทึกไว้แล้วมันจะไปอยู่ไหน ถ้าผมโดนรถชนตายก่อน เพลงที่คิดออกมามันจะอยู่ไหน ผมเลยทำเพื่อบันทึกความคิดแค่นั้น 

เพลงนี้ผมเขียนเรื่องการเมืองสำหรับเป็นไซด์โปรเจ็กต์ เพราะไม่อยากให้กระเทือนวง แต่เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตก็แกะไปเล่น โดยไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเอามารวมในอัลบั้มของอภิรมย์

เพลง กระดาน มีที่มาอย่างไร 

ต่าย: กระดาน เขียนในปี 2557 ตอนนั้นมีเหตุการณ์เหลืองกับแดงทะเลาะกัน แรงจูงใจจริงๆ คือมีคนตาย เรามองว่าบางทีคนปลุกปั่นก็ปั่นไป พูดเรื่องเหตุผลอยู่บนเวทีก็มีนัยเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ คนที่รับแนวคิดมาก็สู้ด้วยความเชื่อ “เหมือนเบี้ยแบกเหตุผลไปตาย เราก็ออกมาเป็นคนดูตรงกลาง จนมองว่ามันเป็นเกมมากๆ แล้ววันหนึ่งก็คงต้องมีคนมาห้าม”

ตอนที่เขียนเพลง กระดาน ผมไม่ได้ตั้งใจเขียนออกมาเป็นเพลง แต่เขียนเป็นบทความในเฟซบุ๊กก่อน น่าจะปี 2554-2555 เป็นการเปรียบสัญลักษณ์ทางการเมืองกับกระดานหมากรุก เบี้ยเป็นตำแหน่งกองหน้า ถัดมาเป็นโคน เรือ คิง ถัดออกมาก็เป็นคนเล่น แล้วยังมีคนที่อยู่หลังคนเล่น เป็นการเล่าเรื่อง ถ้าภาษาเพลงก็คือบัลลาดโฟล์ก บัลลาดร็อก เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ แต่วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากเล่นเพลงนี้แล้ว ต้องอธิบายตลอดว่าเพลงนี้เขียนก่อนรัฐประหาร มันคือการบันทึกเหตุการณ์ว่าช่วงนั้นเป็นแบบนั้น 

เพลงก็จบแบบมีคนมาล้มกระดานด้วย ซึ่งสองปีหลังจากเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ 

ต่าย: ตอนนั้นหวังว่าใครก็ได้ที่มาล้มกระดาน ไล่ไอ้สองคนนี้ไปเล่นที่อื่น แล้วหาคนรุ่นใหม่มาเล่นแบบแฟร์ๆ กัน

อภิรมย์มีภาพจำว่าเป็นเพลงชิลๆ เล่าเรื่องมุมมองความรักจากชนบท พอเป็นเพลงที่มีกลิ่นการเมือง ได้รับฟีดแบ็กอะไรกลับมาบ้าง

ต่าย: คนชอบนะ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะอยู่ฝั่งไหนก็ชอบหมด ตอนนั้นเรื่องเหลืองกับแดงมันแรง แตะอะไรก็ไม่ได้ แต่เพลงนี้ไม่ได้บอกเลยว่ากูอยู่ฝั่งไหน แค่เล่าภาพรวมเฉยๆ ว่าวันหนึ่งก็ต้องจบแบบนี้ วนลูปเลย มันถึงจุดที่คนเบื่อมากแล้วนะ หลายคนเริ่มถอยออกมาแล้ว เป็นกลางก็โดนด่าอีก ผมมาจับจุดตัวเองว่าชอบเล่าประมาณนี้ ไม่ได้บอกว่าต้องไปทางไหน แต่บอกว่าพลาดตรงนี้หรือเปล่า เหมือนเตือนมากกว่า ไม่ได้ระดับวงไททศมิตร ยังคุยกันเลยว่าให้กูไปลุยอย่างมึง กูไม่ใช่แบบนั้น คงไม่ได้พูดตรงๆ อะไรแบบนั้น จะพูดลอยๆ ใช่หรือเปล่า หรือว่าไม่ใช่ เป็นอย่างนั้นมากกว่า

พูดถึงเพลง คนข้างใน ซิงเกิลแรกในอัลบั้มไม่อภิรมย์หน่อย 

 ต่าย: คนข้างใน เป็นเพลงที่คิดคอนเซปต์ออกลำดับสุดท้าย จริงๆ จะอยู่ในอัลบั้ม 3 แต่ด้วยความที่เพลงในอัลบั้มนี้มันเครียดเกินไป และทุกคนชอบเพลงคนข้างในมาก เพราะมีความโจ๊ะ มีความกัดจิก เลยไม่อยากให้ไปอยู่ในอัลบั้มที่ 3 ที่จะมีความเฮฮา โฟล์กบอกว่าเอาเพลง คนข้างใน มาแก้เลี่ยน ซึ่งเนื้อหามีความไม่อภิรมย์ด้วย 

คนข้างในคืออีกคนในตัวเรา อีกบุคลิกหนึ่ง โดยพูดถึงสามอย่าง อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจพูดถึงปืน เงินทองพูดถึงลอตเตอรี ส่วนชื่อเสียงก็พูดถึงเพลง มันคือวงการเราเลย เล่นทีละเวิร์ส ท่อนที่ร้องว่า “ซ่อนเซอร์ไพรส์ก็ไม่บอก ปัดโธ่! คนข้างใน” คือตั้งคำถามว่าตัวตนมึงเป็นคนแบบนี้จริงๆ หรือว่าลืมตัว อย่างเช่นอย่าให้กูรวยนะ อย่าให้กูมีอำนาจนะ อย่าให้กูดังนะ พอได้ตัวแปรนั้นมาก็เป็นตัวของมันจริงๆ หรืออีกประเภทหนึ่งคือเผลอลืมตัว อันนี้วันหนึ่งอาจคิดได้ เราเก๊กเกินไป ไม่เคยทำแบบนี้กับเพื่อน ในเพลงจะเน้นเรื่องตัวแปรมากกว่า บทสรุปก็จะบอกว่า “สิ่งใดคือแรงที่ผลักออกมา พลังจากเงิน ชื่อเสียง อำนาจ ใจเรากับมัน ใครเป็นนายเป็นบ่าว พิสูจน์กับเวลา” ถ้าเกิดมีตัวแปรเข้ามาหาเราจริงๆ ใครจะเป็นคนควบคุม ใครเป็นนายเป็นบ่าว

อะไรถึงเลือกใส่มุมมองเรื่องอำนาจ เงิน ชื่อเสียง เป็นตัวแปรที่ทำให้คนข้างในออกมา 

ต่าย: เป็นเรื่องสากลเลยนะ แต่ไม่ค่อยมีใครเขียนออกมาเป็นสัญลักษณ์ในเพลงชัดๆ อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง เป็นคำพูดที่ติดปาก ก็เล่นสามคำนี้เลย อำนาจ ถ้าเป็นสัญลักษณ์คืออะไรดี ง่ายๆ ก็คือปืน เงินเป็นอะไรที่มาแว้บๆ ก็คือลอตเตอรี พรุ่งนี้รวยเลย อยู่ดีๆ ก็มีเงินล้านจะทำตัวอย่างไร ชื่อเสียงเป็นเพลง อยู่ดีๆ ก็ดังข้ามคืนเฉยเลย

เจตนาของเพลงนี้อยากสื่อสารอะไรกับคนฟัง?

ต่าย: สไตล์เดิมนะ เป็นคำถามปลายเปิด เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า เหมือนกับว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของเพลงเหมือนกัน เราไม่ใช่นักปรัชญาที่เข้าใจทุกอย่างถ่องแท้ แล้วบอกว่าเจ้าจงไปทิศนี้นะ เราก็เป็นเหมือนกับผู้ร่วมชะตากรรม ฉะนั้นจะไม่เขียนเพลงเชิงชี้นำ ก็เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ “วันดีคืนดี มีคนให้เขาพกปืน กลับกลายเป็นคนเกรี้ยวกราด ช่างแสนคิดถึงเหลือเกิน” ไม่ได้บอกว่าอย่าไปทำแบบนี้ ทำอย่างนี้ไม่ดี แต่คนฟังจะประมวลเอง

คนข้างในที่มีอำนาจ ชื่อเสียง เงินตรา คนแบบนี้สร้างผลกระทบให้สังคมยังไง 

ต่าย: ต้องวุ่นวายแน่นอน อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ต้องนับคนใหญ่คนโตหรอก เพื่อนเราก็ได้ รู้สึกว่า เฮ้ย อยู่ดีๆ ตั้งแต่มึงรวยขึ้นมา ทำตัวกับกูไม่เหมือนเดิมเลย มันก็ไม่โอเคแล้วล่ะ ตั้งแต่ดังมาแล้วหยิ่งกว่าเดิม เขียนเพลงนี้แค่ในระดับของการเตือน สำรวจตัวเองมากกว่า ไม่ได้บอกว่าถูก ผิด ดี ไม่ดี ถ้าฟังแล้วเอาไว้เตือนตัวเองได้ ระวังตัวเองได้ จะทำให้สังคมดีขึ้นไหม ไม่รู้นะ ก็เป็นแค่เพลง แค่เสนอวิธีคิดของเรา บางทีเราก็ทำแบบนั้น อย่างเช่นตอนที่มีชื่อเสียง ขนาดสำรวจตัวเองดีแล้วนะ ก็ยังรู้สึกว่าพลาด ทำไมพูดแบบนี้กับเพื่อนคนนี้ เป็นเพราะชื่อเสียงเหรอ เราถึงไม่เกรงใจมันเหมือนเดิม

มาที่เพลง รังแกเด็ก เพลงนี้ได้ไอเดียมาอย่างไร 

ต่าย: ช่วงหนึ่งมีกระแสปลูกป่า ผมก็อยากพูดเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ แต่การพูดถึงทรัพยากรธรรมชาติตรงๆ บางทีก็เป็นเพลงที่น่าเบื่อ ก็หารูปแบบการเล่าอยู่พักหนึ่ง มานึกถึงคำของเสนาลิง (สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์) ที่เคยพูดเอาไว้ว่า ให้มองทรัพยากรธรรมชาติเป็นของกองกลาง ที่เราใช้ในฐานะผู้ยืมของลูกหลาน เพราะฉะนั้นเวลาเราใช้แล้วคืนไม่ครบก็ต้องละอายใจกันบ้าง เราเกิดก่อนจะมาใช้หมดเลย คนที่เกิดมาทีหลังก็ซวยสิ

เพลงเลยเจาะไปทาง Generation พูดแทนเด็กว่า คุณหลงเหลืออะไรให้ฉัน ก็ได้ท่อนนี้มาก่อน “คุณนั้นมีโอกาส ยืมมันใช้ก่อน” เวลาเล่นคอนเสิร์ตจะแอบพูดด้วยแหละว่าอะไรที่เด็กถูกขโมยไปบ้าง มันได้ทุกยุคเลย อย่างเช่นว่า นอกจากอากาศ ดีๆ ยังขโมยอุทยาน ขโมยเสือดำ ขโมยความยุติธรรม พูดได้หมด

เอาประเด็นทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นสารตั้งต้น แต่พูดแทนในหลายประเด็นที่เด็กโดนขโมย 

ต่าย: ใช่ สารตั้งต้นคือเรื่องการขโมย หรือประเด็นง่ายๆ อะไรที่หายไปจากรุ่นพ่อเรา มันหายไปไหนล่ะ ก็สูตรเดิม เหมือนเด็กคนหนึ่งเล่าเรื่องแล้วก็เตือนสติ ถ้าเราโตขึ้นก็อย่าไปขโมยของเด็ก

ในช่วงวัยของคุณมีอะไรที่ถูกขโมยไปบ้าง 

ต่าย: เรื่องการเมืองนี่แหละ กี่ปีแล้ว ลองนับดูสิ มันจะจบไหมเรื่องการเมืองในยุคที่ลูกเราโต เรื่องการศึกษาเคยคุยกับหลายๆ คน ก็ดรอปลงไปเรื่อยๆ จรรยาบรรณครูจรรยาบรรณข้าราชการมันดรอปไปเรื่อยๆ ทุกอาชีพเลย ยิ่งโลกรีบพัฒนาเกินไป จรรยาบรรณไม่จำเป็นแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้ารุ่นลูกเราโตขึ้นจะเจอกับอะไร มันหายไปเรื่อยๆ

เพราะผู้ใหญ่ไปขโมย ไปรังแกเด็ก มันเป็นแรงกระตุ้นเด็ก เลยมีการส่งเสียงเรียกร้องขอคืน อย่างบรรยากาศที่เกิดอยู่ในช่วงนี้ 

ต่าย: ถ้าเป็นคนยุคผมก็จะรู้แล้วว่าสักวันหนึ่งมันต้องเกิดขึ้น เพราะว่าเด็กกำลังสู้เพื่ออนาคตของเขา เห็นหลายๆ อย่างที่ไม่ถูกต้อง มันต้องลุกฮือ คนรุ่นทำงานก็บอกว่าทนไป แต่เด็กทนไม่ได้ เพราะว่าชีวิตยังต้องอีกไกล

คนวัยทำงานก็อาจจะได้แค่บ่นว่าก็มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เด็กรุ่นหลังความคิดแบบนั้นไม่ใช่ ทนไม่ได้แล้ว โดนขโมยไปจนจะไม่เหลือแล้ว 

ต่าย: คนที่บอกว่าทนๆ ไป ก็มีพื้นที่เซฟโซนของเขา มีวิธีการเอาตัวรอดของตัวเอง ส่วนเด็กก็ตามกลไกเลย จะบอกว่าเด็กพวกนี้เป็นปีศาจของผู้ใหญ่รุ่นที่แล้วก็ได้ แต่คนที่สร้างปีศาจก็คือคุณ คุณหล่อหลอมให้เกิดกลไกนี้เองกับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยุติธรรม เรื่องกฎหมาย มันหล่อหลอมให้เกิดปีศาจที่คุณจะต้องเจอ ถ้าคุณทำบ้านเมืองดีจะเกิดเรื่องนี้ได้ยังไง ก็ยังซื้อเรือดำน้ำอยู่ จะทำให้คนคิดยังไง

ในอัลบั้มนี้มีเพลงที่ฟังแล้วเหมือนเรื่องเล่าในรายการผีเลยคือเพลง เดิมเดิม หากได้อ่านคอมเมนต์ในยูทูบก็มีแต่คนฟังเข้ามาคอมเมนต์ว่าหลอนทั้งนั้นเลย 

ต่าย: บางคนคิดว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า ตอนเขียนเพลงนี้ส่งให้ พี่ฤทธิ์ (วราฤทธิ์ มังคลานนท์ นักจัดรายการวิทยุชื่อดัง) แกถามว่าต่ายป่วยหรือเปล่า จริงๆ พูดถึงผี ห้องเดิมเดิมหมายถึงวนลูป ได้อิทธิพลมาจากการฟังเดอะช็อกเรดิโอและเดอะโกสต์เรดิโอ เพราะชอบฟังเรื่องผี ชอบเหตุผลในการปรากฏตัว เลยลองเล่าเรื่องผีแบบนี้ พูดถึงเรื่องวนลูป ว่าพฤติกรรมเขาทำอะไร มีเหตุและผลในการปรากฏตัวอย่างไร อย่างความเชื่อของตะวันออก ถ้าทำอัตวินิบาตกรรมเป็นบาปหนัก ต้องมาทำซ้ำๆ ก็เล่าฉากแรกเป็นพฤติกรรมของผู้หญิงที่ต้องตื่นมาในช่วงเวลาตี 1 ตลอด แล้วเข้าฮุกว่าทำเรื่องเดิมๆ คือผูกคอตาย เวิร์สสองพูดถึงเรื่องก่อนที่เขาจะตาย ย้อนกลับไปว่ามีความทุกข์ พยายามหนีปัญหา ก็ผูกคอตาย แล้วฟื้นขึ้นอีกครั้งในห้องเดิมไม่ได้ไปไหน พล็อตสำหรับคนที่ฆ่าตัวตายก็จะเป็นแบบนี้ เหมือนกับเป็นกติกาเลยว่าคุณต้องเจอแบบนี้

เวลาไปทัวร์ก็จะบอกว่า ถ้าคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นการหนีปัญหา มันมีอะไรที่น่ากลัวกว่า ลองมองไปว่าถ้าเกิดคุณตายแล้วต้องทำอย่างนั้นตลอด โคตรทรมาน เลยเล่าในมุมของคนตาย เพลงนี้ก็เกิดขึ้นตอนทำงานเดี่ยว คือพยายามจะตั้งโจทย์ที่ทะลุขีดจำกัด อยากได้โจทย์ที่ซับซ้อน เรื่องที่เขาไม่ค่อยพูดกัน เลยเล่าเรื่องผี คนจะได้กลัวที่ไปทำแบบนี้ อาจจะเป็นประโยชน์

มีอีกเพลงหนึ่งที่มีความรู้สึกชวนขนหัวลุกคล้ายกัน เพลง วันแล้ววันเล่า 

ต่าย: พล็อตได้มาจากเดอะช็อกเรดิโอและเดอะโกสต์เรดิโอ เหมือนกัน แต่เพลงนี้ไม่ได้แต่งเป็นเรื่องผี เขาก็เล่าเรื่องผีไปว่ามีผู้หญิงแก่ๆ มาซื้อเหล้าขาวตามปกติ เจ้าของร้านก็ขายให้ แต่มารู้ทีหลังว่าตายแล้ว ก่อนตายผู้หญิงแก่คนนี้อยู่กระต๊อบจะพังแหล่ไม่พังแหล่ วันๆ ก็กินแต่เหล้าขาว ตอนยังเด็กครอบครัวรวยมาก มีลูกสาวคนเดียว พอพ่อแม่เสียก็ได้มรดก มีทั้งเงิน ทั้งความสวย แต่ใช้ชีวิตเสเพลมากเลย สุดท้ายต้องมาอยู่ในกระต๊อบ เลยมาตีความพูดถึงความรัก ว่าเวลาเจอความรักแล้วมีปัญหาก็ไม่ทนอยู่กับผู้ชายคนนั้นต่อ มีผู้ชายคนอื่นไปได้เรื่อยๆ เพราะว่าทั้งสวย ทั้งรวย ใช้ชุดความคิดนี้ไปจนแก่ ในท่อนฮุกจะเล่าว่า “โอ้…ความงามแถมมากับคำสาป ให้เธอสนสาละวนแค่ภาพ” เหมือนกับว่ามันหลอกให้เราสนใจแต่เรื่องสวยงาม ยิ่งใช้ยิ่งหลงตัวเองไปเรื่อยๆ

เป็นคนเชื่อเรื่องผีไหม 

ต่าย: เชื่อ แต่ไม่เคยเห็นนะ เชื่อว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เป็นมิติคู่ขนาน คนที่ไม่เชื่อจะบอกเลอะเทอะ ชุดความคิดนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา เขาบอกว่าประเทศที่เจริญแล้วผีไม่มีจริง งมงาย คำถามคือ แล้วทำไมคนเห็นผีกันทั่วโลก ฝรั่งมันก็เห็น ปัจจุบันนี้ถึงขั้นวิจัยและพิสูจน์ออกมาว่า โลกหลังความตายมีวิญญาณออกจากร่างจริง แต่ยังเจาะไม่ได้ว่าไปไหนต่อ แต่รู้ว่าผีมีการปรากฏตัวอย่างไร การเข้าแฝงร่างหรือเข้าทรงมันมีการสร้างสมมติฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ มองเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เลยนะ

มาที่บทเพลง 213 เพลงที่ฟังแล้วน่าจะรื่นรมย์ที่สุดในอัลบั้ม เป็นตัวเลขของถนนทางหลวง เส้นที่ข้ามภูพานและมีโค้งปิ้งงูเป็นจุดเด่น อยากรู้ว่าทำไมถึงเลือกถนนเส้นนี้มาเล่าเป็นเพลงนี้ 

ต่าย: พอพักวงแล้วมาทำงานเดี่ยว ระหว่างนั้นก็ไปทัวร์เป็นกลุ่มชื่อ ‘คณะพ่วงรักเร่’ เรามีกติกาว่าแต่ละครั้งที่ทัวร์ต้องมีเพลงของตัวเอง เพลง 213 เขียนตอนทัวร์รอบที่สอง ซึ่งได้อิทธิพลมาจากการทัวร์รอบที่หนึ่งที่โคตรหนัก เดือนครึ่งไม่ได้กลับบ้านเลย คิดถึงบ้าน เลยอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับบ้าน แต่ผมจะชอบหลีกเลี่ยงอะไรที่ตรงๆ อย่างสกลนครจะหลีกเลี่ยง แล้วจะพูดอะไรที่เกี่ยวกับบ้านล่ะ หนองหารไหม ภูพานไหม ก็ชอบนะ แต่มีถนนเส้นนี้ (ทางหลวงหมายเลข 213) เลยโฟกัสลงไปที่ถนนว่าเกิดบรรยากาศอะไร 

ปรากฏว่าเป็นถนนที่เรารู้สึกกับมัน เลยให้เพลงดำเนินเรื่องเหมือนกำลังนั่งรถอยู่ มันเป็นช่วงที่ค้นหาตัวเองด้วย อย่างเช่นว่าเราไม่ได้รู้สึกอยากจะออกไปข้างนอกเลย ไม่ได้อยากดังขนาดนั้น รู้สึกว่าวันที่กลับมาสู่จุดเดิมที่เป็นตัวของตัวเอง เรามีความสุข มีประโยคว่า ฉันดีใจกับที่เดิม” ประเด็นนี้อาจจะไม่ได้พูดถึงบ้านจริงๆ ก็ได้ อาจจะพูดถึงตัวเราที่กลับไปที่เดิม ตอนทัวร์มันเหนื่อย ไม่ได้คิดว่าเพลงนี้คนอื่นฟังแล้วจะเก็ต ในอัลบั้มนี้ส่วนใหญ่พูดถึงชีวิตส่วนตัว เลยพูดถึงถนน ถนนนี้คืออะไร มุ่งสู่อะไร จะมีประเด็นที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่าโค้งปิ้งงูมันอันตรายนะ แต่เราผ่านไปรู้สึกว่าทำไมมันอบอุ่น มันอันตรายตรงไหน มีความปลอดภัยที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ปรากฏว่าความรู้สึกของเพลงต่อให้คนที่ไม่เกี่ยวกับ 213 ก็รู้สึกเหมือนกลับบ้าน

เพลง ฤดูจริง ล่ะ 

ต่าย: สองเพลงสุดท้าย (ในอัลบั้มไม่อภิรมย์) ไม่ได้สร้างมาเพื่อเล่นสดเลย เพลง ฤดูจริง โคตรดิ่ง พูดถึงลูกที่คลอดก่อนกำหนด หมอบอกว่าไม่รอด รอดก็พิการ ต้องหาหมอคนที่ 4 ถึงบอกว่ารอดไม่รอดก็ต้องผ่า ปรากฏว่ารอด แต่คลอดมาน้ำหนักแค่ 725 กรัม แล้วต้องปั้มหัวใจออกมาจากห้องผ่าตัด อยู่ในตู้อบปลอดเชื้อ 3 เดือน ขณะที่อยู่ในตู้อบก็เยี่ยมได้วันละ 2 ชั่วโมง นอกนั้นทำอะไรไม่ได้ หมอบอกทุกวันว่าทำใจนะ วันนี้หยุดหายใจไปแล้วปั้มขึ้นมาใหม่นะ คือ 50-50 สามารถตายได้เลย 

ก่อนหน้านั้นอยากจะเขียนเพลงให้ลูกนะ แต่เจอแบบนี้มึนเลย พอเอามาเขียนก็ได้เป็นเพลงฤดูจริง ที่ไม่เล่นสดเพราะว่าเพลงนี้ดาเมจแรง ตอนอัดบันทึกเสียงก็อยากจะร้องไห้ ยังรู้สึกว่ารับมือกับเรื่องที่รุนแรงนี้ไม่ได้ ท่อนสุดท้ายพูดว่า ข้ามวันต่อวันยาก อยู่หรือไปจากเกินอยากรู้ เจ้าเมล็ดจู่ๆ ชูยอดใบอ่อนก่อนฝน ไม่รู้ชื่อใบดอก งอกสิ่งใด โถ…ใครสน ขอเพียงเจ้าอยู่ สู้ทนจนถึงฤดูจริง”

คือในห้องนั้นไม่มีใครคาดหวังว่าเด็กโตไปจะอยู่โรงเรียนไหน เติบโตยังไง ประกอบอาชีพอะไร ขอแค่พรุ่งนี้รอด ไม่ได้ยินข่าวร้ายก็พอ ซึ่งความหมายของ ฤดูจริง อาจจะเข้าใจว่าขอให้ได้มีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้หมายถึงเมล็ดที่เกิดก่อน อย่างข้าวเกิดก่อนหน้าฝน อยู่ดีๆ งอกออกมาก่อนสามเดือน เหมือนเด็กที่เกิดก่อน พัฒนาการยังไม่ได้สร้าง อย่างปอดเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะพัฒนาในอายุครรภ์ ตอนนั้นปอดยังไม่สร้าง ตายังไม่ได้ทำ ทีนี้ 3 เดือนที่อยู่ในตู้อบ เขากำลังพัฒนาให้ปอด ตา เนื้อเหยื่อเริ่มสร้าง จนถึงฤดูจริง คือเป็นเด็กที่สมบูรณ์จากครรภ์จริงๆ

ปาฏิหาริย์เกิดคือรอด แล้วไม่ได้พิการอย่างที่หมอคาดการณ์ไว้ 

ต่าย: โคตรโกรธหมอ หมอคนแรกบอกว่าน่าจะเสียแล้ว เพราะว่าน้ำคร่ำแตก ถ้ารอดออกมาต้องพิการ คนที่สองก็บอกเหมือนกัน เขาก็น่าจะเจอเคสแบบนี้มาก่อน แต่ความเฉยชาของหมอ ไม่ให้กำลังใจเลย 

ตอนนั้นผมยังทัวร์ เมียก็โทรมาบอกว่า หมอคนสุดท้ายบอกว่าถ้าจะพิการก็ต้องเอาออกมาก่อน หมอคนนี้เก่ง มีชื่อเสียงเรื่องทำคลอดเด็ก ไปเรียนอยู่สถาบันเมืองนอก แล้วมีสิทธิ์สั่งยากระตุ้นปอดตัวนี้ได้ หมอคนอื่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแทบไม่มีเลย อีสานเหนือไม่มีเลย มีแกคนเดียว อยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์สกลฯ ก่อนคลอดต้องฉีดยาให้ได้ 4 เข็ม เพื่อกระตุ้นให้ปอดมันสร้าง พอดีครบกระบวนการก็คลอดมาได้

ระหว่าง 3 เดือนนี้ก็อยู่กับลูกตลอดแบบนั้นไหม ไม่ได้ทัวร์เลยแบบนั้นหรือเปล่า 

ต่าย: เหมือนเมียเข้าใจ ต้องหาเงิน อยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ วันหนึ่งเข้าไปเยี่ยม 2 ชั่วโมง หมอก็บอกว่าให้รู้สึกว่าลูกเขาไม่ได้เป็นอะไร เล่นกับลูก ร้องเพลงก็ร้องไป ต้องมีพลังงานบวกตลอด อย่าเอาพลังงานลบเข้าไป ทุกคนในห้องวิกฤติเด็กไม่คิดว่าลูกจะตาย มันทะลุความสิ้นหวังไปแล้ว เรารู้ว่า 50-50 ลูกมีสิทธิ์ตายได้ตลอดเวลา แปลว่าเราทำใจกับอารมณ์นั้นได้ ปรับตัวจนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของกรรม มันจะคิดได้เอง กลับบ้านสวดมนต์ทำได้แค่นั้น ถ้ายอมรับได้ว่าลูกตายแล้วรู้สึกว่าโลกไม่ได้แตก งั้นจะมาเศร้าทำไม แสดงว่าต้องหวังอะไรได้สักอย่างสิ

ขออนุญาตถามถึงตอนนี้ น้องถือว่าสมบูรณ์แล้วไหม 

ต่าย: ถือว่าปกติ แต่เหลือปอด เด็กที่เกิดก่อนกำหนดปอดยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ จมูกก็เป็นแผล เพราะว่าเครื่องให้ออกซิเจนใหญ่มาก จนกดเป็นแผล เหมือนเรดสกัลคู่ปรับกัปตันอเมริกา แล้วไง ไม่สน ไม่รู้สึกถึงความสวยเลยนะ ช่างมัน จะไม่มีจมูกก็ต้องรอดก่อน

เจอเหตุการณ์นี้ทำให้เรียนรู้เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร 

ต่าย: ถ้าเชื่อเรื่องผีก็ต้องเชื่อเรื่องกรรม กรรมคือพื้นฐานของศาสนา ตอนนั้นก็ทำได้แค่สวดมนต์ ขอให้ลูกปลอดภัย แต่ไม่ได้บนระดับจะถวาย ไม่ได้แลกอะไร คือเราอยู่ในระดับปลงแล้ว ไม่ใช่มาตีโพยตีพาย ถ้ามีกรรมเท่านี้ก็ขอให้ไปแบบไม่ทรมาน ก็เป็นกรรมของเขา นี่แหละไม่อภิรมย์ อัลบั้มนี้เป็นอย่างนี้ 

มาถึงเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม เพลง 2540 เดาจากชื่อเพลง คงหมายถึงปี พ.ศ. ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง 

ต่าย: เพลงนี้เป็นโจทย์ศิลปะภาษาที่ยากสุดแล้ว เขียนมา 9 ปี ยุคเดียวกับเพลง ผิงไฟ จดหมายจากโจโจ้ แต่ยังเขียนไม่จบ จนวันที่อัดก็ยังร้องไปแก้ไป เพลงนี้จะไม่เล่นสด เพราะว่าดนตรียาก ซับซ้อน และมีการ Featuring กับพี่บอย อิมเมจิน และ R-bu (ยุวบูรณ์ ถุงสุวรรณ) มันเป็นไปได้ยากที่จะจับสองคนนี้มาเล่น เพลงนี้พูดถึงวิกฤติต้มยำกุ้ง ปัญหาคล้ายกับโควิด-19 รัฐบาลไม่เยียวยา รู้สึกว่าต้มยำกุ้งจะหนักกว่าในเชิงล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัว มีคนโดดตึกตาย แขวนคอตาย

แต่ว่าประเด็น 2540 มาทีหลังจากผมนั่งในห้องน้ำแล้วเห็นแมลงเม่าเดินในช่วงหน้าฝน บางตัวมันสลัดปีกแล้วก็เดิน บางตัวก็ลากปีก เลยตั้งคำถามว่าทำไมมันไม่ถอดปีก หรือว่ามันรอให้ปีกแห้งก็บินได้ ก็ได้ไอเดีย ในเพลงไม่ได้พูดเรื่องต้มยำกุ้งเลยนะ พูดถึงเรื่องชีวิตแมลงเม่า เพราะ 1. ต้องการจะทะลุเพดานของตัวเอง ไม่สนว่าใครจะเข้าใจหรือเปล่า วัยรุ่นเขาคงไม่ได้เอาไปตีความหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ส่งให้เพื่อนให้แฟนฟังหรอก 2. คนที่ตีความต้องมีเวลาระดับหนึ่ง เพราะจะได้วิธีการแก้ปัญหา คือเพลงเกือบ 100% ของอภิรมย์จะไม่ชี้นำถูกหรือผิด ซึ่งบทสรุปของเพลงก็กลับมาว่ามีอะไรอยู่บนหลังแมลงเม่า แล้วแต่มองแล้วแต่เข้าใจ มีอะไรอยู่บนหลังมนุษย์เรา เลือกจะวางเลือกจะเก็บไว้” ศักด์ศรีหรือภาระกันแน่ที่ไม่ยอมวาง 

จะว่าไปเพลงของอภิรมย์เหมือนเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องรวมกันเป็นอัลบั้ม 

ต่าย: มองมันเหมือนกับหนังสือหรือภาพยนตร์ที่บรรจุอยู่ในเพลงมากกว่า มันเป็นช่วงที่อยากจะท้าทายตัวเอง เลยเขียนเรื่องที่หนักๆ ยิ่งเอาเรื่องที่หนักๆ ซับซ้อนและไม่น่าสนใจ อะไรที่เป็นศิลปะภาษากับบัลลาดมาย่อยให้ฟังง่ายเท่าไหร่ กูแม่งโคตรเจ๋งเลย คือฟังแล้วหนักแน่นอน แต่มันมีสุนทรีย์แหละ 

อัลบั้มนี้มีเรื่องที่สะท้อนทั้งสังคม การเมือง มุมชีวิต แล้วเรามองมากกว่านั้นไหมว่าเพลงของวงต้องเกิดอะไรต่อ เป็นเพลงเพื่อการเปลี่ยนแปลงไหม หรือทำหน้าที่อะไร 

ต่าย: แล้วแต่คนเอาไปใช้ ตอนนี้เราเลือกจุดยืนว่าเป็นแค่ผู้ติเตือน แค่เล่าให้คนฟังแล้วเอาไปคิดต่อ บทบาทของเราประมาณนี้ เรื่องที่ใครจะได้อะไรจากเพลงเป็นเรื่องของคนอื่น ฟังเพลงเดียวกัน บางคนก็ยังไม่เข้าใจหรือว่าตีความเป็นอย่างอื่น หรืออีกคนก็ได้อะไรไป อัลบั้มนี้บางคนก็ฟังว่าหนักไปแล้วไม่น่าสนใจ แต่บางคนก็จ้องมอง ซึ่งเราเลือกที่จะเล่าเรื่องยากเอง 

ถ้ามองในเชิงพาณิชย์ เวลาไปทัวร์ เพลย์ลิสต์เดิมก็ไม่สามารถถอดได้ตั้งหลายเพลง ก็ต้องเล่น แสดงว่าเพลงใหม่ก็ไม่ต้องทำให้เล่นได้ทุกเพลงก็ได้ ทางวงก็เปิดให้เราทำ เขาก็ปล่อยให้คนเขียนเพลงเป็นสุขทางสมองกับวิธีคิด การมอง การเรียบเรียง ส่วนพาร์ตดนตรีก็มาช่วยกัน ถ้ามามองว่าจะมีคนฟังไหม ภาษาที่เราเขียนจะเกรงใจทันที คือจะใส่ได้ไม่สุด เลยต้องไม่ใช่เรื่องของคนฟัง ใครฟังแล้วเข้าใจก็ถือเป็นกำไร เพราะคราวนี้เป็นงานปัจเจก เพื่อตัวเอง เพื่อระบายมากๆ 

ผมคุยกับทางวงว่าอัลบั้มนี้เหมือนกับทำทิ้งเลย อัลบั้มสามค่อยไปทำอะไรที่ฟังง่าย ซึ่งตอนที่ประชุมกันว่าเราจะทำไม่อภิรมย์ รู้สึกว่าตัวเองมีความสดใสขึ้น อารมณ์ดีขึ้น เหมือนได้ปลดล็อก ได้บำบัดเอาก้อนนี้ออก มันคลี่คลาย รู้เลยว่าอัลบั้มสามจะไม่เป็นแบบนี้ แล้วอัลบั้มสามก็มาทำลายความเป็นอภิรมย์ในชุดสอง วนกลับไปเรื่องการทำงานสามอย่าง ในความเป็นอภิรมย์ที่ต้องถูกทำลายตั้งแต่แรกนั่นแหละ คือรูปร่างของอภิรมย์ถูกประกอบขึ้นจากเราและแฟนเพลง เขามองว่าเราต้องเป็นคนอย่างนั้น เพลงต้องเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งเราต้องมาฆ่าความคาดหวังจากแฟนเพลง ด้วยความไม่อภิรมย์ ทำลายลงว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตฉัน ยังมีมู้ดนี้อยู่ อยากให้คนได้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลาก็เจออะไรไม่เหมือนกัน คงไม่ยึดเป็นเซฟโซน เขียนแบบนี้ขายได้ ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น เพราะจะกลายเป็นตัวที่ขังเรา

ถ้าเกิดว่าเพลงฮิตแบบอัลบั้มแรกล่ะ สามารถแบกรับเรื่องแรงเสียดทานอย่างที่เคยเจอมาไหวแล้วใช่ไหม 

ต่าย: คิดไว้แล้วว่าถ้าเพลงในอัลบั้มนี้ถูกยอมรับ มันจะถูกยอมรับในแวดวงคนเบื้องหลังหรือนักเขียนด้วยกันมากกว่า คนที่เข้าใจจะเป็นคนกลุ่มนั้น เพราะว่ามีความเป็นศิลปะมากๆ ถ้าสมมติว่าเกิดถูกยอมรับขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเหมือนเราจะมีภาพของการเป็นนักเขียนมากขึ้น อย่างที่เราอยากเป็นนักเขียนเพลง เป็นผู้สร้างงาน ทรงก็ควรจะเป็นนักคิด มากกว่าศิลปินที่เป็นเซเลบ​ ถ้าเกิดเป็นคนดังแบบนั้น ผมยอมรับได้นะ

 

Tags: , , , , , ,