เชื่อว่าแบรนด์ PIPATCHARA คงเป็นชุดที่หลายคนอยากสวมใส่ รวมถึงกระเป๋าที่อยากมีไว้ในครอบครอง เพราะด้วยเอกลักษณ์ของตัว Infinitude ที่มาต้นแบบจากรูปทรงของปะการัง เติมสีสันกับความเหลือบเงาแล้วนำมาต่อร้อยเรียงกัน จนกลายเป็นเครื่องแต่งกายช่วยเสริมบุคลิกผู้สวมใส่ให้ดูสง่างาม

แม้หลายคนจะทราบแล้วว่า ตัว Infinitude หลากสีหรืออะไหล่รูปทรงโค้งๆ ที่นำมาร้อยต่อจนกลายเป็นเสื้อผ้าและกระเป๋าเหล่านี้ทำมาจากขยะพลาสติกกำพร้าอย่างฝาขวดน้ำ แต่เมื่อลงลึกไปถึงกระบวนการผลิต และย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของไอเดียนี้แล้ว เพชร-ภิพัชรา แก้วจินดา หัวเรือใหญ่ของแบรนด์บอกว่า เธอในฐานะดีไซเนอร์ไม่ได้เป็นผู้คิดค้นเพียงคนเดียว เพราะยังมีพาร์ตเนอร์อีกคนหนึ่งที่ขับเคลื่อนให้ PIPATCHARA เป็น Fashion for Community คือ ทับทิม-จิตริณี แก้วจินดา ผู้เป็นพี่สาว และทุกคนในทีม รวมไปถึงคุณครูในชุมชนต่างจังหวัดที่เป็นแรงงานในการถักเชือกแบบมาคราเม่ (Macrame) ของกระเป๋า PIPATCHARA แบบออริจินัล จนถึงการร้อยเรียง Infinitude เป็นกระเป๋าหลายคอลเลกชันที่ทุกคนคุ้นตา

เพราะเป็น Fashion for Community แบรนด์จึงไม่ได้มีแค่เพชร ภิพัชรา

เมื่อพูดถึงแบรนด์แฟชั่นในโลก ที่ชื่อแบรนด์เป็นชื่อดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์เอง นอกจากสินค้าแล้ว ภาพที่เรามองเห็นเด่นชัดที่สุดคงมีแค่ตัวเจ้าของแบรนด์ แต่สำหรับแบรนด์ PIPATCHARA เริ่มจากแนวคิดที่อยากเป็น Fashion for Community ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมกับคนหลายกลุ่ม

โดยแนวคิดนี้มาจากจากภิพัชราที่เรียนจบด้านแฟชั่นดีไซน์กับพี่สาวคือ จิตริณีที่ทำงานที่องค์การสหประชาชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกี่ยวข้องกับสังคม มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ถึงแม้จะเป็นคนละสายงาน แต่ทั้งคู่ก็ผสมผสานความถนัดของตนเองจนกลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับโลกได้

“เรากับพี่สาวมาคนละฝั่งกันเลย แต่พอเราจะมาทำอะไรร่วมกัน มันเลยต้องมี Core Values ของทั้ง 2 คนร่วมกัน ฝั่งเราเองคือเรื่องของแฟชั่น ดีไซน์ต่างๆ แต่ส่วนของพี่ทับทิม เขาต้องการทำในเรื่องเกี่ยวกับชุมชนหรือเรื่องสิ่งแวดล้อมได้”

เธอเล่าต่อว่า ความตั้งใจแรกของ PIPATCHARA ของเธอกับพี่สาวคือ การเป็น Fashion for Community ต้องการมีส่วนร่วมกับคนในชุมชน โดยยังไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การเป็นแบรนด์ เพื่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม โดยแรกเริ่มตั้งใจให้มีคุณครูและคนในชุมชนมาถักเชือกแบบมาคราเม่ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระเป๋า โดยในส่วนของชุมชนเริ่มต้นจากจิตริณีได้รู้จักกับมูลนิธิสติ (SATI Foundation) และทั้งคู่ได้ติดสอยห้อยตามไปเพื่อแจกปั๊มน้ำ จิตริณีจึงสอบถามคนในชุมชนว่า ต้องการเรียนถักเชือกเพื่อสร้างรายได้หรือไม่ และเมื่อคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจึงเป็นครั้งแรกที่พิภัชราสัมผัสได้ว่า PIPATCHARA ย่างเท้าเข้าสู่การเป็น Fashion for Community อย่างที่ตั้งใจ

“เราก็เลยเริ่มสำรวจว่า คุณครูอยากจะทำไหม มันตอบโจทย์ชีวิตเขาไหม ถ้าเขาจะทำ เขาจะได้อยู่ในภูมิภาคเดิมของเขา ไม่ต้องย้ายเข้ากรุงเทพฯ เราก็เข้าไปสอนถักในชุมชน คุณครูคนไหนสนใจก็เข้ามาเรียนได้ ซึ่งตอนนั้นเริ่มต้นจาก 8 คน ทั้งผู้หญิงผู้ชาย” พิภัชราเล่า

PIPATCHARA เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์แฟชั่นที่ทำงานร่วมกับชุมชน และในปี 2563 จิตริณีได้เริ่มมีไอเดียใหม่ที่อยากเพิ่มมูลค่าให้กับขยะพลาสติกกำพร้า อย่างฝาขวดน้ำที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ประกอบกับช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้พิภัชรามีเวลาศึกษาเรื่องขยะพลาสติกว่าสามารถนำไปทำอะไรได้บ้างในวงการแฟชั่น และยังต้องเป็นดีไซน์ที่ดูไม่เหมือนขยะ จนออกมาเป็น Infinitude สีสันสวยงาม ซึ่งเป็นองค์ประกอบของกระเป๋าที่หลายคนชื่นชอบ

และเจ้าตัว Infinitude นี้ ใช้เวลาพัฒนาถึง 2 ปี ทั้งในกระบวนการทดลองแปรรูปฝาขวดน้ำพลาสติกที่เธอเล่าว่า ต้องเข้าไปศึกษาและลงมือพัฒนาร่วมกับวิสาหกิจชุมชน จึงมีคนหลายคนที่มีส่วนร่วมทำให้เกิด Infinitude อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

“ในส่วนการดีไซน์ Infinitude เราอยากทำให้กระเป๋าดูไม่เหมือนขยะเลย เรากับทีมเลยทำคอนเซปต์ปะการัง เพราะคนชอบปะการังที่มันสวย ถ้าเราเอาขยะมาอยู่ในรูปแบบปะการัง คนจะไม่คิดว่ามันคือขยะ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เราใช้เวลานาน เพราะขยะปกติ ถ้าเราเอาไปย่อยแล้วทำออกมาเลย สีของตัว Infinitude ที่ได้มันจะไม่มีมิติ ไม่มีความเหลือบสีหรือไล่สีเลย เพราะฉะนั้นที่เราใช้เวลานาน เพราะเราต้องจับมาผสมสีด้วย ใช้ทัปเพอร์แวร์ (Tupperware) ผสมฝาขวดน้ำ ต้องคำนวณสัดส่วน เราจึงใช้เวลา 2 ปีเต็มกว่าที่เราจะได้สีพวกนี้ออกมา” เธอเล่าถึงกระบวนการออกแบบและผลิต

เธอบอกกับเราก่อนหน้านี้ ตัว Infinitude จะเป็นงานทำมือในทุกขั้นตอน และจะใช้การตัดด้วยมือ ไม่ใช่เครื่องจักร แต่ปัจจุบันมีความต้องการผลิตให้เยอะขึ้น จึงต้องใช้เครื่องจักรแทน โดยนำขยะพลาสติกเทลงไปในเครื่อง แล้วให้เครื่องจักรปั่นและอัดออกมาเป็น Infinitude แต่การใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนที่มนุษย์อาจทำให้แนวคิดในการให้ชุมชนมีส่วนร่วม รวมถึงความตั้งใจที่อยากให้คนในชุมชนมีรายได้นั้นหายไป PIPATCHARA จึงนำวิธีต่อตัว Infinitude นี้ไปสอนให้กับคุณครูอีกชุมชน

“เราเป็นคนชอบในเรื่องของการทำงานหัตถกรรมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเราใช้เครื่องจักรอัดมาเป็นพลาสติกเลย เราจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเลย เราจึงเกิดการสอนต่อตัว Infinitude ให้เป็นกระเป๋า ให้ชุมชนยังทำงานกับเรา อีกชุมชนหนึ่งถักเชือก อีกชุมชนหนึ่งต่อตัว Infinitude”

แม้แบรนด์ PIPATCHARA มีคนหลายกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม แต่ผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ยังคงเป็นภิพัชรา ที่ต้องรับบทบาทเป็นทั้งผู้บริหารและดีไซเนอร์ที่ต้องหาสมดุลระหว่าง 2 สิ่ง

“การที่เราต้องทำทุกอย่างในคนเดียว ความท้าทายคือเราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำด้วย เราอาจจะไม่อยากทำเรื่องตัวเลข อาจจะไม่อยากทำเรื่องการขายหรือการตลาด แต่จริงๆ สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้เราพัฒนาตัวเองในรอบด้าน ต้องปรับความคิดและทัศนคติว่า สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราเก่งขึ้น โตขึ้น ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น แล้วการที่เราจะทำหน้าที่ทั้งหมดอีกหนึ่งความท้าทายคือ เราต้องรู้ว่าคนที่ทำงานกับเรา ภาระงานมันหนักไปหรือน้อยไปสำหรับเขา ซึ่งถ้าเราไม่ได้เริ่มทำเองก่อน เราจะไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นมันหนักหรือน้อย”

เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยที่เรียนแฟชั่นดีไซน์จนถึงตอนทำงานในบริษัทแฟชั่นระดับโลก ความปรารถนาของเธอคือ อยากเป็นพนักงานบริษัทและอยากมีหัวหน้างาน ซึ่งเธอบอกว่าอาจเป็นความคิดที่แปลกไปเสียหน่อย เพราะตอนนี้เธอเป็นเจ้าของแบรนด์

“มีคนถามว่าเราอยากเป็นอะไร คือเราอยากเป็นพนักงานบริษัท ชอบการที่มีหัวหน้า เพราะว่ารู้สึกว่าเราได้ชาเลนจ์กับตัวเองทุกวัน อยากให้เขารู้สึกว่าเราพัฒนา ทำให้เขาเห็นว่าเราเก่งมากขึ้น แล้วอยากมีการประเมินงาน”

แม้ตอนนี้ภิพัชราเป็นหัวหน้าตัวเอง และไม่ได้มีหัวหน้าเป็นคนจริงๆ แต่เธอบอกว่าหัวหน้าของเธอในทุกวันนี้คือการเรียนรู้ ตัดสินตัวเองให้น้อยลง และใจดีกับตัวเอง

“จริงๆ แล้ว เราโชคดีที่มีพาร์ตเนอร์เป็นพี่ทับทิมด้วย เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ทำคนเดียวอยู่แล้ว PIPATCHARA ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรา มีทั้งพี่ทับทิม คุณครู คุณแม่ มีหลายท่านที่ยังอยู่ มีคนในทีม ยกตัวอย่างบางงานเราไม่มั่นใจที่จะทำ แต่มีคนในทีมที่อยากทำ เราก็ทำ พร้อมผลักดัน สุดท้ายแล้วพิภัชรามันมาจากหลายคนจริงๆ และความคิดเห็นของคนรอบข้างสำคัญ” ภิพัชราเน้นย้ำถึงความสำคัญของทุกคนที่มีส่วนร่วม

ดีไซน์ที่เป็นเหมือนชิ้นงานศิลปะ ไม่ใช่ฟาสต์แฟชั่น

ในโลกปัจจุบันที่คนหันมาสนใจเรื่องความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เลือกซื้อเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) สามารถสวมใส่ได้อย่างยาวนานและหลายโอกาส ซึ่งแบรนด์ PIPATCHARA ในรุ่นที่เป็นกระเป๋าหนังประดับด้วยเชือกถักถือเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ เพราะสามารถหยิบมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกวัน แต่สำหรับเสื้อผ้าและกระเป๋าที่เป็น Infinitude แม้จะแปรรูปจากขยะพลาสติกให้กลายเป็นชุดหรือ Upcycling แต่ด้วยการออกแบบที่มีความโดดเด่นและดูหรูหราของตัว Infinitude อาจทำให้ชุดหรือกระเป๋าถูกหยิบมาใช้ได้ในบางโอกาส หรือใช้ได้ไม่บ่อยนัก

“ความแกลมอาจมองได้หลายมุมมอง เรามอง Infinitude เป็นชิ้นงานศิลปะมากกว่าที่จะเป็นฟาสต์แฟชั่น เพราะฟาสต์แฟชั่นมันเป็นสิ่งที่เราต้องใช้แล้วทิ้ง แล้วเปลี่ยนใหม่ แต่ infinitude อันนี้ เราเริ่มทำตั้งแต่ 2553 พัฒนามันมา 2 ปีเต็ม จนตอนนี้ก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว มันยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนสี”

พิภัชราเล่าว่า ความตั้งใจของ PIPATCHARA คืออยากให้คนหยิบมาใช้ได้บ่อยๆ ไม่อยากให้ใช้ครั้งเดียวจบ โดยสินค้าอย่างเดรสหรือชุดกระโปรง เมื่อใส่จนเบื่อแล้วสามารถนำกลับมาถอดแยกชิ้น Infinitude แล้วต่อใหม่ให้กลายเป็นชุดเสื้อกระโปรงแบบแยกชิ้น หรือต่อให้เป็นกระเป๋าได้

ทั้งนี้ยังพูดถึงกระเป๋าที่เป็นสินค้ายอดนิยมว่ากระเป๋า 1 ใบ จะใช้ Infinitude ทั้งหมด 190 อัน ซึ่งเท่ากับฝาขวดน้ำ 190 ฝาเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องรอให้มีฝาขวดน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วสีเดียวกันครบ 190 ฝา จึงจะสามารถทำเป็นกระเป๋าได้ ด้วยระยะเวลาการรอที่ยาวนาน ทำให้ปีนี้ทางแบรนด์มีการพัฒนา โดยการนำฝาขวดน้ำแต่ละสีมาผสมกันเพื่อให้ได้สีใหม่ๆ 

“ด้วยความที่มันเป็นขยะ ที่เราไม่สามารถผลิตเองได้หรือคาดการณ์ได้ มันยากมากๆ ที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจว่า สิ่งนี้มันไม่มีแล้วหรือสิ่งนี้มันจะมีนะ แต่ต้องรอของ มันก็จะมีความยากในการทำธุรกิจกับมัน แต่ตอนนี้คนเริ่มที่จะเข้าใจว่า ต้องรอของ PIPATCHARA นะ ถ้าอยากได้สีตามนั้น” ภิพัชรากล่าว

Tags: , , , , , ,