หากพูดถึงแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งในดีไซน์ สีสัน และคุณภาพที่คนไทยคุ้นตา หนึ่งในนั้นย่อมต้องมีชื่อของ ‘PDM Brand’ แบรนด์ไทยที่เริ่มต้นจากเสื่อ ก่อนค่อยๆ ขยายกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนไลฟ์สไตล์ภายในบ้าน ด้วยสินค้าเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง
คอลัมน์ The Chair สัปดาห์นี้ เรามีนัดกับ ดิว-ดุลยพล ศรีจันทร์ ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา PDM Brand มาตลอดกว่า 10 ปี เขาคือคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของงานออกแบบไทย และกล้าพอจะลองทำ ‘เรื่องบ้าๆ’ ที่ไม่มีใครทำ ผ่านแนวคิดของดีต้องมีดีไซน์
เราจะพาไปฟังวิธีคิดเบื้องหลังแบรนด์นี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ไม่เคยตั้งใจจะเป็นแบรนด์ ไปจนถึงเส้นทางที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ แก้ไข และไปต่อด้วยหัวใจของนักออกแบบที่เชื่อในความหมายของทุกชิ้นงาน
ก่อนเป็นผู้บริหารแบรนด์ PDM ที่คนจดจำได้จากดีไซน์เสื่อสุดชิกและของใช้ในบ้านที่มีเอกลักษณ์ ดุลยพลเริ่มต้นเส้นทางสายออกแบบจากการเป็นดีไซเนอร์ เขาเคยฝึกงานและทำงานกับ Kenkoon สตูดิโอออกแบบชื่อดัง ก่อนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และใช้ชีวิตในฐานะนักออกแบบในยุโรปทั้งเยอรมนีและนอร์เวย์รวมกันเกือบ 3 ปี
ระหว่างนั้นเขาได้ทำงานกับบริษัทออกแบบในยุโรป ได้ร่วมพัฒนาโปรเจกต์กับโรงงานหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงงานไม้ เหล็ก หรือแม้กระทั่งหัตถกรรมชุมชนในไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และเมื่อกลับมาไทย เขายังได้ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านั้นผ่านบทบาทอาจารย์และที่ปรึกษาด้านการออกแบบ ให้กับทั้งองค์กรเอกชนและแบรนด์ไทยหลายแห่ง
“สิ่งสำคัญคือ เราได้ซึมซับวิธีคิดแบบดีไซน์สตูดิโอในยุโรป ซึ่งเขาไม่ได้ยึดติดกับวัสดุ หรือผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม เราได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่หลากหลายมากจริงๆ”
เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ตอนแรกไม่เคยคิดจะสร้างแบรนด์ของตัวเองด้วยซ้ำ ความตั้งใจในตอนนั้นมีเพียงแค่อยากช่วยเหลือผู้ประกอบการ เวลาไปเจอใครที่ทำผลิตภัณฑ์น่าสนใจ เขาจะเข้าไปช่วยในส่วนของงานออกแบบ แล้วก็ขยับออกมาอย่างเงียบๆ
กระทั่งวันหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจตั้งบริษัทให้เป็นกิจจะลักษณะ และใช้ชื่อว่า PDM ซึ่งย่อมาจาก Product Design Matters เพราะตั้งใจว่าจะทำแต่โปรดักต์ดีไซน์อย่างเดียว ไม่ทำอย่างอื่นเลย
The Story of the Mat
หลายคนรู้จัก PDM Brand จาก ‘เสื่อ’ ของแต่งบ้านดีไซน์จัดจ้านที่ทั้งดูดีและใช้ได้จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ว่าเสื่อผืนแรกของ PDM เกิดจากคำถามง่ายๆ ว่า ทำไมเสื่อไทยถึงไม่ดีเท่าพรม
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนดีไซเนอร์ชาวฟินแลนด์ที่เชี่ยวชาญเรื่องพรมมาเยือนเมืองไทย และเอ่ยปากชื่นชมเสื่อไทยที่วัดว่า “ดีจังเลย มาไกลขนาดนี้ยังมีคนใช้พรมอยู่” คำพูดนั้นกระตุกความคิดบางอย่างในใจของดุลยพลว่า ทำไมเสื่อไทยถึงไม่ถูกพัฒนาให้มีคุณภาพดีพอจะใช้แทนพรมได้ ทั้งที่เหมาะกับบ้านเมืองเรา ทั้งในแง่ภูมิอากาศและการใช้งาน เขาเริ่มส่งต่อไอเดียนี้ให้คนรอบตัว แต่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะมองว่าเสื่อยังธรรมดาเกินไป
“ผมมองว่า เสื่อเป็นของที่น่าสนใจ เพราะถ้าเทียบกับพรมในยุโรป คนที่นั่นซีเรียสกับการเลือกพรมมาก เพราะมันช่วยให้บ้านสวยขึ้นจริงๆ แต่คนไทยเรามักเลือกกระเบื้องกับเฟอร์นิเจอร์ก่อน ไม่ค่อยนึกถึงพรมหรือเสื่อ เพราะบ้านเรามีฝุ่นกับความชื้นเยอะ ผมเลยคิดว่า ถ้าอยากใช้เสื่อแทนพรมต้องทำให้ทั้งสวยและทน
“เรื่องความสวยไม่ยาก เพราะมีเพื่อนเก่งๆ เยอะ คงช่วยกันออกแบบได้ แต่เรื่องความทนนี่แหละยาก ต้องคุยกับโรงงานและพัฒนา Material ใหม่ ซึ่งก็ตรงกับงานที่ผมถนัด เลยชวนพี่แมน (แมนรัตน์ สวนศิลป์พงศ์ – ผู้ร่วมก่อตั้ง PDM) มาทำด้วยกัน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ PDM Brand เราเริ่มจากเสื่อ ลงทุนเล็กๆ แล้วก็วิ่งหาโรงงานจนพบว่า จริงๆ แล้วเสื่อเป็นธุรกิจใหญ่ที่มีผู้เล่นในตลาดไม่เยอะ”
ถามว่า ทำไมไม่ทำโรงงานเองหรือให้ชาวบ้านผลิต
ดุลยพลเล่าว่า หากจะทำโรงงานเองจริงๆ ก็ต้องเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ระดับครึ่งสนามฟุตบอลขึ้นไป เพราะเครื่องจักรที่ใช้ยังเป็นระบบเก่าแบบที่ชาวบ้านใช้กัน นอกจากนี้เขาเป็นคนที่สนใจเรื่อง Industrial Design เชื่อในพลังของการผลิตแบบอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าสินค้ามีดีมานด์ในตลาดจริงๆ ก็สามารถสเกลได้ เช่น โรงแรมสั่ง 1 หมื่นผืน ก็ผลิตได้ทันที
ขณะเดียวกันถ้าเป็นงานทอมือ ต้องขายในราคาสูงมาก อาจจะหลักหมื่นถึงแสนต่อผืน ซึ่งไม่ใช่ทางที่ PDM เลือก ดุลยพลจึงตั้งต้นว่า อยากให้ PDM เป็นแบรนด์ที่ ‘ทำบ้านคนไทยให้สวยทั้งประเทศ’ เพราะฉะนั้นการสเกลคือหัวใจสำคัญ
Taste of Entrepreneur
จากดีไซเนอร์ที่เคยได้รับรางวัลด้านการออกแบบมากมาย สู่เส้นทางนักธุรกิจที่ไม่ง่าย ดุลยพลเล่าว่า ในยุคนั้นนักออกแบบไม่ค่อยชอบขายของกันเท่าไร แต่นี่แหละคือเส้นทางใหม่ที่เลือกเดิน
“ผมเริ่มจากคิดแบบนักออกแบบ ทำของออกมาสวย แต่พอขายไม่ได้ หน้าแหกก็หลายรอบ เงินก็ไหลออกตลอด เหนื่อยมาก และก็ท้อมากเหมือนกันตอนนั้น แถมต้องมาเรียนรู้เรื่องธุรกิจแบบไม่มีพื้นฐาน ขณะเดียวกันพี่แมนที่มาทำด้วยกัน เขาเป็นนักธุรกิจ เป็นที่ปรึกษาอยู่แล้ว คงเห็นว่า ผมยังติดโลกของดีไซน์อยู่เต็มตัว จึงแนะนำให้ผมศึกษาเรื่องการทำธุรกิจ พบว่า มันคนละโลกกันจริงๆ จากคนที่เคยมีความสุขกับการออกแบบ ต้องมารับบทผู้ประกอบการเต็มตัว ต้องใช้เวลาหลายปีเหมือนกันกว่าจะหาจุดลงตัวให้ได้
“ตอนนี้ก็ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ แต่ในแง่มายด์เซตบอกเลยว่าดีกว่าช่วงแรกมากๆ”
Designer x Digital Marketing
ย้อนไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ดุลยพลเล่าว่า ตอนที่ดิจิทัลมาร์เกตติงเพิ่งเริ่มมาแรง เขาตัดสินใจกระโดดเข้าไปเรียนรู้ จากเดิมที่ทำงานดีไซน์มาตลอด เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ปลาเปลี่ยนน้ำ เหมือนต้องเริ่มจากศูนย์ กลายเป็นคนโง่ในโลกที่ตนเองไม่รู้จัก
เขาใช้เวลาปีกว่าๆ ในการทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ดิจิทัลมาร์เกตติง และตกผลึกว่า การตลาดก็คือการดีไซน์แขนงหนึ่ง ที่สามารถใช้วิธีคิดแบบนักออกแบบมาทำตลาดได้เหมือนกัน และสุดท้ายก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทั้งสินค้าและธุรกิจของเราเอง รู้ว่าจะหากลุ่มเป้าหมายของตัวเองได้อย่างไร เป็นใคร หรือมีไลฟ์สไตล์แบบไหน
“ที่ PDM เรามีเคล็ดลับที่ดีไซเนอร์หลายคนไม่ค่อยคิดถึงคือ ดีไซเนอร์ทุกคนมีความเข้าใจการตลาดออนไลน์ สามารถยิงโฆษณาออนไลน์ได้เอง เพราะมีความเข้าใจในระบบและโครงสร้างการโฆษณา การบริหารจัดการงบประมาณ และการติดตามผลยอดโฆษณา ด้วยเหตุนี้ดีไซเนอร์ของเราจึงมีกรอบความคิดด้านการตลาดและการสื่อสารค่อนข้างเยอะ”
Be Creative, Take Risk
เป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ เมื่อมีคนแรกก็ต้องมีคนที่ 2
ทันทีที่ PDM ปูเสื่อลงในวงการออกแบบ ก็มีผู้ผลิตรายอื่นตามมา ทำให้ราคาเสื่อแทนพรมสูงขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ดุลยพลเล่าว่า PDM เคยผ่านช่วงโกรธจัดจากการถูกลอกเลียนแบบมาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป และได้สวมหมวกผู้ประกอบการอย่างเต็มตัว เขาก็เริ่มเข้าใจว่า นี่คือโลกของการแข่งขัน
“ตอนนั้นเริ่มรู้สึกแล้วว่า บริษัทเราไม่ปลอดภัย เราไม่มีโรงงานของตัวเอง ทำแค่พัฒนาสินค้าและทำแบรนด์ ถ้าโรงงานขึ้นราคา ไม่ผลิตให้ หรือหันไปทำเอง เราอาจไปไม่รอด”
จากการพึ่งพาโรงงานคนอื่นมากเกินไป กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขยาย ไม่ใช่แค่ขยายสินค้าจากเสื่อไปเป็นที่รองจานหรือตะกร้า แต่เป็นการขยายแนวคิด PDM ให้กลายเป็น Design Studio Platform ที่มีโจทย์เป็นของตัวเอง
“เราเริ่มออกแบบเฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ แก้ว หรือแม้แต่แฟชั่น เพราะที่ผ่านมาเรารู้จักโรงงานหลากหลาย ทั้งไม้ โซฟา อะลูมิเนียม แก้ว ฯลฯ แล้วเราก็เริ่มถามตัวเองว่า ถ้าเราสร้าง Category ใหม่ๆ ได้ล่ะ ถ้า PDM เป็น Design Studio ที่ไม่ได้แค่รับโจทย์จากลูกค้า แต่ตั้งโจทย์เองแล้วทำให้เกิดจริง ผ่านแพลตฟอร์มของเราเอง”
ต่างจาก Design Studio ทั่วไปที่จบงานแค่ส่งแบบ PDM มีทั้งระบบ E-commerce แพลตฟอร์ม และฐานผู้ติดตามกว่า 4 แสนคน ซึ่งเกิดจากการทำ Communication อย่างต่อเนื่องตลอด 11-12 ปีที่ผ่านมา นี่คือความเสี่ยงที่กลายเป็นโอกาส และเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์สร้างสรรค์ให้ไปไกลกว่าหนึ่งผลิตภัณฑ์
โดยปกติแล้ว สตาร์ทอัพมักจะมีธรรมชาติที่กล้าได้กล้าเสีย พร้อมที่จะเสี่ยงในทุกสถานการณ์ แม้เวลาจะผ่านไป 12 ปีแล้ว ความกล้าหาญเหล่านี้ยังคงอยู่กับคุณไหม
ดุลยพลเล่าว่า ทุกวันนี้เขายังพร้อมลอง พร้อมเสี่ยงเหมือนเดิม เพียงแต่จะต้องแน่ใจว่า ถ้าพลาดขึ้นมา ก็ยังไปต่อได้โดยไม่ทำให้ทีมต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ความกล้านั้นไม่ใช่การทุ่มหมดหน้าตัก แต่คือการเผื่อใจและเผื่องบสำหรับการเรียนรู้จากความผิดพลาด เช่น ถ้ามีงบ 100 บาท ก็อาจจะเริ่มต้นลองด้วยสิบก่อน ค่อยๆ ขยับ ค่อยๆ วัดผล แล้วค่อยขยายเมื่อเห็นแวว
แนวคิดนี้ถูกส่งต่อไปยังทุกส่วนของการทำงาน เช่น ในกระบวนการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ แม้ทีมจะมีไอเดียที่ดีมาก แต่หากต้องใช้ต้นทุนสูงถึง 7 ล้านบาท เพื่อทำแม่พิมพ์พลาสติกแบบฉีดขึ้นรูป พวกเขาก็จะไม่รีบตัดสินใจเดินหน้าทันที แต่เริ่มจากตั้งคำถามว่า มีวิธีอื่นที่ใช้ต้นทุนน้อยกว่าและทดลองได้ก่อนหรือไม่ อาจเป็นการเปลี่ยนวัสดุ หรือใช้วิธีผลิตที่ง่ายกว่า เพื่อดูทิศทางก่อนตัดสินใจลงทุนจริง
เพราะแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 12 ปี ความกล้าที่จะเสี่ยงและลองยังคงอยู่ใน DNA ของแบรนด์ เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นความกล้าที่ค่อยๆ ทดลอง ค่อยๆ เดิน ไม่ผลีผลาม และไม่สูญเสียจิตวิญญาณของการเป็นนักสร้างสรรค์ที่ยังอยากเรียนรู้ เติบโต และทำให้ดีขึ้นในทุกวัน
Design like water.
ในมุมของการออกแบบ คุณมองว่าการออกแบบที่ดีควรเริ่มต้นจากอะไร
“ขึ้นอยู่กับว่าเราออกแบบอะไร ผมมองว่างานออกแบบเหมือนน้ำ ส่วนแก้วคือกรอบของโจทย์ เช่น กลุ่มเป้าหมาย สไตล์ วิธีผลิต หรือข้อจำกัดของโรงงาน ถ้าแก้วเป็นแบบไหน น้ำก็จะปรับตัวตามนั้น”
เขาอธิบายต่อว่า ถ้าเรากางแขนออกแล้วมองว่า ด้านซ้ายคือวิศวกรรม และด้านขวาคืองานอาร์ต ผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างจะตกอยู่ตรงไหนสักแห่งบนแกนนี้ เช่น เซรามิกอาจเอนไปทางฝั่งอาร์ต ขณะที่เฟอร์นิเจอร์อยู่ตรงกลางมากกว่า
“ตอนเรียนอาจารย์จะสอนว่า ออกแบบให้ใคร ที่ไหน เมื่อไร อะไร ทำไม แต่พอทำจริง มันไม่ตายตัวแบบนั้นอีกแล้ว มันมี Design Thinking เข้ามาเยอะขึ้น คุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย แล้วค่อยพัฒนาแนวทางออกแบบ” แต่ในฐานะแบรนด์ ดุลยพลกลับมองว่า การออกแบบไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโจทย์เสมอไป แต่อาจเริ่มจากความเชื่อหรือรสนิยมของผู้ออกแบบเอง
“เราชอบแบบนี้ เราเชื่อว่าสวย ก็เลยทำ แล้วค่อยหาคนที่เชื่อเหมือนกันให้มาเจอกัน เช่น เสื่อหนึ่งผืน อาจถูกซื้อโดยคน 10 กลุ่มอายุ รูปแบบการใช้ชีวิต หรือฐานะการเงินที่ต่างกันหมด แต่สิ่งที่พวกเขาเหมือนกันคือ ความเชื่อว่าเสื่อนี้มันดี มันสวย และเหมาะกับเขา”
แล้วไม่กังวลเหรอว่า จะไม่มีใครซื้อ
“กังวลตลอดครับ เราไม่ได้รีเสิร์ชมาก่อนด้วยซ้ำ เราจะรู้ก็ตอนที่เริ่มโพสต์ลงในโซเชียลฯ หรือวางขายไปแล้ว แล้วดูฟีดแบ็กว่า กลุ่มไหนซื้อ นี่แหละคือการเรียนรู้แบบแบรนด์เล็กๆ ที่ต้องเสี่ยง และอยู่กับความไม่แน่นอนเป็นให้ได้”
PDM Billboard!
PDM เคยสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการปล่อยบิลบอร์ดกลางเมือง เราจึงอดถามไม่ได้ว่า เหตุใดแบรนด์ที่เติบโตมาจากโลกออนไลน์ถึงเลือกใช้สื่อออฟไลน์อย่างป้ายบิลบอร์ด
“ก็เพราะบ้าไง” ดุลยพลหัวเราะ ก่อนจะเล่าว่า “ตอนนั้นยิงโฆษณาออนไลน์มาตลอดก็อยากลองไปอยู่ตรงอื่นดูบ้าง เห็นแบรนด์ใหญ่เขาทำ เราก็อยากลอง ถึงงบจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็อยากเทสต์ดูว่าคนมีฟีดแบ็กยังไง อย่างน้อยก็ได้เรื่อง Brand Awareness
“แต่ถามว่าจะทำอีกไหม คงก็ไม่ทำแล้ว เพราะมันเสี่ยง และเราไม่ได้มีงบเรามากพอจะแบ่งออนไลน์กับออฟไลน์ได้เท่าๆ กัน เราทำบิลบอร์ดจุดเดียว แล้วก็จบเลยในเดือนนั้น เพื่อโปรโมตโต๊ะ Sunny Collection”
A scar that tells a story.
ต้องยอมรับตามตรงว่า มุมของการทำธุรกิจไม่ได้มีแค่ความสำเร็จเสมอไป กว่าจะเดินถึงเส้นชัย เหล่าผู้ประกอบการต้องผ่านขวากหนามมากมาย สำหรับ PDM ก็เช่นกัน
ดุลยพลเล่าว่า ตนเองทำแบรนด์มากว่า 10 ปี ผ่านทั้งความผิดพลาดและเรื่องที่เจ็บใจ แต่ผลลัพธ์ก็คุ้ม เพราะทุกอย่างคือบทเรียน
“ทุกวันนี้คนชอบพูดว่า ล้มแล้วต้องลุกเร็ว แต่ใครที่ไม่เคยล้มจริงๆ จะไม่เข้าใจว่ามันยากแค่ไหน ผมลุกเร็วได้เพราะไม่มีทางเลือก ผมมีทีม มีเงินเดือนที่ต้องจ่าย มีครอบครัวที่ต้องดูแล จะเปลี่ยนทิศก็ไม่ง่ายเหมือนบางคนที่ต้นทุนการเปลี่ยนต่ำ มีบางครั้งที่ผมเคยคิดจะเลิกแล้วกลับไปสอนหนังสือ คงต้องทิ้งอะไรอีกเยอะมาก ทั้งทีมงาน แม่ที่อายุมากแล้ว หรือช่วงสำคัญของลูก เพราะฉะนั้นทางเดียวคือเรียนรู้ แก้ไข และเดินหน้าต่อ
“ผมเชื่อว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด เพราะนี่คือหัวใจของการเป็นผู้ประกอบการ”
Lession: Design thinking for Real life
ถ้าต้องสอนวิชา Design Thinking for Real Life ให้กับคนรุ่นใหม่ บทเรียนแรกที่อยากส่งต่อคือ
“อย่าหวงไอเดีย อย่าคิดว่าไอเดียของตัวเองดีที่สุด” ดุลยพลอธิบายว่า ธรรมชาติของคนทำงานสร้างสรรค์มักจะรักไอเดียของตัวเองมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัญหาคือ เมื่อเราหวงจนไม่ยอมปล่อยออกมา อาจทำให้เราเจ็บปวดได้ เพราะโลกทุกวันนี้หมุนเร็วมาก การเก็บไอเดียไว้นานๆ โดยไม่ปล่อยออกไปทดลอง อาจทำให้เราเจ็บใจภายหลังว่า “รู้อย่างนี้ลองตั้งแต่ตอนนั้นก็ดี”
“ผมเองก็เคยเจอแบบนั้น ตอนทำงานในสตูดิโอออกแบบ เราใช้เวลาหลายเดือนพัฒนาโปรดักต์ 1 ชิ้น เพื่อจะไปโชว์ในงานแฟร์ใหญ่ๆ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เราคิดว่าต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีใครเห็น เดี๋ยวสุดท้ายมันก็จะได้ไปโชว์อยู่ดี ถ้าไม่ดี ทีมจะมาบอกให้แก้ ซึ่งก็โอเค เพราะมันเป็นกระบวนการของทีม
“แต่พอมาทำแบรนด์ของตัวเอง ผมยังใช้วิธีคิดแบบเดิม โต๊ะตัวหนึ่งใช้เวลาแก้แบบไปมาเป็นเดือน คิดว่ายิ่งเก็บไว้พัฒนาให้ดีเท่าไร พอเปิดตัวจะยิ่งปัง แต่พอลงรูปใน Facebook กลับมีแค่ 2 ไลก์ ความรู้สึกตอนนั้นคือ 6 เดือนที่หวงไว้มันอาจไม่ได้แปลว่า สิ่งนั้นดีที่สุด และเวลาไม่ได้แปลว่า จะเพิ่มคุณภาพเสมอไป และสิ่งที่เราคิดว่าดี อาจไม่ได้ดีในสายตาคนอื่นก็ได้
“เพราะฉะนั้นบทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ รีบปล่อย รีบลอง อย่ารอให้ไอเดียสมบูรณ์แบบ เพราะมันไม่มีวันสมบูรณ์ได้ถ้าไม่มีใครได้ลองใช้จริงๆ”
PDM Keep Fresh
“เป้าหมายของเราคือ การรักษาความสดใหม่ของแบรนด์ไว้ให้ได้” ดุลยพลตอบทันทีเมื่อถูกถามถึงทิศทางของ PDM “ไม่ใช่แค่เรื่องยอดขายหรือการตั้งเป้าว่า จะต้องโตเท่าไรในปีนี้ แต่เราสนใจความรู้สึกบางอย่างมากกว่าความเท่ ความสดชื่น และพลังของแรงบันดาลใจที่เราส่งต่อได้จริงๆ”
สำหรับดุลยพล การมี PDM คือแบรนด์ Product Activist-Creative Activist ที่ไม่ได้แค่ขายของ แต่อยากขับเคลื่อนวงการสร้างสรรค์ ให้ดีไซน์กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ และมีพลังเปลี่ยนแปลงสังคม
“เราทำของใช้ที่ดีไซน์จัดจ้าน มีคุณภาพ และใช้งานได้จริง ทั้งของในบ้าน หรือกระเป๋าแฟชั่น สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ เวลามีคนเห็นแล้วพูดว่า ‘เฮ้ย ใช้ PDM ด้วยเหรอ’ เพราะนั่นแปลว่า เราเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาได้แบบมีตัวตน เราอยากให้ PDM เป็นแรงบันดาลใจให้ใครก็ตามที่อยู่ในสายครีเอทีฟ กล้าสร้างของดีๆ ในแบบของตัวเอง”
“ถ้าเปรียบ PDM เป็นเด็ก ตอนนี้เราก็เหมือนเด็กที่เพิ่งเริ่มยืน เริ่มเดิน ยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็พร้อมจะก้าวต่อ เราเชื่อว่าดีไซน์ไม่ใช่เรื่องหรูหราอีกต่อไป มันคือของใช้ประจำวัน ที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ทั้งฟังก์ชัน ความงาม หรือไอเดียเล็กๆ ที่ทำให้ของธรรมดามีความพิเศษ
“ผมเชื่อว่า ทุกคนมีความเป็นดีไซเนอร์ในตัว การเลือกของเข้าบ้าน เลือกแก้ว เลือกเครื่องครัว ก็ล้วนคือการออกแบบชีวิต สิ่งที่เราทำคือ พยายามใส่ความพิเศษลงไปในของธรรมดา ให้มันมีอารมณ์ มีเรื่องเล่า และถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดี รู้สึกว่าใช่ ก็อยากชวนให้ลองเปิดใจดู”
ก่อนจากกันเราชวนให้เขาเลือกสินค้า 3 ชิ้นของ PDM ที่มีเรื่องราวและมีความหมาย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. Mat PDM ปูทางให้คนรู้จักมากขึ้น
“เสื่อ เพราะเสื่อเป็นตัวสตาร์ทของ PDM ถ้าเราเริ่มต้นด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือแฟชั่น ผมไม่แน่ใจว่าคนจะรู้จักเราหรือเปล่า เรียกได้ว่า เสื่อเป็นไอเทมที่เปิดตัวและเปิดใจให้คนรู้จักแบรนด์นี้ว่า ‘บ้าดีว่ะ’ ที่กล้าเอาเสื่อมาเป็นสินค้าหลักตั้งแต่แรก”
เขายอมรับว่า ถ้าต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง คงไม่เลือกเสื่อเป็นสินค้าหลักอีก เพราะในเชิงการตลาด มันคือการเบิร์นตลาด (Burn the market) ที่หมายถึงการใช้เงินทุนหรือทรัพยากรจำนวนมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาดอย่างรวดเร็ว
“มันไม่มีตลาดนี้มาก่อน มันมีพรม มีเสื่อแบบเดิมๆ แต่ไม่มีตรงกลาง ไม่มีสินค้าที่เป็น ‘เสื่อแทนพรม’ เราต้องใช้พลังมหาศาลในการอธิบายและสื่อสาร ซึ่งตอนนั้นเหนื่อยมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนจำเราได้”
พอเริ่มมีตลาด กลไกทางการตลาดก็ทำงาน แบรนด์อื่นเริ่มทำตาม “ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมคนลอกเยอะ ตอนหลังก็เข้าใจว่าเป็นกลไกของตลาด ตอนนี้เราไม่สนใจแล้วว่าใครจะก๊อบปี้ เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป”
2. Sunny Series ดอกไม้ในสวนของมวลประชา
หนึ่งในสินค้าที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ PDM คือ Sunny Collection ที่ทำให้แบรนด์ PDM แข็งแรงขึ้นมาก เป็นเหมือนไอเทมที่นำทางให้สินค้าของ PDM เข้าไปอยู่ในบ้านของผู้คนได้มากขึ้นจริงๆ ทั้งในเชิงการจดจำและการสร้างอารมณ์บ้านสดชื่นอย่างเป็นรูปธรรม
ดีไซน์ของ Sunny อิงจากโต๊ะแดงพับได้แบบที่คนไทยคุ้นเคยกันดี แต่เราไม่ได้หยุดแค่เลียนแบบหรือปรับสี เราตั้งใจยกระดับความคลาสสิกของโต๊ะแดง ด้วยดีไซน์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ใช้ภาษาการออกแบบที่สดใหม่ แปลกตา และเป็น ‘ดอกไม้’ ที่จะบานอยู่ในบ้านทุกหลังได้อย่างเท่และอ่อนโยน
แม้รูปลักษณ์จะดูเรียบง่าย แต่เบื้องหลังของการผลิตไม่ง่ายเลย โต๊ะแดงทั่วไปมักใช้การปั๊มขึ้นรูป แล้วจบด้วยการพ่นสีสเปรย์แบบเดียวกับรถยนต์ แต่ Sunny ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะดีไซน์ของเรามีเหลี่ยม มุม รอยพับ ที่ซับซ้อนและประณีตกว่ามาก การผลิตจึงเป็นเหมือนงานคราฟต์เต็มรูปแบบ และต้องใช้ช่างฝีมือเพื่อให้ได้โต๊ะหนึ่งตัวในแบบที่ตั้งใจ
3. กลุ่มแฟชั่น จากไอเทมเปิดใจ สู่ไลน์สินค้าที่เติบโตเร็วที่สุด
“กลุ่มแฟชั่นโดยเฉพาะกระเป๋า กลายเป็นไอเทมเปิดใจที่พาให้คนรู้จัก PDM มากขึ้น แม้ไม่เคยใช้ของเรามาก่อน หลายคนเริ่มจากกระเป๋าแล้วค่อยๆ รู้จักแบรนด์ไปทีละนิด ปีนี้กลุ่มแฟชั่นเติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะกระเป๋าที่ดีไซน์โดดเด่นและฟีดแบ็กดี เราเห็นเลยว่า คนไทยชอบของที่ใช้แล้วคนอื่นเห็น พกพาได้ โชว์ได้ และสื่อสารตัวตนได้ทันที”
ถ้าเทียบกับต่างชาติ เช่น เดนมาร์ก สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ คนกลุ่มนั้นลงทุนกับของในบ้านเยอะ แม้ไม่มีใครเห็นก็ไม่เป็นไร แต่กับคนไทย กระเป๋ากลายเป็นไอเทมที่แสดงตัวตนแบบชัดเจนที่สุด เราจึงตั้งใจทำกระเป๋าให้เป็นมากกว่าของใช้ แต่เป็นชิ้นแฟชั่นที่พูดแทนตัวผู้ใช้ และพูดแทนแบรนด์เราได้ในเวลาเดียวกัน โมเมนต์ที่ใครสักคนถือกระเป๋า PDM แล้วเพื่อนทักว่า “อ้าว ใช้ PDM ด้วยเหรอ” นั่นคือสิ่งที่เราชอบและอยากให้เกิดซ้ำอีกเรื่อยๆ
Tags: PDM, ธุรกิจ, ดิว ดุลยพล, Business, ดุลยพล ศรีจันทร์, ดีไซน์, บ้าน, ของแต่งบ้าน, เสือ, เฟอร์นิเจอร์, The Chair, PDM Brand