“ถ่างขา” หมอพื้นบ้านสั่ง พลางวางกล่องเครื่องมือลงบนพื้นข้างๆ คว้าใบมีดคมกริบใบใหม่ขึ้นมาเฉือนลงไปตรงหว่างขาของเด็กหนุ่มที่ปิดตากลั้นใจไม่ให้มีเสียงแห่งความเจ็บปวดเล็ดรอดออกจากปาก “ข้าคือชายชาตรี” หมอตะโกนใส่หน้า “ข้าคือชายชาตรี!” เด็กหนุ่มขานรับเสียงดังสีหน้าเหยเก

การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศคือส่วนหนึ่งในพิธีเปลี่ยนผ่าน (rite of passage) ของวัฒนธรรมโคซา (Xhosa) ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเด็กหนุ่มต้องเข้าร่วมเพื่อก้าวเข้าสู่สถานะ ‘ผู้ชาย’ ได้อย่างเต็มตัว โดยในช่วงฤดูหนาวของทุกๆ ปี กลุ่มเด็กหนุ่มแรกเข้า (initiate) จะถูกนำตัวออกจากหมู่บ้านไปอยู่บนเขาเป็นเวลาสามสัปดาห์ เพื่อทำการขลิบ รอให้บาดแผลสมาน และเรียนรู้วิถีของลูกผู้ชายภายใต้การควบคุมสอนสั่งของผู้ดูแล (instructor) ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน

พิธีแรกรับความเป็นชายของชาวโคซาถูกนำมาแสดงให้เห็นใน The Wound (หรือ Inxeba) ผลงานหนังยาวเรื่องแรกของ จอห์น เทร็งโกฟ (John Trengove) ซึ่งเป็นตัวแทนของแอฟริกาใต้ส่งเข้าชิงออสการ์สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปีนี้ แม้ไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าเรื่องสุดท้ายที่ได้รับการเสนอชื่อ แต่ก็เข้ารอบลึกถึงชอร์ตลิสต์เก้าเรื่องสุดท้าย อีกทั้งได้เดินทางไปฉายตามเทศกาลหนังทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นซันแดนซ์ ปาล์มสปริง เบอร์ลิน ลอนดอน ซิดนีย์ หรือไทเป

นอกจากหนังจะเผยให้เห็นพิธีกรรมชนเผ่าที่น้อยครั้งจะได้รับการนำเสนออย่างจริงจังในโลกภาพยนตร์ สิ่งที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับ The Wound ยังเป็นการเล่าเรื่องความรักเพศเดียวกัน และสำรวจที่ทางของตัวละครที่เป็นเกย์หรือเควียร์ในสังคมชนเผ่าที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ทำให้หนังได้รับแรงเสียดทานในบ้านเกิดอยู่ไม่น้อยว่าแสดงภาพพิธีกรรมโดยขาดความเคารพและครอบทับด้วยสายตาของคนขาว (เทร็งโกฟเป็นชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว) มีการประท้วงกันใหญ่โตจนโรงหนังบางโรงต้องถอดหนังออกจากโปรแกรมฉาย แถมทีมงานยังโดนขู่เอาชีวิตกันถ้วนหน้าจนต้องหลบไปอยู่เซฟเฮ้าส์กันระยะหนึ่ง

หนังติดตาม โซลานี (Xolani – รับบทโดยนักร้องชาวแอฟริกาใต้ชื่อดัง นาคาเน ทูเร) คนงานโรงงานในเมืองที่ได้รับมอบหมายให้กลับมาเป็นหนึ่งในผู้ดูแลในพิธี โดยเด็กหนุ่มแรกเข้าใต้การดูแลของเขาก็คือ ควาโล (Kwalo) ที่มาจากครอบครัวมีอันจะกินในเมืองหลวงและมีท่าทางไม่สมชาย แต่ความลับที่ทำให้โซลานีหวนคืนถิ่นฐานในช่วงพิธีกรรมนี้ยังเป็นเพราะมันคือช่วงเวลาเดียวที่เขากับ วิจา (Vija) เพื่อนจากวัยเด็กที่มีความสัมพันธ์เกินเพื่อน สามารถปลีกตัวไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องระแวงว่าใครจะระแคะระคาย โดยเฉพาะลูกเมียของวิจาที่อยู่ในหมู่บ้าน

อาจกล่าวได้ว่าขณะที่บาดแผลที่ปลายอวัยวะเพศของเด็กหนุ่มแรกเข้ากำลังค่อยๆ สมานตัว หนังก็เผยให้เห็นบาดแผลอันแสนขมขื่นและท่วมท้นของผู้ดูแลอย่างโซลานี เพียงแต่มันเป็นแผลเปิดที่ถูกปกปิดไว้ไม่ให้ใครมองเห็น และไม่เคยได้รับโอกาสสมานเยียวยา

โซลานีไม่เพียงต้องเก็บงำความรักและตัวตนที่แท้จริงของเขาที่ไม่เป็นไปตามครรลองของชนเผ่า หากเขาเองยังต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้บังคับสั่งสอนให้ผู้อื่นดำรงชีวิตไปตามครรลองนั้น ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ปฏิเสธการมีอยู่ของตัวเขาเองตั้งแต่แรก มิหนำซ้ำความรักที่เขามีต่อวิจายังพันธนาการให้เขาไม่อาจก้าวออกไปจากสังคมที่กดทับตัวเขาได้พ้น ในแง่นี้ หนังจึงฉายภาพให้เห็นการดิ้นรนที่ทั้งซับซ้อนและยากลำบากของเควียร์ในสังคมจารีต ที่ไม่อาจยอมรับตัวเองในแบบที่ตนเองเป็น จำต้องโบยตีตนเองซ้ำๆ ทั้งยังไม่อาจตัดวิถีชีวิตดั้งเดิมได้ขาด

บาดแผลของเควียร์จึงเป็นบาดแผลที่มาจากการนิยามความเป็นชายที่แช่แข็ง แน่นิ่ง และขีดเส้นแบ่งเอาสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปเป็นคนนอก ซึ่งในแง่หนึ่งการพยายามคงสภาพวิถีชีวิตดั้งเดิมก็สามารถมองได้ว่าเป็นความพยายามต่อต้านการครอบงำวัฒนธรรมด้วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศแอฟริกาใต้ที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก) ดังที่หนังให้ตัวละครเน้นย้ำหลายครั้งถึงความชั่วร้ายของเมืองอุตสาหกรรมอย่าง โจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) ที่เข้ามาคุกคามวิถีชีวิตของพวกเขา ความเจริญทางวัตถุถูกมองว่าเป็นตัวกลืนกินศีลธรรมและประเพณีอันดี ทั้งยังดึงดูดเอาคนหนุ่มออกไปจากหมู่บ้าน (“พวกนั้นไม่รู้หรอกว่าการเป็นผู้ชายจริงๆ เป็นยังไง!”)

การที่ควาโลถูกมองว่าไม่สมชายจึงไม่ใช่เพียงในความหมายว่าเขารักคนเพศเดียวกัน (ซึ่งหนังก็ไม่ได้บอกชัดๆ เลยด้วยซ้ำ) แต่เป็นเพราะเขามาจากเมืองใหญ่ ใส่รองเท้าวิ่งราคาแพง ใช้ไอโฟน มีเพื่อนเป็นคนขาว ไม่พูดจาโผงผาง ซึ่งล้วนเป็น ‘นิสัยแบบคนกรุง’ ที่เข้ามามอมเมาให้เป็นผู้ชายที่ไม่สมบูรณ์ไปโดยปริยาย

การมีพิธีเปลี่ยนผ่านเองก็เป็นตัวเน้นย้ำความสำคัญของการเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ในสังคมชนเผ่า เพราะหากไม่ผ่านด่านของพิธีกรรม เด็กชายก็จะถูกมองเป็นเด็กตลอดไป ไม่อาจก้าวมาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ในสายตาของผู้อื่น ทำให้ไม่อาจก้าวไปมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์หรือมีสิทธิ์มีเสียงในสังคมได้ ตราบใดที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน

ความสำคัญของพิธีเปลี่ยนผ่านได้รับการเน้นย้ำในงานของนักมานุษยวิทยา วิกเตอร์ เทอร์เนอร์​ (Victor Turner) ซึ่งชี้ว่าพิธีเหล่านี้ช่วยทำให้สมาชิกในเผ่าสามารถสละสถานะเดิมเพื่อก้าวเข้าสู่สถานะใหม่และรับภาระหน้าที่ใหม่ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ อาจเป็นได้ทั้งการเปลี่ยนผ่านจากเด็กไปสู่ผู้ใหญ่ หรือจากสมาชิกสามัญสู่การเป็นหัวหน้าเผ่า ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน (liminality) ที่อยู่ตรงกลางนี้เองที่เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจขึ้นหลายอย่าง ช่วงชั้นทางสังคมต่างๆ ถูกสลายไปชั่วขณะ เกิดภาวะอันลื่นไหลที่ผู้เข้าร่วมพิธีล้วนดำรงสถานะเท่าเทียมกัน (communitas) จนกว่าจะผ่านด่านทดสอบไปได้และกระโจนเข้าสู่สถานะใหม่ที่มีความแน่นอน (มีชนชั้น ไม่ลื่นไหล) อีกครั้ง

ภายใต้แป้งขาวโพลนที่พอกไปทั่วตัวเพื่อบ่งบอกสถานะเด็กหนุ่มแรกเข้าชาวโคซา หนังแสดงให้เห็นว่าภาวะสมัยใหม่ได้เข้ามามีอิทธิพลกับพิธีกรรมของเผ่าจนไม่อาจเกิดการสลายช่วงชั้นลงได้ ดังเช่นที่ควาโลถูกมองว่าเป็นคนนอกที่ไม่อาจรับเอาสถานะใหม่ของความเป็นชายชาวโคซาแบบดั้งเดิมได้ การที่เขาถูกดูแคลนจากกลุ่มเด็กหนุ่มแรกเข้าด้วยกันเองในพิธี ชี้ให้เห็นว่าความเป็นคนกรุงยังคงอยู่กับเขา หาได้ถูกสลายไปในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่าน

นอกจากนี้ สถานะใหม่หลังเปลี่ยนผ่านก็ยังอาจกลายมาเป็นสถานะที่บีบคั้นและกดทับเอาเสียเอง เมื่อความเป็นชายชาวโคซาที่ถูกนิยามอย่างเข้มงวดนั้นไม่เปิดพื้นที่ให้มี ‘ผู้ชายแบบอื่น’ ผู้ที่ผ่านพิธีเปลี่ยนผ่านมาแล้วอย่างโซลานีเองจึงต้องทุกข์ทรมานซ้ำซ้อน เมื่อสังคมของเขาไม่มีปลายทาง-หรือเปิดโอกาสให้มีปลายทาง-ใดๆ ให้กับเควียร์ บาดแผลของโซลานีจึงเป็นแผลจากการติดขัดระหว่างทางของการเปลี่ยนผ่าน บาดแผลของการหนีไม่ได้ไปไม่ถึง บาดแผลของการเปลี่ยนผ่านที่ไม่อาจนำไปสู่การเป็นอะไรได้ทั้งสิ้น

แม้ The Wound จะไม่ได้เป็นหนังที่ปราศจากบาดแผล แต่ก็มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าหนังทำหน้าที่คล้ายงานชาติพันธุ์วรรณา (ethnography) ของนักมานุษยวิทยากลายๆ* ไม่เพียงสำรวจและบันทึกพิธีกรรมดั้งเดิมของชาวโคซา หากมันยังสะท้อนสายตาของผู้สร้างงานที่แม้จะคลุกคลีอยู่ในสังคมชนเผ่าเพียงไรก็เป็นได้เพียงคนนอก สายตาที่ถูกบันทึกมาในหนังจึงเป็นสายตาของความพยายามเข้าใจพร้อมๆ กับที่เป็นสายตาที่วิพากษ์และวิเคราะห์สังคมชนเผ่าไปด้วย หนังจึงไม่ได้มองพิธีแรกรับความเป็นชายของโคซาด้วยสายตานิ่งเฉย หรือยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม หากมองมันเป็นเสมือนลานประลองของการคัดง้างกัน ระหว่างนิยามความเป็นชายของชาวโคซา กับพลังของโลกสมัยใหม่ที่เข้ามาจัดกระทำและเปลี่ยนความหมายเดิมๆ

(*อนึ่ง ผู้เขียนไม่อาจอวดอ้างได้ว่าหนังสะท้อนภาพของชาวโคซาที่ถูกต้องและครบถ้วน แน่นอนว่าหนังย่อมมีรายละเอียดที่คลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากธรรมชาติความเป็นเรื่องแต่งของหนัง แต่ผู้เขียนสนใจลักษณะการนำเสนอของหนังที่มี ‘ท่าที’ คล้ายงานชาติพันธุ์วรรณา)

Tags: , , , , , ,