Game of Thrones จบไปแล้ว HBO มีอะไรให้ดูต่อ อ้อ…Big Little Lies ส่วน FX มี Pose ซีซั่นสอง ส่วนใครชอบงานสไตล์สารคดี ก็เพิ่งจะมี Chernobyl ให้ดูกันไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแฟน Game of Thrones จะยังภักดีต่อ HBO ไปอีกนานแค่ไหน ในเมื่อตอนนี้ HBO ยังไม่มีข่าวการสร้างงานมหากาพย์ในแบบ Game of Thrones ออกมาอีกเลย แล้วคนดู Big Litttle Lies เอง ก็น่าจะคนละกลุ่มกัน

หันมาดูที่ Netflix บ้าง แม้ช่วงนี้จะแผ่วๆ ซีรีส์แนวปัญหาวัยรุ่นซึ่งเป็นจุดเด่นและทาร์เก็ตหลักหนึ่งของเน็ตฟลิกซ์ แต่ก็มีหนัง Murder Mystery ที่กลายเป็นหนังที่มียอดเปิดตัวสูงสุดของเน็ตฟลิกซ์ไปแล้ว ซึ่งหลายคนก็ยังคงสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร เจนนิเฟอร์ อนิสตัน หรือ?

จาก HBO สู่ Netflix ผู้พลิกโฉมตลาดภาพยนตร์ใหม่ทั้งหมด

เรารู้จักเอชบีโอมาเนิ่นนานผ่านเคเบิลทีวีซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1972 ก่อนที่จะกลายมาเป็นช่องสตรีมมิ่ง HBO Now ในขณะที่เน็ตฟลิกซ์เพิ่งจะมาเริ่มในปี 1997 ตามรายงานล่าสุด เอชบีโอมียอดสมัครใช้บริการกว่า 142 ล้านทั่วโลก ซึ่งต้องขอบคุณซีรีส์เกมออฟโธรนที่สามารถเพิ่มยอดให้อย่างต่อเนื่องสูงสุดในซีซั่น 7 และในซีซั่นสุดท้ายนี้ที่มียอดผู้ชมสดในวันพรีเมียร์สูงถึง 11.8 ล้าน และ 17.4 ล้านแบบข้ามแพลตฟอร์ม และในช่วงซีซั่นสุดท้ายของเกมออฟโธรน ก็ได้ยอดผู้สมัครสูงขึ้นอีก 8 ล้านรายเลยทีเดียว 

แต่เมื่อเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์การเติบโตเอชบีโอก็ยังเติบโตช้ากว่าเน็ตฟลิกซ์ ที่ตอนนี้มียอดสมัครใช้บริการกว่า 150 ล้านรายทั่วโลก โดยในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มสูงถึง 9.6 ล้านรายทั่วโลกเลยทีเดียว และคาดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มอีก 5 ล้านรายในไตรมาสที่สอง 

เน็ตฟลิกซ์มีผลกำไรในไตรมาสแรกของปี 2019 เป็นจำนวน 344 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่ารายได้ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 290 ล้านเหรียญ ยอดกำไรของบริษัทสูงถึง 22% หรือประมาณ 4.52 พันล้านเหรียญ (เฉพาะปีที่แล้ว 2018 เน็ตฟลิกซ์มีรายได้สูงถึง 16 พันล้านเหรียญ) ในขณะที่ยอดกำไรของเอชบีโออยู่ที่ 5.24 พันล้านเหรียญ

เคยมีการตั้งคำถามว่าทำไมเอชบีโอถึงเติบโตช้ากว่าเน็ตฟลิกซ์ทั้งที่มาก่อนตั้งนมนาน ซึ่งตัวเลขของการใช้จ่ายในการสร้างคอนเทนต์นั้นแตกต่างกัน ขณะที่เอชบีโอใช้จ่ายเพียง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่เน็ตฟลิกซ์ใช้จ่ายไปถึง 13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  ซึ่งแน่นอนว่า ได้ทั้งจำนวน ความหลากหลาย ความสดใหม่ที่สูงกว่า และนั่นคือสิ่งที่เอชบีโอจะต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ไม่มีเกมออฟโธรนมาช่วยฉุดยอดแล้ว ซึ่งล่าสุด บริษัทแม่ของเอชบีโออย่างวอร์เนอร์มีเดีย (WarnerMedia) ประกาศแก้เกมเตรียมรับศึก Disney+ และ Apple TV ด้วยการปรับปรุงและเรียกการใช้บริการใหม่นี้ว่า HBO Max ที่รวมเอาบริการของเอชบีโอกับ Cinemax ไว้ด้วยกัน 

ที่จริงเน็ตฟลิกซ์ไม่ได้สู้กับเอชบีโอโดยตรง เพราะคู่แข่งที่แท้จริง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็คือ Hulu (ซึ่งถือหุ้นโดยดิสนีย์, NBCUniversal และวอร์เนอร์มีเดีย) แม้ตัวเลขโดยรวมนั้น เน็ตฟลิกซ์จะสูงกว่ามาก โดยในสหรัฐอเมริกา เน็ตฟลิกซ์มีผู้ใช้บริการรวมประมาณกว่า 60 ล้าน ในขณะที่ ฮูลูมีเพียง 28 ล้าน แต่เมื่อเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การเติบโตในไตรมาสแรกของปี 2019 จะพบว่า ฮูลูโตสูงกว่าเน็ตฟลิกซ์ถึงเท่าตัว (เฉพาะในสหรัฐอเมริกา) โดยฮูลูมียอดผู้สมัครใช้บริการสูงถึง 3.8 ล้านรายในสามเดือนแรกของปีนี้ ในขณะที่เน็ตฟลิกซ์ในสหรัฐอเมริกามีสมาชิกเพิ่มเพียง 1.7 ล้านราย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะราคาที่ฮูลูทำได้ดีกว่าเน็ตฟลิกซ์ก็เป็นได้ 

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เน็ตฟลิกซ์นิ่งนอนใจ เพราะยักษ์ใหญ่กำลังจะมา

จับตารุ่นเก่าที่มาใหม่อย่างค่าย ‘ดิสนีย์’

หลังจากที่ดิสนีย์ยอมจ่ายเงินสูงถึง 66 พันล้านเพื่อซื้อ 21st Century Fox แน่นอนว่าดิสนีย์ไม่ได้คิดแค่เรื่องของการควบรวมภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการลงมาแข่งขันในตลาดช่องสตรีมมิ่งภาพยนตร์และบันเทิงอีกด้วย แน่นอน…เมื่อใครเห็นตัวเลขรายได้ของเน็ตฟลิกซ์ ก็คงอยากจะลงมาแบ่งเค้กก้อนนี้ด้วยกันทั้งนั้น

ดิสนีย์เตรียมเปิดให้บริการ ‘ดิสนีย์พลัส’ ปลายปีนี้ ความตื่นเต้นและน่ากลัวของดิสนีย์พลัสก็คือคลังภาพยนตร์มหาศาล โดยเฉพาะการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ดิสนีย์เพิ่งจะเรียกคืนทั้งหมดกว่า 100 เรื่องจากเน็ตฟลิกซ์ไป ไม่เพียงแค่นั้น ยังประกาศเสริมจุดขายของช่องด้วยภาพยนตร์จากมาร์เวลและสตาร์วอร์สอีกด้วย งานนี้ไม่ใช่แค่การนำเอาหนังเก่าๆ กลับมาฉายเท่านั้น แต่ดิสนีย์ประกาศแล้วว่า จะทำหนังแยกให้กับตัวละครของมาร์เวลอีกอย่างน้อยสามเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือโลกิ (Loki)  รวมไปถึงซีรีส์สตาร์วอร์สที่ประกาศจะสร้างใหม่อย่างแมนดาลอเรียน (Mandalorian) ที่ทำให้หลายคนใจจดใจจ่อรอดู 

แน่นอนว่างานนี้ดิสนีย์ไม่ได้มาเล่นๆ พร้อมจะกวาดฐานแฟนคลับของหนังดิสนีย์ มาร์เวล และสตาร์วอร์สไปทั้งหมด ขณะที่เน็ตฟลิกซ์ได้ฐานแฟนคลับเป็นวัยทีน ดิสนีย์เริ่มต้นด้วยวัยเด็กและวัยก่อนวัยรุ่นสำหรับหนังการ์ตูนแอนิเมชั่นของดิสนีย์และฟิกซาร์ และเตรียมแย่งฐานแฟนคลับจากทุกเจ้าด้วยหนังแอคชั่นไซไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมหนังในตอนนี้อย่างมาร์เวล 

ไม่เพียงแค่นั้น ยังเสริมทัพด้วยช่องเนชั่นแนลจีโอกราฟิก และยังมีรายชื่อผู้กำกับฯ ที่พร้อมร่วมงานกับดิสนีย์ในมืออีกเพียบ ที่สำคัญก็คือ ราคาเปิดตัวที่ถูกกว่าเอชบีโอและเน็ตฟลิกซ์กว่าครึ่ง ที่ราคาเพียงแค่ 6.99 เหรียญต่อเดือน! 

อย่าลืมผู้เล่นรุ่นเก๋าอย่าง Amazon และ Apple

ไม่เพียงแค่นั้น Amazon Premium ที่แม้จะเปิดตัวไปแล้วแต่ยังไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ เพราะตอนนี้แอมะซอนพรีเมียมเพิ่งจะทุ่มเงินลงทุนสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างซีรีส์ Lord of the Rings โดยได้ผู้กำกับ เจ. เอ. บาโยน่า จาก Jurassic World : Fallen Kingdon มากำกับ หวังโกยความนิยมและยอดสมัครสมาชิกเหมือนดังที่เอชบีโอทำได้จากเกมออฟโธรน และเมื่อดูจากเงินทุนและเครือข่ายที่แอมะซอนมีแล้ว นี่คืออีกหนึ่งคู่แข่งที่รอวันเวลาที่เหมาะสมในการจะผงาดขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการแข่งขันนี้อีกหนึ่งเจ้า

ในขณะที่ Apple หลังจากที่ประกาศปิด iTunes ไปพร้อมแยกออกเป็นสามช่องทางที่ให้บริการแยกส่วนกัน นอกจากตลาดการดาวน์โหลดเพลงผ่านแอปเปิ้ลมิวสิกแล้ว แอปเปิ้ลทีวีคือสิ่งที่แอปเปิ้ลกำลังปลุกปั้นและซุ่มเงียบอยู่ แต่ในวงการนี้คงไม่มีคำว่าเงียบอย่างแท้จริง เพราะข่าวล่าสุดที่ออกมาก็คือ แอปเปิ้ลจับมือกับผู้กำกับระดับโลกอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก สร้างหนังและคอนเทนต์ในแอปเปิ้ลทีวี ส่วนและจับมือกับโอปราห์ วินฟรีย์ทำรายการร่วมกัน เรียกว่าได้สองยักษ์ใหญ่ของวงการบันเทิงมาเป็นแรงหนุน 

และหากแอปเปิลพร้อมเมื่อใด ด้วยเครือข่ายของโทรศัพท์ไอโฟนที่ใช้กันทั่วโลก ก็จะทำให้แอปเปิลสยายปีกการให้บริการสตรีมมิ่งด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิงในระดับโลกได้ไม่ยากนัก และมันน่ากลัวมากสำหรับเอชบีโอ เน็ตฟลิกซ์ และแอมะซอน 

ตลาดการแข่งขันช่องสตรีมมิ่งยังไม่หมดเพียงแค่นี้ จากข่าวที่ช่อง NBC เรียกคืนรายการ The Office และซีรีส์เรื่อง Friends จากเน็ตฟลิกซ์ภายในปี 2020 เพื่อจะนำไปเผยแพร่ผ่านการทำช่องสตรีมมิ่งเอง ก็เรียกได้ว่า ขาใหญ่แทบทุกรายหันลงมาเล่นตลาดนี้ และที่น่าเศร้ามากไปกว่านั้นสำหรับเน็กฟลิกซ์ก็คือ The Office ถือเป็รายการที่มียอดชมสูงสุดของเน็กฟลิกซ์อีกด้วย นี่ยังไม่รวมถึง CBS All Access ที่มี Star Trek: Discovery เป็นตัวชูโรง และ YouTube ที่กำลังซุ่มพัฒนารูปแบบของการให้บริการของตัวเองอยู่ผ่านทางยูทู้บทีวี เรียกได้ว่าปลายปีนี้ไปจนถึงปี 2020 คือศึกของธุรกิจช่องสตรีมมิ่งเลยทีเดียว

 

อ้างอิง

Tags: , , , , , , ,