อ่านเกมส์ขาด จ่ายบอลแม่นยำทั้งลูกสั้น – ยาว เซนส์คิลเลอร์พาส รักษาตำแหน่งของตัวเอง รุก – รับสร้างโมเมนตัมให้กับทีมตลอด 90 นาที ทั้งหมดนี้คือสูตรสำเร็จของ ‘กองกลางห้องเครื่อง หรือ มิดฟิลด์ตัวกลาง (Central Midfielder)’ ถ้าหากเทียบกับวงดนตรี กองกลางคงเปรียบเสมือนกลองชุด ทำหน้าที่คุมจังหวะ สร้างสรรค์ลูกส่ง และเชื่อมเครื่องดนตรีต่างๆ เข้าหากัน
และนั้นก็คือคุณสมบัติของ ‘ลูก้า โมดริช’ (Luka Modric) ห้องเครื่องคนสำคัญ ที่เกือบพาโครเอเชียสร้างปาฏิหารย์ถือถ้วยแชมป์โลก ในบอลโลกครั้งล่าสุดที่รัสเซีย อีกทั้งเขายังเป็นฟันเฟืองหลักผู้พาราชันชุดขาว เรอัล มาดริด สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อน ภายใต้การกุมบังเหียนของซีดาน
ผลงานที่เขามีส่วนร่วมชัดเจนมากพอให้เขาเบียด พ่อมดลูกหนังอียิปต์ มูฮัมหมัด ซาราห์ และอดีตเพื่อนร่วมทีมคริสเตียโน โรนัลโด้ คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมจากฟีฟ่า มาไว้ในมือได้สำเร็จ โดยไร้ซึ่งข้อครหาใดๆ
โมดริชเกิดและเติบโตที่เมือง Zadar ประเทศโครเอเชีย ในปีค.ศ.1985 ในช่วงปี 1991 เกิดสงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย ทำให้โมดริชและครอบครัวต้องระหกระเหินลี้ไฟสงคราม ไปใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมนานกว่า 7 ปี ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของเขาและครอบครัว เขาเล่าให้ฟังว่า ปู่ของเขาถูกสังหารโดยกลุ่มกบฏเซิร์บในละแวกใกล้บ้าน และบ้านที่เคยอาศัยอยู่ก็ถูกไฟของสงครามเผาเป็นเถ้าถุลีไปหมด ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ได้ตระหนกถึงสงครามเท่าไร เพราะเขายังเด็กมากอีกทั้งชีวิตถูกรายล้อมด้วยเพื่อนฝูง และครอบครัวที่เอาใจใส่ก็ตาม
ครอบครัวของโมดริชถึงแม้จะไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะมั่นคงนัก แต่พ่อของเขาก็สนับสนุนให้โมดริชเล่นฟุตบอล อาจเพราะเห็นพรสวรรค์อะไรบางอย่างในตัวเขา หรือเพียงแค่ส่งเสริมความฝันของลูกก็ตาม ช่วงที่เขาหนีจากพิษไฟสงครามไปอาศัยอยู่ในโรงแรม Kolovare โมดริชเตะฟุตบอลกับเพื่อนทุกวัน ภายในลานจอดรถของโรงแรม ก็คงคล้ายนักบอลระดับโลกหลายคน ที่สรรค์สร้างทักษะของตัวเองผ่านพื้นปูนขรุขระ โกล์รูหนู และรองเท้าผ้าใบ
ท่ามกลางความเชื่อว่า ความแข็งแกร่งทางร่างกายเป็นกุญแจสำคัญสู่โลกลูกหนังอาชีพ โมดริชถูกมองว่ามีร่างกายที่เล็กและอ่อนแอเกินไปที่จะประสบความสำเร็จในฐานะนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ แต่ความพยายามและเซนส์ในด้านฟุตบอลก็เป็นใบเบิกทางให้เขาถูกดึงตัวเข้าร่วมทีมท้องถิ่น NK Zadar
โจเซฟ บัลโจ เฮดโค้ชของสโมสรท้องถิ่น NK Zadar ได้รับสายจากผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานในโรงแรมว่า ”ลองมาดูฝีเท้าเจ้าหนูที่เตะบอลอยู่ในลานจอดรถของโรงแรมเราดูสิ” บัลโจตอบรับคำเชิญชวน และตกตะลึงกับทักษะและความละเอียดอ่อนในเชิงลูกหนังของเจ้าหนูโมดริชในตอนนั้น
เขาตกลงให้โมดริชเข้าสู่อะคาเดมีของ NK Zadar และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีโอกาสเฉิดฉายในฟุตบอลเยาวชนที่อิตาลี ทีมใหญ่ในซีเรีย อา อย่าง ยูเวนตุส ปาร์มา อินเตอร์ มิลาน เริ่มให้ความสนใจในตัวเขา แต่เป็นดินาโม ซาเกร็บ ทีมใหญ่จากเมืองหลวงที่ได้รับลายเซ็นต์จากเขา และได้ตัวมาร่วมทีมในที่สุด
ในแคมป์ฝึกซ้อมของซาเกร็บ โมดริชไม่ได้เป็นเจ้าชายพรสวรรค์สูงเพียงคนเดียว เขาต้องต่อสู้ พิสูจน์ตัวเองท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน และรุ่นซีเนียร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า ไม่นานนัก ในปี 2003 ซาเกร็บตัดสินใจปล่อยโมดริช ไปสั่งสมวิชาในลีคบอสเนียกับ Zrinjski Mostar ภายใต้สัญญายืมตัว
ลีคบอสเนียนับว่าขึ้นชื่อเรื่องความโหดหิน การเข้าปะทะที่รุนแรง อีกทั้งมีเหยียดเชื้อชาติเกิดขึ้นในสนาม โมดริชกลบฝังทุกคำสบประมาท คำหยามเหยียด ด้วยผลงานในสนาม เขาคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่มประจำปี ของลีคบอสเนียมาได้สำเร็จด้วยวัยเพียง 18 เท่านั้น
แต่ซาเกร็บก็ยังไม่เชื่อว่ากระดูกเขาแข็งเพียงพอที่จะลงมาเล่นให้กับทีม เขาถูกส่งไปเล่นกับทีม Inter Zapresic ในออสเตรีย และเป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม และพา Inter Zapresic เป็นที่สองของลีค ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรก(และครั้งเดียว) ในหน้าประวัติศาสตร์ของทีม
ซาเกร็บมั่นใจแล้วว่า เจ้าหนูคนนี้ปีกกล้าขาแข็งพอที่จะขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของพวกเขา ในปี 2005 ซาเกร็บตัดสินใจยื่นสัญญาระยะยาว 10 ปี ให้กับโมดริช และพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง โมดริชพาซาเกร็บควบแชมป์ลีค 3 สมัย บอลถ้วยอีก 3 สมัย และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมส่วนตัวอีกหลายครั้งระหว่างลงสนามให้กับดินาโม ซาเกร็บ
ไม่นานนัก เขาก็ได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ทั่วยุโรปทั้ง อาร์เซนอล แมนฯ ซิตี้ บาร์เซโลนา แต่เป็นท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่ปาดหน้าทุกทีมใหญ่และคว้าแข้งทองคำจากโครเอเชียมาประเดิมสนามได้สำเร็จในปี 2008 โมดริชไม่ทำให้สเปอร์ผิดหวัง เขาพาสเปอร์คว้าพื้นที่หัวตารางไปเล่นฟุตบอลยุโรป และถูกสรรเสิญจากแฟนบอลว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์
สุดท้ายความมหัศจรรย์ของเจ้าหนุ่มใบไม้แห้งจากโครเอเชียก็ไปสะดุดตาสโมสรระดับโลกอย่างราชัน ชุดขาว เรอัล มาดริด และในปี 2012 โมดริชถูกอัญเชิญเข้าสู่พระราชวังเบร์นาเบวด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ เขาย้ายจากลอนดอน มาลงหลักปักฐานที่กรุงมาดริด และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่พาราชันชุดขาวคว้าทริปเปิลแชมป์ยุโรปสามสมัยซ้อน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้สำเร็จอีกครั้ง
ในปีเดียวกัน ประสบการณ์ ประกอบกับชั้นเชิงลูกหนังและความแข็งแกร่งในด้านจิตใจและร่างกาย ลูก้า โมดริชเกือบสร้างปาฏิหารย์ในเวทีแข่งขันระดับชาติ เมื่อเขาสามารถพาโครเอเชีย เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลกที่รัสเซีย แม้ว่าโครเอเชียจะต้องพ่ายแพ้ให้กับฝรั่งเศษก็ตาม แต่ความเหนือชั้นและชาญฉลาดในเกมส์ลูกหนังของเขาก็ยังติดตรึงอยู่ในดวงตาประชาชนทั่วโลก รวมทั้งในดวงตาของคณะกรรมการฟีฟ่าซึ่งได้ลงมติมอบรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ให้แก่เขา
ฟีฟ่าประกาศรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีมอบให้แก่เขา โดยมีการลงคะแนนจากทั้งกัปตันทีมชาติ โค้ชทีมชาติ ตัวแทนสื่อของชาติ และประชาชนทั่วไป โมดริชได้รับรางวัลผ่านผลโหวตของเพื่อนร่วมอาชีพหลายต่อหลายคน รวมทั้งลิโอเนล เมสซี่ และคริสเตียโน โรนัลโด
ทางด้านประเทศไทยมิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชทีมชาติไทย และ Tor Chittinand นักข่าวจากบางกอกโพสต์ ก็ลงคะแนนให้เขาเช่นกัน คงไม่มีใครกล้าคัดค้านความสำเร็จครั้งนี้ของเขา เพราะเสียงรอบด้านต่างสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เขาสมควรได้รับมันจริงๆ’
เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา(4 ธันวาคม) คณะกรรมการบัลลงดอร์ (Ballon d’Or) ได้ประกาศมอบรางวัลให้แก่ลูก้า โมดริช ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่รางวัลนี้ถูกมอบให้กับนักเตะคนอื่นนอกเหนือจากคริสเตียโน โรนัลโด และลิโอเนล เมสซี่ โดยโมดริชได้อุทิศรางวัลที่เขาได้รับ ให้นักเตะทุกคนที่สมควรได้รับรางวัลนี้แต่กลับถูกรัศมีของสองแข้งดังบดบัง
จนถึงวันนี้ลูก้า โมดริช อายุ 32 ปีแล้ว และถนนลูกหนังสำหรับเขา คงไม่ได้ทอดไปอีกไกลนัก อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโมดริชคว้ารางวัลยิ่งใหญ่มามากมายในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ทั้งระดับส่วนตัวและสโมสร เรียกได้ว่าเขาเป็นนักฟุตบอลคนหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในสายอาชีพของตัวเอง
อาจจะเป็นเพราะเขาเติบโตขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดหิน ทารุณ และต้องระแวดระวังทุกนาที จากภัยสงคราม หรือเป็นเพราะความอึดอัดจากข้อครรหาว่ามีร่างกายที่บอบบางเกินกว่าจะปะทะกับใคร จนระหว่างทางมีแต่สายตาดูถูกและเมินเฉย
แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว คำติฉินนินทาต่างๆ ไม่ได้สะท้อนตัวจริงของเขาว่าเขาเป็นใคร เขาเพียงก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เขารักและตัดสินใจเลือก เขาคว้าทุกโอกาสที่เข้ามาหาเขาและไม่เคยปล่อยให้มันหลุดมือ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาบาดเจ็บรบกวนเพียงใด เขารู้เพียงว่าต้องเพียรทำงานหนักทั้งในและนอกสนามเพื่อพิสูจน์ตนเอง
….. และเพื่อพิสูจน์ว่ามีเพียงความพยายามเท่านั้น ที่ไม่เคยทรยศใคร
อ้างอิง:
https://lifebogger.com/luka-modric-childhood-story-plus-untold-biography-facts/
https://www.worldsoccer.com/features/luka-modric-396393
https://img.fifa.com/image/upload/ag30shazs0wdowcyettg.pdf
Fact Box
- สงครามปลดแอกโครเอเชียเกิดขึ้นระหว่างปี 1991-1995 ระหว่างกองทัพที่สนับสนุนรัฐบาลโครเอเชีย กับ กองทัพที่สนับสนุนรัฐบาลยูโกสลาเวีย ภายใต้การนำของสลอบอดัน มิโลเชวิช กองทัพโครเอเชียต้องการปลดแอกตัวเองออกจากอำนาจของยูโกสลาเวีย และประกาศตัวเป็นเอกราช
- ในปี 1995 กองทัพโครเอเชียใช้แผน Operation Flash และ Operation Storm ซึ่งนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงคราม แผลของสงครามทำลายสารณูปโภคพื้นฐานในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้มีผู้อพยพมากมาย และคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์กว่า 20,000 คน