นอกจากอาคารขนาดใหญ่บนถนนฟิฟท์อเวนิว ริมสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์กใจกลางนิวยอร์ก พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน หรือ The Met ยังมีอีกสองสาขาย่อยที่นักท่องเที่ยวมักจะมองข้าม คือ The Met Breuer บนถนนเมดิสันอเวนิว ซึ่งเน้นจัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัย และ The Met Cloisters ที่ตั้งอยู่ในอาคารที่ดูคล้ายปราสาทโบราณของยุโรป ตอนบนของเกาะแมนฮัตตัน เน้นจัดแสดงงาน Medieval Art หรืองานศิลปะเกี่ยวกับศาสนาจากยุโรปในยุคกลาง

โดยเฉพาะ The Met แห่งหลัง ที่หลายคนมักจะมองข้ามมากกว่า ค่าที่ว่ามันอยู่ห่างออกไปนอกเมืองพอสมควร ต้องนั่งรถไฟใต้ดินสาย A ขึ้นเหนือไปเกือบสุดสาย กินเวลาเกือบชั่วโมง (ซึ่งถ้ามาจากบรูคลินก็ชั่วโมงกว่า) แต่ก็เป็นการกินเวลาที่คุ้มค่า ถึงคุณจะไม่ได้เป็นคนสนใจศิลปะยุคกลางของยุโรปเท่าไหร่ หรืออาจจะเคยได้ดูสถาปัตยกรรมแนวทางนี้ของแท้ในเมืองเก่าของยุโรปมาหมดแล้วก็เถอะ

แม้จะดูผิดที่ผิดทางจากอาคารแห่งอื่นๆ เนื่องจากการจะพบสถาปัตยกรรมยุคกลาง (medieval) ในนิวยอร์กดูจะเป็นเรื่องยากกว่าการได้เห็นอาคารที่มีเสาโรมันในกรุงเทพมหานคร หาก The Met Cloisters ก็ตั้งอยู่ในอาคารสถาปัตยกรรมจากยุโรปจริงๆ เพราะนี่เป็นอาคารที่ประกอบสร้างจากการถอดรื้อโถงทางเดิน (cloister) จากโบสถ์คริสต์ในฝรั่งเศสสี่แห่ง พร้อมไปกับการก่อสร้างใหม่บางส่วนภายใต้การควบคุมของสถาปนิก ชาร์ลส์ คอลเลนส์ (Charles Collens) แห่งสตูดิโอ Allen & Charles สตูดิโอสถาปนิกสัญชาติอเมริกันที่อยู่เบื้องหลังการนำสถาปัตยกรรมกอธิค (gothic) มาฟื้นฟูใหม่ในสหรัฐอเมริกา

ข้อมูลข้างต้นนี้ฉันอ่านมาจากเอกสารที่พิพิธภัณฑ์เขาแจกค่ะ เพราะลำพังดูด้วยตาเปล่าก็ดูไม่ออกหรอกว่าส่วนไหนเขามาประกอบกันยังไง แค่ดูแล้วก็รู้สึกกลมกลืนและแกรนด์จริงๆ ยิ่งเมื่อคุณโผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เข้ามาในสวนสาธารณะ Fort Tyron Park ริมแม่น้ำฮัดสัน มองขึ้นไปทางทิศเหนือจะเห็นอาคารของพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าบนเนินเขา

ทั้งนี้มีรถบัสสาย M4 ที่จะพาคุณไปลงหน้าพิพิธภัณฑ์เลย แต่แนะนำว่าถ้าไม่ได้มาเที่ยวในช่วงที่อากาศหนาวจัดๆ ก็ไม่ต้องไปขึ้นหรอก เดินไปตามทางผ่านสวนนี้ดีกว่า สวนสวย ร่มรื่น แถมทางซ้ายมือยังมีทิวทัศน์ของแม่น้ำฮัดสันให้ดูอีก ชิลล์มากๆ เดินไปแวะถ่ายรูปไปก็ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที

The Met Cloisters เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1938 หลักๆ เป็นการจัดแสดงงาน Medieval Art กว่า 2,000 ชิ้น ครอบคลุมตั้งแต่รูปปั้น งานจิตรกรรม บานพับภาพ พรมผนัง (tapestry) หนังสือภาพโบราณ ซุ้มประตู กระจกสเตนกลาส ไปจนถึงโลงศพของนักบุญ โดยเกือบทั้งหมดเป็นคอลเล็กชันสะสมของจอร์จ เกรย์ บาร์นาร์ด (George Grey Barnard) ประติมากรชาวอเมริกัน ผู้ร่ำรวยจากการนำเข้างานศิลปะและชิ้นส่วนอาคารจากยุโรปยุคกลางมาขายในสหรัฐอเมริกา และต่อมาเขาขายงานสะสมต่อให้กับจอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์ จูเนียร์ (John D. Rockefeller Jr.) นักการเงินและผู้อุปถัมภ์งานศิลปะคนสำคัญของอเมริกา – ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้

พิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 20 ห้องจัดแสดง มี 4 ส่วนหลักๆ ตาม cloister ที่ถอดมาจากโบสถ์ในยุโรป 4 แห่งด้วยกัน ส่วนที่เด่นที่สุดคือโซน Cuxa เป็นทางเดินล้อมสวนหย่อมทิศใต้ และยังเป็นสวนใจกลางของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย ส่วนที่เรียกว่า Cuxa นี่ยกมาจากอาคารส่วนหนึ่งของโบสถ์ Abbey of Saint-Michel-de-Cuxa โบสถ์ที่อยู่แถบเทือกเขาพีเรนิสของประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 (ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ในโลเคชั่นเดิมก็ยังเปิดให้เข้าชมที่ฝรั่งเศสอยู่เลย)

สวนรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสในโซนนี้ เขาตั้งใจจะปลูกพันธุ์ไม้แบบเดียวกับยุคกลาง และดูน่ารักดีทีเดียว ส่วนแลนด์มาร์กหลักๆ ที่กลายมาเป็นภาพจำของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือทางเดินที่เรียงรายไปด้วย arch โค้งค้ำยันด้วยเสากอธิค ซึ่งพอตกบ่ายจะมีแสงแดดลอดลงมาสาดเข้าซุ้มโค้งริมทางเดิน ให้เอาคนขี้เหร่ที่สุดไปเป็นแบบถ่ายรูปมุมนั้น ยังดูตราตรึง

งานศิลปะเกือบทั้งหมดภายในพิพิธภัณฑ์ยุคนี้ล้วนเป็นงานทางคริสตศาสนาแบบตรงไปตรงมาตามแบบยุคกลาง กระนั้นหนึ่งในชิ้นงานมาสเตอร์พีซของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉันมาเยือนที่นี่กลับไม่มีรูปพระเยซูหรือนักบุญคนไหนมา featuring อยู่เลย แต่เป็นชุดงานพรมผนังที่เล่าเรื่องของกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังล่าม้ายูนิคอร์น อย่างไม่ทราบที่มาที่ไป และก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นศิลปินที่วาด แต่ที่หลายคนรู้และเห็นพ้องต้องกันคือมันเก๋ไก๋มากๆ

ห้องจัดแสดงพรมผนังเรื่องยูนิคอร์นอยู่ที่ห้องหมายเลข 17 ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงงานพรมผนังที่ถักด้วยผ้าไหมและวูลโดยมีเลื่อมเงินและทองเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย ภาพมีความสูง 12 ฟุต มีด้วยกันทั้งหมด 7 ภาพ

เริ่มจาก The Unicorn is Found ที่เป็นภาพของม้ายูนิคอร์นจุ่มเขาของมันลงไปในน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำพุเพื่อให้สัตว์ตัวอื่นๆ ได้ดื่มน้ำ (ผู้คนในยุคกลางเชื่อกันว่านอกจากยูนิคอร์นจะเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เขาของมันเมื่อจุ่มลงไปในน้ำจะทำให้น้ำสะอาด )

ภาพต่อไปหลังจากนั้นก็เป็นซีรีส์ของการตามล่ายูนิคอร์น ก่อนที่มันจะถูกจับมาใส่ปลอกคอและโดนล้อมรั้วในภาพ The Unicorn in Captivity อันเป็นงาน iconic ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

  ในทุกภาพชุดยูนิคอร์นจะมีลายเซ็นสลักไว้ว่า AE ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่ามันย่อมาจากอะไร และใครเป็นคนออกแบบและผลิตขึ้นมา (แน่นอน, คงไม่ใช่คนชื่อเอ๋หรือเอ้หรอกค่ะ!) กระนั้น หลักฐานในเครื่องแต่งกายของนักล่ายูนิคอร์นที่อยู่ในภาพ สอดคล้องกับเครื่องแต่งกายของชาวฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 15

งานชุดนี้มีผู้ครอบครองมือแรกๆ คือ François VI de La Rochefoucauld นักเขียนและชนชั้นสูงชาวฝรั่งเศส ซึ่งประดับภาพเหล่านี้ไว้ในปราสาทที่ปารีสช่วงปี 1680 ต่อมาก็ตกเป็นของอีกครอบครัวหนึ่ง แต่ก็ถูกปล้นไประหว่างช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส และได้กลับคืนมาในช่วงทศวรรษ 1850s ก่อนจะส่งลงเรือมายังนิวยอร์กในปี 1922 เพื่อเป็นสมบัติส่วนตัวของจอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์ จูเนียร์ เขาแขวนไว้ที่อพาร์ตเมนต์ของเขาอยู่พักหนึ่ง กระทั่งมาเปิด The Met Cloisters ทำให้คนที่เหลือทั่วโลกได้ชม

การมาเดิน The Met Cloisters ใช้เวลาไม่นาน เว้นแต่ว่าคุณสนใจศิลปะยุคกลางแบบเข้าเส้นเลือด ก็อาจจะต้องใช้เวลาทั้งวัน ส่วนใครที่เคยไปเที่ยวเมืองยุคกลางในยุโรปมาแล้ว และสงสัยว่าฉันควรจะถ่อมาไกลถึงที่นี่เชียวหรือ ก็แนะนำว่าควรมาค่ะ เพราะนี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บาลานซ์วัตถุจัดแสดงอย่างหลากหลายและให้ข้อมูลได้ดี คือไม่เอางานมาอวดซ้ำๆ เยอะๆ เสียชวนเลี่ยน และก็ไม่น้อยจนโหรงเหรง ส่วนใครที่ไม่อินกับศิลปะยุคกลางเท่าไหร่ แต่ชอบเดินดูสวนสวยๆ ช่องแสงงามๆ ก็แนะนำให้ลองมา เพราะส่วนตัวฉันก็ไม่ได้ชอบงานศิลปะยุคนี้นัก แต่มาแล้วก็ยังประทับใจเลย

หนำซ้ำนี่ยังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการท่องเที่ยวในนิวยอร์กที่เต็มไปด้วยตึกสูงและความพลุกพล่านได้ดีเชียวล่ะ   

Fact Box

  • The Met Cloisters อยู่ภายในสวน Fort Tyron Park เขต Hudson Heights นั่งรถไฟสาย A มาลงที่สถานี 190th Street แล้วเดินต่อราว 10 นาที (มีรถบัสสาย M4 ไปส่งถึงหน้าพิพิธภัณฑ์เลย หากไม่อยากเดิน)
  • ช่วงเดือนมีนาคม-ตุลาคมเปิด 10.00-17.15 น. ไม่มีวันหยุด
  • ค่าเข้าชมแล้วแต่จะบริจาคค่ะ (เขาแนะนำที่ 25 ดอลลาร์ต่อคน) แต่หากคุณซื้อตั๋วเข้า The Met สาขาอื่นมาแล้ว สามารถนำตั๋วมาเข้าที่นี่ได้ แต่ต้องภายในวันเดียวกัน
  • ในช่วงฤดูร้อน Cloister ฝั่ง Trie ยังเปิดเป็นร้านอาหารชื่อว่า The Trie Cafe ด้วย บรรยากาศดีมากๆ
  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.metmuseum.org/visit/met-cloisters
Tags: , , , , ,