โยชิโมโต บานานา เป็นนามปากกาของโยชิโมโต มาโฮโกะ ชีวิตวัยเด็กของเธอค่อนข้างได้รับอิสระ เธอเป็นลูกสาวของโยชิโมโต ทากะอากิ นักวิจารณ์วรรณกรรมและผู้สนับสนุนกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายในยุค 60s เส้นทางนักเขียนของเธอเริ่มต้นในช่วงจบการศึกษามหาวิทยาลัย มูนไลท์ชาโดว์ เป็นผลงานที่เธอเขียนเพื่อเป็นปริญญานิพนธ์ เมื่อถึงเวลานี้เธอก็เลือกใช้ชื่อ Yoshimoto Banana แทนชื่อเดิม เพราะเธอคิดว่ามันน่ารัก รวมถึงไม่ระบุเพศอย่างเจาะจง
จนต่อมาในช่วงที่เธอทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ บานานาใช้เวลาว่างในการเขียนนวนิยายไปด้วย ซึ่งได้แก่ คิทเช่น ต้นฉบับถูกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟุกุตะเกะโชเต็ง และส่งให้ชื่อเสียงของบานานากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ดึงดูดในผลงานของเธอคือความสมัยใหม่แบบอเมริกัน แต่ยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของญี่ปุ่น และยังมีความอบอุ่นที่จะเข้าไปกุมหัวใจทุกดวงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผลงานของโยชิโมโต บานานา ฉบับแปลภาษาไทยในปัจจุบันคงจะหาอ่านยากกันสักหน่อย ถ้าใครอยากอ่านคงต้องซื้อฉบับแปลภาษาอังกฤษมาลองดู แล้วคุณจะตกหลุมรักทุกตัวละครของเธออย่างง่ายดาย
คิทเช่น
Kitchen มีชื่อเรียกภาษาไทยตรงตัวว่า คิทเช่น นวนิยายที่ถูกตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในปี 1988 ส่งผลให้ชื่อของบานานากลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เธอได้รับรางวัลสำคัญด้านวรรณกรรมถึง 2 รางวัลจากผลงานชิ้นนี้ และยอดขายหนังสือถล่มทลายทั้งในปละต่างประเทศ
คิทเช่น เปรียบเป็นการเดินทางภายในจิตใจของหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้จมอยู่กับความเศร้าเนื่องจากสูญเสียคุณยายไป ‘มิคาเกะ ซะกูไร’ คือชื่อของเธอ มิคาเกะเติบโตมากับคุณตาคุณยาย เพราะพ่อแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก เธอจึงผูกพันกับคุณยายมากเป็นพิเศษ สถานที่ที่เธอรู้สึกอบอุ่นที่สุดคือห้องครัว เธอชอบง่วนอยู่ในนั้น มันให้ความรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย และปลอดภัย จนวันที่คุณยายจากไป มิคาเกะก็เริ่มสับสนและเปลี่ยวดาย
โชคชะตาพาให้มิคาเกะย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ของ ‘ทานาเบะ ยูอิจิ’ แบบไม่ทันตั้งตัว เขาเคยทำงานร้านขายดอกไม้ที่ยายชอบไปประจำ รวมถึงเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยด้วย มิคาเกะเข้าไปอยู่ที่นั่น ซึ่งมันช่วยเติมเต็มแรงใจของเธอได้เป็นอย่างดี ที่นี่ทำให้เธอได้รู้จักกับคุณพ่อ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นคุณแม่ (หลังจากศัลยกรรม) ของยูอิจิด้วย คุณเอริโกะซังต้อนรับมิคาเกะอย่างอบอุ่น ห้องครัวของบ้านทะนาเบะเองก็กลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เธอวางใจ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา มิคาเกะก็ต้องย้ายออกไปใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตัวเอง
วันเวลาผันผ่าน มิคาเกะได้พบกับยูอิจิอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากครั้งก่อน เพราะมันเริ่มต้นที่ความตายของใครบางคนเช่นกัน คุณเอริโกะซังจากไปแล้ว ยูอิจิต้องอยู่ต่อไปตามลำพังไม่ต่างจากเธอใครคราวก่อน ดังนั้น มิคาเกะจึงไม่รอช้าที่จะไปหาเขา เมื่อได้พบความทรงจำเก่าๆ ก็ประเดประดังเข้ามา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเหมือนสายน้ำที่หล่อเลี้ยงกันและกัน ความเศร้าถูกโอบล้อมไว้ด้วยความอบอุ่น แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ความสัมพันธ์ถลำลึกลงไป เพราะไม่อยากต้องเสียใจในภายหลังอีก หากความสูญเสียมาเยือน แต่เรื่องหัวใจมันห้ามกันได้จริงๆ หรือ?
หลับ
Asleep หรือ หลับ เป็นนิยายขนาดสั้นสามเรื่องที่เขียนขึ้นในปี 1989 เนื้อหาของทั้งสามเรื่องดำเนินไปด้วยตัวละครหญิงเป็นแกนกลาง ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นผู้เสพติดการนอนด้วยเหตุผลต่างๆ กัน โยชิโมโตทำให้การนอนของพวกเธอผิดไปจากสามัญธรรมดา ทว่ายังคงความบริสุทธิ์เรียบง่ายเอาไว้ นั่นทำให้สิ่งที่เธอบรรยายราวกับเกิดขึ้นจริง
หลับแรก – เทราโกะ หญิงสาวที่หลับเพื่อรอและหลีกหนี
เทราโกะเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอเคยมีงานประจำทำ เคยตื่นนอนตอนเช้าและเข้านอนตอนค่ำ แต่แล้ววิถีชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปเมื่อพบกับคุณอินากาวะ เทราโกะตกหลุมรักเขา ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกัน มันคงจะเป็นความรักที่งดงาม เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีใจ หากไม่ติดตรงที่ฝ่ายชายมีภรรยาอยู่แล้ว แถมภรรยาของเขายังเป็นเจ้าหญิงนิทราอีกด้วย และเพื่อจะให้ตัวเองมีเวลาให้กับอินากาวะเสมอ เทราโกะจึงลาออกจากงานแล้วอยู่กับบ้าน เธอมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรอเขา รอเสียงโทรศัพท์ รอเสียงปลดล็อกประตู รอเสียงเขาในยามอยู่ใกล้ๆ นอกเหนือจากการรอ สิ่งที่เธอทำอีกอย่างคือการหลับ เธอใช้เวลามากขึ้นทุกขณะกับการนอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น และมันจะเป็นไปอีกนานเท่าไร ทั้งการหลับและความสัมพันธ์คลุมเครือนี้
หลับสอง – มาริเอะ หญิงสาวที่ปวดร้าวจนไม่อาจข่มตา
เมื่อคนที่รักตายจากไป เราคงรู้สึกราวกับว่าแต่ละวันช่างยาวนานจนเหลือทน หากเรื่องแรกเป็นการหลบหนีโลกด้วยการหลับ เรื่องที่สองนี่ก็คงเป็นฝั่งตรงกันข้าม เพราะหญิงสาวคนนี้เดินละเมอเตร็ดเตร่ในยามค่ำคืนอย่างไร้จุดหมาย ความเจ็บปวดทำให้ยากที่จะข่มตาได้สนิท มันรุนแรงจนเธอหลับไม่ลง เธอจึงใช้เวลากลางคืนกับอะไรสักอย่าง เติมเต็มความว่างเปล่าไม่ทุกอย่างผ่านพ้นไป
หลับสาม – ความผูกพันของหญิงสาวสองคน
ฟูมิ หญิงสาวที่มักจะหลวมตัวให้กับการดื่มเสมอ เธอดื่มบ่อย ดื่มหนัก และเมื่อถึงจุกที่โคลงเคลงได้ที่ เธอมักได้ยินเสียงเพลงๆ หนึ่ง เพลงแผ่วเบาที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนหลับไป อยู่ๆ ฟูมิก็นึกถึงหญิงสาวอีกคนขึ้นมาได้ เธอชื่อฮารุ ฮารุร้ายกาจและตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกับเธอ เรื่องมันวุ่นวายและไปลงเอยด้วยการ (เหมือน) อยู่กินกันสามคนได้อย่างไรก็ไม่รู้ จนวันหนึ่งผู้ชายก็หนีหายไป เธอทั้งสองจึงแยกกันไปตามที่ทางของตัวเอง แต่ดูว่าพวกเธอจะมีมิตรภาพแปลกประหลาด ซึ่งเพลงที่ฟูมิได้ยินบ่อยครั้งเมื่อหลับตาลงนี้จะเชื่อมโยงไปถึงฮารุด้วยเหมือนกัน
สิ่งที่เชื่อมโยงทั้งสามเรื่องไว้ก็คือการหลับ หญิงสาวต่างมีปัญหาในแบบของตัวเอง พวกเธอดำดิ่งลงไปในหุบเหวของความช้ำ แต่พวกเธอจะสามารถปีนป่ายกลับขึ้นมาได้ ขอให้ฟ้าหลังฝนของพวกเธอสดใสพอจะมีรอยยิ้ม
ลาก่อนท์ซึกุมิ
Goodbye Tsugumi ลาก่อนท์ซึกุมิ เป็นผลงานที่ตามมาติดๆ ในปี 1989 และถูกหยิบนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในหนึ่งปีให้หลังโดยจุน อิชิกาว่า ชื่อของจุนอาจไม่ได้เป็นที่คุ้นหูมากนัก แต่ถ้าถามคอนักอ่านว่าเคยเห็นผลงานเรื่อง ‘โทนี ทะกิทะนิ’ ที่ถูกดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของฮารูกิ มูราคามิ บ้างไหม หลายคนคงพอจะนึกหน้าหนังออก ซึ่งนั่นแหละคือผลงานของจุน
ลาก่อนท์ซึกุมิ เป็นอีกหนึ่งผลงานสร้างชื่อของบานานา โดยคราวนี้เธอเลือกที่จะเล่าเรื่องราวผ่านมิตรภาพอันลึกซึ้งและซับซ้อนระหว่างลูกพี่ลูกน้องสองคน คนหนึ่งสภาพร่างกายอ่อนแอ แต่จิตใจแข็งกร้าว คนหนึ่งสภาพร่างกายแข็งแรง แต่จิตใจอ่อนไหว ซึ่งทั้งหมดจะถูกเล่าจากความคิดและน้ำเสียงของมารีอา เด็กสาวที่ไม่เฉียดไม่ใกล้ความตายเลย ต่างจากท์ซึกุมิ ที่เกิดมาพร้อมร่างกายอ่อนแอ
ท์ซึกุมิ เข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ เธอเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยครั้ง เพราะร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด นั่นทำให้คนในครอบครัวตามใจเธอตลอด เนื่องจากหมอบอกว่าท์ซึกุมิคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้นานอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อไม่เคยมีใครขัดใจ ท์ซึกุมิจึงกลายเป็นเด็กที่มีนิสัยก้าวร้าว เอาแต่ใจ หยาบคาย ผิดกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะมารีอา ลูกพี่ลูกน้อง เธอสองคนเติบโตมาพร้อมๆ กัน อายุไล่เลี่ยกัน ท์ซึกุมิจึงชอบแกล้งมารีอาอยู่บ่อยๆ แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ทำให้มารีอารับรู้ว่าแท้จริงแล้วท์ซึกุมิรู้สึกอย่างไร ภายใต้ความไม่น่ารักนั้น เธอแบกอะไรไว้บ้าง ยิ่งเมื่อโตขึ้น ในยามท์ซึกุมิมีความรัก มารีอายิ่งอดนับถือหัวใจท์ซึกุมิไม่ได้จริงๆ เธอก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บป่วย และต้องการความรักไปไม่น้อยกว่าใคร แต่ความมุ่งมั่นของเธอนั้นแสดงออกอย่างไม่ถูกต้องเท่าไรนัก มันจึงไม่ได้มีแค่เธอที่เจ็บปวด คนรอบตัวนั้นก็เจ็บปวดไปไม่น้อยกว่ากันเลย
ปีกนางฟ้า
Hagoromo หรือ ปีกนางฟ้า ตีพิมพ์ในปี 2003 เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยภาพอันงดงามและน่าประทับใจของแม่น้ำ สายฝน แดดจ้า แต่เมื่อพลิกอ่านไปไม่พ้นสองหน้า ความเศร้าของตัวละครก็เข้ามาปะทะเราอย่างรวดเร็ว มันเป็นความเศร้าที่ไม่ฟูมฟาย แต่ช่างหนักแน่น และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาเราช้าๆ
โฮตารุ หญิงสาวที่บ่มเพาะความรักมาแปดปีกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว เธอคบหากับเขาตั้งแต่อายุ 18 ปีในฐานะชู้รัก ความรักรุ่มร้อนในช่วงวัยที่ควรจะสนุกสนานที่สุดหมดไปกับเขาคนนั้น แล้วสุดท้ายเขาก็ทิ้งเธอเพื่อกลับไปหาภรรยา ความทรงจำที่ผ่านมาทุกเรื่องล้วนเจ็บปวด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเคยหัวเราะด้วยกัน ตอนนี้ทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว
เมื่อโตเกียวไม่เหมือนเดิม โฮตารุจึงจากเมืองอันแปลกแยกนี้กลับบ้าน ชนบทที่ทุกชีวิตค่อยๆ ไหลไปไม่ต่างจากกระแสธาร เธอคิดว่าคงไม่คบใครใหม่เร็วๆ นี้ เพราะบาดแผลยังไม่สมานดี แต่เธอก็พบใครบางคนเข้าหลังจากกลับไปอยู่บ้าน เธอไม่ได้ตกหลุมรักในทันที เขาคล้ายกับใครสักคน ซึ่งเธอนึกไม่ออกว่าเคยเจอเขาไหม เมื่อไร และที่ไหน
การกลับมาอยู่ในที่เดิมแล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปแบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไรนัก ความรักที่จบลงอย่างกะทันหันอาจจะยังตามมาหลอกหลอนเธออยู่ แต่ความช้ำย่อมเบาบางลงหากได้เวลาเข้าช่วย โฮตารุจึงเยียวยาตัวเองไปทีละน้อย หลายอย่างที่นั่นช่วยให้เธอไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป ไม่ว่าจะบรรยากาศหมู่บ้าน สายน้ำ และผู้คน รวมถึงเขาคนนั้นที่เธอเจอ มิซึรุ ชายหนุ่มเจ้าของร้านราเม็ง ผู้ที่จะเป็นส่วนสำคัญของอดีตและอนาคตเธอ…
หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข
เมื่อก่อนเราอาจไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามีคนที่หวาดกลัวความสุขด้วยหรือ? ความสุขควรจะเป็นเรื่องที่ทุกคนอ้าแขนรับสิ ไม่ใช่ขับไสไล่ส่งให้ออกไปไกลตัว แต่เมื่อโตขึ้นบางคนอาจพอเข้าใจว่าทำไม… ไม่ใช่เพราะเราหวาดกลัวความสุขหรอก แต่เพราะเราหวาดกลัวความเจ็บปวดหลังจากนั้นต่างหาก การที่เราต้องสูญเสียรอยยิ้มไปแล้วแทนที่มันด้วยน้ำตา นั่นแหละที่เรากลัวกัน
Hitokage หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งที่ไม่ปรากฎชื่อเสียงเรียกนามแท้จริง ผู้อ่านจะได้รู้จักทั้งสองผ่าน “ฉัน” กับอีกคนที่เธอเรียกในใจว่า “จิ้งเหลน” ทั้งสองพบกันมาสามปีแล้ว ได้ใช้เวลาด้วยกัน ได้กินด้วยกัน ได้นอนด้วยกัน จิ้งเหลนแทบไม่คบค้าสมาคมกับใคร มีเพียงฉันเท่านั้นที่เธอปริปากคุยด้วย
ชีวิตวัยเด็กของจิ้งเหลนไม่ดีเท่าไร โลกของเธอเคยดับหายไป มันดับไปจริงๆ เพราะเธอมองไม่เห็นอะไรเลย แต่สุดท้ายเธอก็ได้โลกใบเดิมกลับคืนมา นั่นจึงทำให้เธอมีนิสัยแปลกๆ ติดมาด้วย “ฉัน” พบจิ้งเหลนโดยบังเอิญในขณะที่เพิ่งเลิกราจากภรรยาคนอื่น ฉันไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับใครเท่าไร แต่บางอย่างก็ก่อตัวในหัวใจ มันไม่ใช่ความต้องการทางร่างกาย หากเป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนกว่านั้น
แล้วมันก็ดำเนินไปอย่างธรรมชาติ คนสองคนที่เหมือนจะมีใจให้กันค่อยๆ เข้าใกล้กันทุกขณะ ระหว่างนั้นความสัมพันธ์ก็เปิดเปลือยทั้งคู่ เผยให้เห็นเรื่องราวอันหนักอึ้งจากอดีต บาดแผลที่ดูเหมือนไกลแสนไกล ทว่าใกล้จนเจ็บแปลบ แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เราคงหาหนทางเยียวยามันได้สักทาง แม้ระหว่างนั้นจะอ่อนล้าโรยแรงเพียงใดก็ตาม…
Tags: วรรณกรรม, ญี่ปุ่น, บานานา โยชิโมโต