ความจริงแล้วพฤติกรรมของซอฟต์บอยไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่ แต่คำนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันอาจจะยากต่อการนิยามสักหน่อย แต่พวกเขาก็เป็นอะไรที่จดจำได้ง่ายซอฟต์บอย (Softboy) คล้ายกับฟัคบอย (Fuckboy) แต่พวกเขาไม่ได้แสดงออกอย่างฟัคบอย สิ่งที่น่าดึงดูดใจคือซอฟต์บอยจะมีหลุมพรางอันอ่อนนุ่ม แสดงให้เห็นด้านที่ละเอียดอ่อน มีความชอบส่วนตัวในแบบที่ผู้หญิงพร้อมจะหลงรัก เราจะพูดคุยเรื่องดนตรี ภาพยนตร์ งานศิลปะ ปรัชญา หนังสือ และอะไรก็ตามแต่ที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่ามีคนคุยด้วยได้ พวกเขาจะมอบความอ่อนหวานและความโรแมนติกให้กับคุณ ซึ่งในไม่ช้าเขาก็สามารถคว้าหัวใจเราไปได้
ฟังดูก็ไม่ได้แย่เท่าไร เพราะซอฟต์บอยก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่มีความชอบ การแสดงออก หรือลักษณะนิสัยในแบบหนึ่ง แต่อย่างหนึ่งที่สาวๆ อาจรู้สึกได้ในความสัมพันธ์คือ ความสัมพันธ์นี้มันก็ดีนะ แต่ขณะเดียวกันมันก็ไม่ไปทางไหน บางทีความโลเลก็กลายเป็นความเอาแน่เอานอนไม่ได้ กับเรื่องอื่นเขามีความคิดเห็นมากมาย พอเป็นเรื่องของ ‘เรา’ เขากลับไม่มีความเด็ดขาดที่จะพูดมันออกมา สุดท้ายแล้วความนุ่มนวลของเขานั่นแหละที่กำลังบาดเราช้าๆ และทำให้เรารู้ว่าความเจ็บปวดนั้นไม่นุ่มนวลเลย
แล้วใครบ้างล่ะที่ถูกแปะป้ายว่าเป็นซอฟต์บอย? หากเป็นในภาพยนตร์ รายชื่อที่จะโผล่มาเป็นคนแรกก็คือ ทอม เฮนเซ่น จาก 500 Days of Summer แต่ตอนนี้เหมือนว่าในเน็ตฟลิกซ์นั้นจะมีหลายรายชื่อทีเดียว
‘เจมส์’ The End of the F***ing World (2017 – 2019)
รับบทโดย อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ (Alex Lawther)
The End of the F***ing World ดัดแปลงมาจากการ์ตูนของชาร์ลส์ ฟอร์สแมน ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากจากผู้ชมในหลายประเทศ เนื้อหาซีซั่นแรกมีความยาว 8 ตอน เฉลี่ยตอนละไม่เกินครึ่งชั่วโมง เนื้อหาวนเวียนอยู่กับวัยรุ่นคู่หนึ่งที่เริ่มแรกเราไม่แน่ใจนักว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหา หรือวิ่งหนีปัญหาอยู่กันแน่
อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ คือหนุ่มที่มารับบทเป็นเจมส์ เด็กนักเรียนอายุ 17 ปี ที่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนโรคจิต และตัดสินใจว่าจะฆ่าใครสักคน อเล็กซ์เริ่มมารู้ตัวว่าหลงใหลในการแสดงเมื่ออายุประมาณ 16 ปี แล้วเริ่มมีผลงานแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 2013 ผู้คนเริ่มคุ้นหน้าเขามากขึ้นจากการรับบทเป็นอลัน ทัวริง ในวัยเด็กจาก The Imitation Game ก่อนที่ในปี 2016 เขาจะได้รับบทนำในตอนหนึ่งของซีรีส์ Black Mirror และในปีถัดมา เขาก็มีผลงานออกมาให้ได้ชื่นชมกันรัวๆ ซึ่งการรับบทเจมส์ก็ทำให้เขาต้องไปทำการบ้านเสียยกใหญ่ เพราะเจมส์ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์เท่าไรนัก แต่ลึกๆ นั้นก็คล้ายจะนิยมความรุนแรงอยู่ด้วย เจมส์เป็นเด็กหนุ่มที่สับสน เจ็บปวด และหลงทาง อเล็กซ์จึงต้องหาให้เจอว่าเจมส์จะแสดงออกต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาอย่างไร
เนื้อหาในซีรีส์ต่างจากฉบับการ์ตูนเล็กน้อย แต่โดยหลักแล้วก็ยังเป็นเรื่องของเจมส์ เด็กหนุ่มแสนเย็นชา กับอลิซซ่า เด็กสาวจอมเกรี้ยวกราด สำหรับเจมส์ เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นโรคจิต ชอบฆ่าสัตว์เล็ก และเริ่มไม่รู้สึกรู้สาอะไรตั้งแต่แม่จากไป วันหนึ่งเขาเริ่มเบื่อแล้วกับการฆ่าสัตว์ เจมส์เลยตัดสินใจว่าจะลองฆ่ามนุษย์ดูบ้าง แล้วเหยื่อที่เขาเล็งไว้ก็คืออลิซซ่า ผู้อยากหนีไปไกลๆ จากชีวิตครอบครัว เพราะอยู่ไปก็แทบไม่มีตัวตน การพบกันของทั้งสองจึงลงล็อค วัยรุ่นสองคนแสร้งว่าตกหลุมรักกันแล้วหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางนั้นสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ความวุ่นวายเข้ามาไม่จบไม่สิ้น และแผนการที่วางไว้ก็ดูจะพังไม่เป็นท่า ในทางกลับกันความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ชิดใกล้กันกว่าเดิม ปมบาดแผลที่เคยมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน แต่ก็บรรเทาได้ด้วยกันและกัน โลกห่วยๆ ใบนี้มันใหญ่เกินกว่าจะมีแค่ความทุกข์ที่รอพวกเขาอยู่
‘สเตฟาน’ Black Mirror: Bandersnatch (2018)
รับบทโดย เฟียนน์ ไวท์เฮด (Fionn Whitehead)
Black Mirror: Bandersnatch ซีรีส์ที่ผู้ชมสามารถเลือกได้ว่าให้ตัวละครดำเนินชีวิตไปในทิศทางไหน ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาจะเผชิญกับจุดจบแบบใด ซีรีส์มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย หนึ่งในนั้นที่เป็นเหมือนอีสเตอร์เอ็กก็คือเสียงในตอนท้ายที่สเตฟานกำลังฟังอยู่ เสียงนั้นสามารถแปลเป็นรหัสคิวอาร์โค้ดที่จะพาเราไปสู่เว็บไซต์หนึ่งได้ นั่นก็คือเว็บไซต์ของ Tuckersoft บริษัทเกมในเรื่อง แล้วภายในนั้นเราก็จะพบกับเกมต่างๆ ที่บริษัทผลิต
เฟียนน์ ไวท์เฮด นักแสดงหนุ่มที่มารับบทสเตฟาน ก่อนหน้านี้เขาเคยปรากฎตัวมาบ้างแล้วในภาพยนตร์ Dunkirk เฟียนเป็นชาวลอนดอน เขาเกิดและเติบโตที่นั่น แรกเริ่มเขาพยายามจะเป็นนักดนตรีแจ๊ส แต่แล้วก็เบนเข็มมาสู่การเป็นนักแสดง
ในตอนที่ Bandersnatch ออกอากาศมีการถกเถียงกันว่ามันควรถูกมองว่าเป็นเกมหรือภาพยนตร์ เฟียนให้ความคิดเห็นกับเรื่องนี้ไว้ว่า เขาไม่คิดว่าจำเป็นต้องกำหนดว่ามันจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่คนดูจะได้รับคือประสบการณ์ แต่เขาสามารถบอกความแตกต่างระหว่างเกมกับภาพยนตร์ได้ นั่นคือ เราไม่สามารถชนะได้ ไม่มีผู้ชนะในเรื่องนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำได้ ดังนั้น หากเราไม่สามารถชนะได้นั่นจะนับเป็นเกมได้ไหม?
Bandersnatch เกิดขึ้นในปี 1984 สเตฟานเป็นเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่กับพ่อสองคน และเขาคิดว่าการสูญเสียแม่ไปเป็นความผิดพ่อ สเตฟานมักเก็บตัวอยู่ในห้องแล้วพยายามออกแบบเกมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือนวนิยายเรื่อง Bandersnatch ของเจอโรม เอฟ เดวีส์ จุดเด่นของเกมนี้คือผู้เล่นจะสามารถเลือกเส้นทางให้ตัวละครในเกมได้ จากจุดนี้ชีวิตของสเตฟานก็อยู่ในมือเราแล้ว ไม่ว่าเขาจะขยับตัวไปทางไหน หรือทำอะไรก็อยู่ที่ผู้ชมเลือก การตัดสินใจของเราจะส่งผลกับเส้นเรื่อง (ที่กำหนดไว้) ภายใน 10 วินาทีเราต้องเลือกว่าจะให้ตัวละครทำอะไร ไม่อย่างนั้นซีรีส์ก็จะเลือกให้เราโดยอัตโนมัติ พร้อมกันนั้นในแวบหนึ่งสเตฟานก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่ได้เป็นของเขาจริงๆ หากแต่ถูกใครสักคนชักใยอยู่ ไม่ว่าจะจากอดีต ปัจจุบัน หรือเราที่เฝ้ามองดู…
‘ปีเตอร์’ To All the Boys I’ve Loved Before (2018 – 2020)
รับบทโดย โนอาห์ เซ็นตินเอโย (Noah Centineo)
ซีรีส์รักใสๆ ชวนให้หัวใจพองโตเรื่องนี้สร้างมาจากนิยายขายดีชุด To All the Boys ผลงานของเจนนี่ ฮัน ซึ่งมีทั้งหมดสามเล่ม ประกอบไปด้วย To All the Boys I’ve Loved Before, P.S. I Still Love You และ Always and Forever, Lara Jean
เจนนี่ ฮัน บอกว่าก่อนหน้านี้มีสตูดิโอจำนวนมากต้องการจะดัดแปลงผลงานชิ้นนี้ แต่ความสนใจนั้นก็หมดไป เมื่อเธอยืนยันว่าตัวละครหลักจะต้องเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซึ่งที่สุดแล้วผลงานนี้ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ในเน็ตฟลิกซ์ และฮันเองก็ได้มาปรากฎตัวสั้นๆ ในซีรีส์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
โนอาห์ เซ็นตินเอโย นักแสดงหนุ่มคนสำคัญเกือบจะได้เล่นบทจอร์ชแทนที่จะเป็นปีเตอร์ แต่เมื่อผู้กำกับเห็นว่าเคมีของโนห์นั้นเข้ากันได้ดีกับลาน่า คอนดอร์ เขาจึงได้รับบทปีเตอร์ไปแทน
ก่อนหน้าที่อินเทอร์เน็ตจะมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันเราขนาดนี้ การส่งข้อความรักหวานซึ้งมีอยู่แค่ไม่กี่หนทางเท่านั้น ซึ่งที่ง่ายที่สุดก็คือการเขียนจดหมายรัก ไม่ว่าจะหยอดตู้ไปรษณีย์หรือฝากใครสักคนไปยื่นให้ ลอร่า จีน เองก็เลือกที่จะทำแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจดหมายรักของเธอไม่ได้ถูกส่งออกไป เมื่อเขียนเสร็จ เธอก็แค่เก็บมันลงกล่องไปพร้อมๆ กับความรู้สึกที่มี
วันดีคืนดี จดหมายทั้งหมดก็ถูกส่งไปถึงคนที่ควรจะได้รับ ซึ่งถ้าแค่คนเดียวเรื่องมันคงจะไม่วุ่นวาย แต่ความจริงคือมีผู้ชายทั้งหมด 5 คน! ลอร่าตกหลุมรักพวกเขาต่างคนต่างเวลา ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าจดหมายถูกส่งออกไปในช่วงเวลาเดียวกัน หนึ่งในคนที่ได้รับคือปีเตอร์ หนุ่มนักกีฬาสุดฮอตที่เพิ่งเลิกกับแฟน เขาฉวยโอกาสนี้ขอให้ลอร่าแกล้งเป็นแฟนด้วย เพราะต้องการประชดแฟนเก่า หัวใจของลอร่าจึงสั่นไหวอีกครั้ง แล้วคนที่มาพัวพันด้วยก็ไม่ได้มีแค่ปีเตอร์ อย่าลืมว่าจดหมายนั้นส่งออกไปตั้งห้าฉบับ! ทีนี้ต้องมาดูกันแล้วว่าหัวใจเธอจะรับมือกับความวุ่นวายนี้อย่างไร แล้วใครกันแน่ที่จะคว้าความรักในครั้งนี้ไปได้
‘โอทิส’ Sex Education (2019 – present)
รับบทโดย เอซา บัตเทอร์ฟีลด์ (Asa Butterfield)
Sex Education สร้างปรากฎการณ์ไปทั่วโลกด้วยการถูกเปิดดูกว่า 40 ล้านเมมเบอร์ ภายในสี่สัปดาห์ ซึ่งแม้ว่าชื่อเรื่องจะนำหน้าด้วยคำว่าเซ็กซ์ แต่ซีรีส์ก็ไม่ได้มุ่งไปที่เรื่องเพศเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นอีกหลากหลายที่น่าสนใจ มันเป็นการจัดการกับความสัมพันธ์รอบด้านตั้งแต่เรื่องครอบครัวไปจนถึงรั้วโรงเรียน
ตัวละครหลักที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับเรื่องนี้ก็คือ โอทิส เด็กหนุ่มที่ขัดจรวดตัวเองยังทำไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นที่ปรึกษาเรื่องเพศ บทนี้แสดงโดยเอซา บัตเตอร์ฟีลด์ เด็กหนุ่มที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก และเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากภาพยนตร์ The Boy in the Striped Pyjamas (2006) เมื่อการถ่ายทำเรื่องนี้เริ่มขึ้น เอซาบอกว่ามันทำให้เขาเปิดกว้างมากขึ้นในการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งสิ่งนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่เขา หากยังรวมถึงผู้ชมทั่วไปอย่างเราๆ ด้วย
โอทิส มิลเบิร์น เด็กหนุ่มไฮสคูลที่อาศัยอยู่กับแม่สองคน เขาค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว เพื่อนน้อย แต่ก็เข้ากับคนอื่นได้ไม่ยากเท่าไร เขาไม่มีปัญหากับการเรียน ไม่คิดมากที่มีอีริค เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจก็คือ จีน แม่ที่คอยวิเคราะห์เขาตลาดเวลา เพราะเธอเป็นนักบำบัด (ทางเพศ) ซึ่งมันทำให้เขาอึดอัด
แต่! ผลพลอยได้ก็คือความเชี่ยวชาญบางมุมในเรื่องเพศ เขาเก่งทฤษฎี ห่วยปฏิบัติ แน่นอนว่าไม่มีใครสน เพราะสิ่งที่คนอื่นต้องการจากเขาคือความรู้ที่ถูกต้อง เหตุมันเกิดจากที่สาวซ่าประจำโรงเรียนอย่าง เมฟ มาชวนเขาทำคลินิกให้คำปรึกษาลับๆ โดยที่โอทิสก็ไม่ได้คิดว่ามันจะไปได้สวยขนาดนั้น เคสที่เกิดขึ้นมีสารพัดเรื่อง ปัญหาเข้ามาทุกวันไม่ได้หยุด ความชวนหัวเริ่มจากเรื่องของคนอื่น แต่ท้ายที่สุดดันมาตกม้าตายด้วยเรื่องของตัวเอง!
‘สแตนลีย์’ I Am Not Okay with This (2020)
รับบทโดย ไวแอตต์ โอเลฟฟ์ (Wyatt Oleff)
ซีรีส์เรื่องนี้มีพื้นฐานมาจากคอมมิคบุ๊คในชื่อเดียวกันของชาร์ลส์ ฟอร์สแมน นักวาดการ์ตูนที่เน็ตฟลิกซ์เคยหยิบผลงานอย่าง The End of the F***ing World มาสร้างไปแล้วครั้งหนึ่ง และยังเป็นผู้กำกับคนเดียวกันด้วย โดยคราวนี้ได้นักแสดงที่คุ้นหน้ากันดีอย่าง โซเฟีย ลิลลิส กับ ไวแอตต์ โอเลฟฟ์ มาร่วมงานกันอีกหน (ทั้งสองเคยแสดงในภาพยนตร์ It (2017) ด้วยเช่นกัน)
หากดูในตัวอย่างซีรีส์ เราจะเห็นตัวละคร ซิดนีย์ เดินไปตามถนนในชุดเดรสที่เปรอะไปด้วยเลือด ฉากนี้เป็นการแสดงความเคารพถึงสตีเฟ่น คิง จากเรื่อง Carrie (1976)
นี่เป็นหนที่สองที่ไวแอตต์ โอเลฟฟ์ รับบทเป็นตัวละครชื่อ สแตนลีย์ เด็กวัยรุ่นอายุ 16 ปี เขาบอกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เป็นตัวแทนของคนรุ่นเราในเวลานี้ และเพื่อให้ได้รับบท โอเลฟฟ์ ต้องออดิชันฉากที่ตัวละครของเขาเผชิญหน้ากับพลังจิตของซิดนีย์ และสิ่งหนึ่งที่ทั้งโอเลฟฟ์และสแตนลีย์ชอบเหมือนๆ กันคือการส่องกระจกแล้วร้องเพลงหรือเต้นไปด้วย “นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ” เขาบอก เมื่อออกอากาศ สแตนลีย์กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่หลายคนรัก บางคนชื่นชอบในรสนิยมดนตรี และตามไปฟัง Bloodwitch อีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น
ช่วงการเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่นนั้นมีเรื่องราวให้น่าปวดหัวมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องแฟน หรือแม้แต่เรื่องที่บ้าน ซิดนีย์ เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ หน้าตาไม่โดดเด่น อยู่บ้านกับแม่และน้องชาย เธอยังคงเศร้าโศกกับการที่พ่อเลือกจะจากไปโดยแขวนตัวเองเข้ากับบ้าน แต่ก็พยายามเดินหน้าต่อไปโดยมี ดีน่า เพื่อนสาวคอยเคียงข้าง
ความเปราะบางของซิดนีย์ค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ยิ่งในช่วงที่ดีน่าไปมีแฟนจนไม่มีเวลาให้เธอ แต่ก็ประจวบกับช่วงที่สแตนลีย์เข้าหาเธอพอดี เขาแสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่าชอบเธอ ซิดนีย์พยายามแล้วในการเปิดใจ ซึ่งไม่เป็นผล เพราะมารู้ตัวว่าเธอต้องการดีน่า มาถึงตรงนี้แล้วซิดนีย์ก็ยังไม่ต่างจากเด็กคนไหน แต่หลังจากบางอย่างในตัวเธอสั่นคลอน ซิดนีย์ก็พบความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เธอมีพลังจิต! และเธอไม่ได้คิดไปเอง ยิ่งเธอรู้สึก พลังยิ่งแสดงออก ซึ่งเธอไม่รู้ว่าควรควบคุมมันอย่างไร ที่มาของพลังยังคงเป็นปริศนา และคนที่รู้ความลับนี้ก็มีเพียงซิดนีย์กับสแตนลีย์ พวกเขาต้องพยายามเก็บมันไว้ให้มิดที่สุด แต่นั่นจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อชีวิตวัยรุ่นมีเรื่องให้กระทบกระทั่งมากมายขนาดนี้!
Tags: Netflix, The list, Softboy