แต่ละคนคงประหม่าไม่แพ้กันเมื่อต้องไปเดทครั้งแรก ความวิตกกังวลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และสามารถส่งผลต่อกระทบต่อจิตใจได้ บางทีเราก็คิดแล้วคิดอีกว่าต้องทำตัวอย่างไร ต้องชวนคุยเรื่องไหน ต้องนัดไปสถานที่แบบไหนดี ต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แต่สำคัญที่สุดคือเราต้องเป็นตัวของตัวเองด้วย ซึ่งถ้าเดทแรกผ่านไปได้ด้วยดี ครั้งต่อๆ ไปมันก็คงดีขึ้นตามลำดับ เราจะเลิกกระอักกระอ่วนเวลาอยู่ต่อหน้ากันและเอนจอยกับกิจกรรมต่างๆ

หากมันไปได้สวยเรื่อยๆ การเข้าไปในพื้นที่ของกันและกันก็คงเกิดขึ้น เหมือนเป็นการเปิดให้เขาหรือเธอได้เห็นว่าเราใช้ชีวิตในแบบไหน ส่วนกิจกรรมง่ายๆ ที่สามารถทำที่บ้านได้ก็อาจส่งเสริมให้เรามีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้น เช่น การดูหนัง ทำอาหาร เล่นเกม หรือแม้แต่การไม่ทำอะไรเลย แค่ปล่อยให้บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ เพื่อปล่อยให้ความสัมพันธ์ได้พัฒนา แต่ถ้าใครพูดไม่เก่ง การเลือกหยิบหนังสักเรื่องมาดูด้วยกัน แล้วค่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหลังหนังจบก็ดูจะเป็นอะไรที่เวิร์กอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว 

Mood Indigo (2013)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง Froth on the Daydream ผลงานของนักเขียนชื่อดังชาวฝรั่งเศส บิอริส เวียน เขาเป็นชายหนุ่มที่หลงใหลในดนตรีแจ๊สและการเป็นนักร้อง ดังนั้นชื่อภาษาอังกฤษของเรื่องนี้จึงเป็น Mood Indigo ตามชื่อของเพลงของดุ๊ค เอลลิงตัน หนึ่งในนักดนตรีแจ๊สชื่อดังชาวอเมริกัน

ในตอนแรกผู้กำกับมิเชล กอนดรี้ ได้วางบทบาทของไอซิสไว้เป็นเลอา เซย์ดูซ์ แต่สุดท้ายบทก็ตกไปเป็นของชาร์ลอตต์ เลอ บรอน (นักแสดงนำเรื่อง The Hundred-Foot Journey) ส่วนสองนักแสดงนำได้แก่ ออเดรย์ โตตู และโรแม็ง ดูรีส์ ซึ่งในปี 2013 ทั้งคู่ก็มีผลงานร่วมกันอีกเรื่องหนึ่งคือ Chinese Puzzle (2013)

เรื่องราวนี้จะว่าเรียบง่ายก็เรียบง่าย จะว่าแฟนตาซีก็แฟนตาซี เพราะแม้จะเล่าออกมาด้วยภาพเหนือจริง แต่เนื้อหากลับสามัญธรรมดาอย่างที่เราคุ้นเคย โคลิน เป็นชายหนุ่มผู้มั่งคั่ง เขาชอบประดิษฐ์นั่นทำนี่  รอบตัวเขาจึงเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างก็ช่างแปลกหูแปลกตาเราไปหมด แต่ไม่ว่าเขาจะมีทุกอย่างตามที่ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดกลับเป็นแค่ใครสักคนข้างกาย และโชคชะตาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไปนัก โคลินจึงได้พบรักกับโคลเอ้

ทั้งคู่มีความรักที่สดใสและหวานฉ่ำ แต่ระหว่างที่กำลังดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันอยู่นั้น จู่ๆ โคลเอ้ก็ล้มป่วย เธอเป็นโรคประหลาดที่มีดอกบัวบานอยู่ในปอด วิธีการรักษาเดียวก็คือเธอต้องอยู่ท่ามกลางดอกไม้สดเท่านั้น ชีวิตที่สวยงามอับเฉาลงไปในพริบตา โคลินพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะช่วยให้คนรักใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ไม่ช้าเงินที่มีก็ค่อยๆ หมดไปกับค่าใช้จ่าย เขาจึงต้องพยายามมากขึ้นและมากขึ้น บนโลกที่มีทั้งความสุขและความเศร้านี้ บางทีความเศร้าก็อาจเข้าถึงเราได้มากกว่า เช่นเดียวกับความเศร้าที่เข้ามารายล้อมโคลเอ้และโคลิน

Begin Again (2013)

หลังจากประสบความสำเร็จกับ Once (2007) จอห์น คาร์นีย์ ก็เริ่มเขียนบทภาพยนตร์ Begin Again ในปี 2010 และมอบหมายให้ เกร็กก์ อเล็กซานเดอร์ เป็นคนแต่งเพลง ดังนั้นเพลงส่วนใหญ่ในเรื่องจึงเป็นฝีมือเขา แต่บางส่วนก็เพิ่มเติมมาจากคนอื่น เช่น เกล็น แฮนซาร์ด พระเอกที่เราคุ้นเสียงเขาดีจาก Once

ก่อนหน้าที่บทนักแสดงนำจะตกมาเป็นของเคียรา ไนท์ลีย์ บทนี้เคยถูกวางไว้เป็นสการ์เลตต์ โจแฮนสัน มาก่อน เคียราต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้การแสดงออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด อาทิ การร้องเพลงและการเรียนกีต้าร์ ด้านนักแสดงนำคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดคนเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยเติมความรู้สึกแต่ละจุดให้เต็มยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะสุข เศร้า อึดอัด ห่วงใย และเพลงเพราะๆ ที่ตกหลุมรักตั้งแต่ฟังครั้งแรก

ความสำเร็จอาจไม่อยู่กับเรานานนัก เพราะชีวิตมักทำให้เราต้องพยายามอยู่เสมอ เหมือนเช่นที่แดนกำลังเผชิญหน้าอยู่ แดน เป็นโปรดิวเซอร์ที่กำลังตกอับ ห่างเหินจากภรรยา ลูกสาวไม่ยอมรับ และพยายามดิ้นรนต่อสู้กับอุตสาหกรรมดนตรีที่เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ หลังจากถูกไล่ออกเขาก็ได้แต่ดื่มย้อมใจไปวันๆ แต่เหมือนปาฏิหาริย์ยังไม่ทอดทิ้ง เขาจึงได้พบกับเกรต้า หญิงสาวที่พยายามไขว่คว้าความฝัน เธอร้องเพลงอยู่ในบาร์และเพิ่งเลิกราจากแฟนหนุ่มนักดนตรี

แดนกับเกรต้าตกลงที่จะร่วมงานกัน พวกเขาตั้งใจจะปลุกปั้นเพลงที่ดีที่สุด แต่อุปสรรคก็คือไม่มีค่ายไหนให้การยอมรับและพวกเขาไม่มีเงินพอจะทำทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แดนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาเห็นศักยภาพในตัวเกรต้า และต้องการทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วง เขาจึงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการชวนเพื่อนนักดนตรีตระเวนอัดเสียงกันทั่วนิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นในตรอกแคบๆ ดาดฟ้าอาคาร ชานชาลารถไฟ เสียงจากบรรยากาศรอบข้างไม่ใช่สิ่งที่น่ากวนใจอีกต่อไป หากแต่เป็นมนต์เสน่ห์ที่ทำให้เพลงพิเศษยิ่งขึ้น ดูท่าว่าฟ้าจะเปิดเส้นทางให้พวกเขาแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องดนตรี แต่รวมไปถึงเรื่องราวของหัวใจด้วยเช่นกัน

Baby Driver (2017)

ภาพยนตร์นี้เป็นโครงการของเอ็ดการ์ ไรท์ ที่เขาทั้งรักและทุ่มเทพัฒนามันมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มมาตั้งแต่การที่เขาเข้ามายืนอยู่ในตำแหน่งผู้กำกับครั้งแรกๆ หลักๆ ไอเดียนี้มาจากตอนที่เขาทำซีรีส์ของ BBC เรื่อง Spaced ช่วงที่ไรท์เขียนบท เขาจะหาเพลงที่เหมาะสมไปด้วยพร้อมๆ กัน ถ้าหากยังหาไม่ได้ เขาก็จะไม่เขียนต่ออย่างเด็ดขาด และเมื่อต้องส่งบทไปให้นักแสดงหลัก เขาไม่ได้ส่งไปแค่บทเท่านั้น แต่ยังส่ง iPod ที่มีรายการเพลงที่จะเล่นไปให้แต่ละคนด้วย

ตอนจบของภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนมากจากภาพยนตร์แนวแก๊งสเตอร์เรื่อง Angels with Dirty Faces (1938) อาชญากรทั้งคู่ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขาและเต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับผลที่จะตามมา ทั้งนี้ไรท์ยังกล่าวไว้เพิ่มเติมด้วยว่า เขาตั้งใจทำออกมาให้มันดูคุลมเครือ เพื่อให้ทุกคนไปตีความต่อเอาเองว่าพวกเขาได้รับโทษจริงๆ ไหม หรือเป็นแค่จินตนาการที่คิดไปเอง

ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า เบบี้ ผู้มีบาดแผลทางใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถชน แต่หากใครที่คิดว่าเขาจะไม่กล้าขับรถอีกตลอดชีวิตก็ต้องบอกว่าคุณคิดผิด ไม่ใช่แค่ขับรถ เขาเป็นนักซิ่งตีนผีแบบหาตัวจับยาก เทคนิคในการขับรถแพรวพราว ทุกจังหวะเป็นไปดั่งใจและเป็นไปดั่ง ‘เพลง’ อุบัติเหตุวัยเด็กส่งผลให้เบบี้มีปัญหาเกี่ยวกับหู เขาเลยเลือกที่จะใส่หูฟังอยู่เสมอ เปิดเพลงดังสนั่นเพื่อกลบเสียงวิ้งๆ อันน่ารำคาญ

ด็อค เป็นคนที่ใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์นั้น เขาชักชวนให้เบบี้มาทำงานด้วย โดยการเป็น ‘คนขับรถ’ แต่ไม่ใช่การรับส่งธรรมดา มันคือการขับรถหลบหนีการไล่ล่าของตำรวจในการลงมือปล้นแต่ละครั้ง! มันเป็นงานที่ไม่ยากเย็นเท่าไรนักสำหรับเบบี้ แถมยังทำเงินได้ดีด้วย ถ้าเขาเลือกจะทำมันต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่มีปัญหา แต่ทุกอย่างก็เริ่มพลิกผันเมื่อเขาคิดจะถอนตัวออกจากทีม เหตุผลง่ายๆ เพราะเขาอยากไปทำอาชีพสุจริต รวมถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความรัก เขาอยากใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการและไปให้ห่างจากสิ่งที่ทำอยู่ แน่นอนว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นมากมาย มันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเมื่อย่างเท้าเข้าไปในโลกแห่งอาชญากรรม ไม่ว่าใครก็ยากจะถอนตัวไปโดยง่ายดาย

A Star Is Born (2018)

A Star Is Born ผลงานที่แบรดลีย์ คูเปอร์ ทั้งกำกับ ร่วมเขียนบท และแสดงนำ โดยโครงเรื่องของภาพยนตร์นี้ถูกนำมารีเมคเป็นครั้งที่สี่แล้ว ซึ่งเดิมทีโปรเจกต์นี้จะกำกับโดยคลินต์ อีสต์วูด และมีบียอนเซ่ เป็นนักแสดงนำหญิง สุดท้ายมันก็ตกมาอยู่ในมือแบรดลีย์ และเขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตัวเองสามารถพาภาพยนตร์ไปได้ไกลแค่ไหน

แบรดลีย์บอกว่า เลดี้ กาก้า เป็นคนที่เชื่อว่าพวกเขาควรจะร้องเพลงสด เธอเกลียดการดูภาพยนตร์ที่นักแสดงกับบทเพลงไม่ไปด้วยกัน และเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น พวกเขาจำเป็นต้องร้องเพลงสดๆ นับเป็นเหตุผลหนึ่งที่แบรดลีย์ฝึกร้องเพลงถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และทั้งซ้อมร้องซ้อมเล่นนานหลายเดือนก่อนการถ่ายทำจะเริ่มต้น

เราสามารถตกหลุมรักคนๆ หนึ่งได้ภายในชั่วข้ามคืน และสำหรับบางคนมันก็จางหายไปภายในชั่วข้ามวัน แต่กับแจ็คสัน เมน ศิลปินคันทรีร็อกชื่อดัง ความรู้สึกรักนั้นกลับยิ่งฝังแน่นขึ้นทุกวันที่เขาได้อยู่กับเธอ เมนบังเอิญพบกับแอลลี่ในบาร์แห่งหนึ่ง ในคืนที่เขาแค่ต้องการจะเมาเพื่อให้ลืมความอึดอัดคับข้องภายในใจ แอลลี่ยืนอยู่ตรงนั้น บนเวทีที่แสงไฟแพรวพราว เธอสวมบทแดร็กควีนมือสมัครเล่น แต่เสียงร้องนั้นเป็นของจริง ซึ่งมันทำให้เมนยากที่จะลืมเลือน ดังนั้นเขาจึงเดินหน้าคว้าเธอมาไว้ในอ้อมกอด

เมนไม่ได้แค่พาเธอมาอยู่ข้างกาย แต่เขายังผลักดันให้เธอทำตามความฝันที่เคยพับเก็บใส่กระเป๋า พวกเขาทั้งร้องและทั้งเล่นดนตรีด้วยกัน เส้นทางของแอลลี่เริ่มสว่างไสว เธอเจิดจ้า มีเสน่ห์ และได้รับการยอมรับ ในทางกลับกันเมนเริ่มเข้าสู่สภาวะขาลง เพราะเหล้าและยาเสพติด รวมถึงอาการบาดเจ็บบางอย่าง มันทำให้เขาค่อยๆ ดิ่งลงเหว จนบางครั้งก็พลอยทำให้แอลลี่เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย ช่วงเวลาแห่งความสุขดูริบหรี่ลงไปทุกขณะ แม้ว่าพวกเขาอยากประคับประคองกันและกันไว้มากเท่าไร สุดท้ายใครบางคนก็ต้องร่วงหล่นและแตกสลายลงไปกับตา

Long Shot (2019)

ภาพยตร์โรแมนติกคอมเมดี้ผลงานการกำกับของโจนาธาน เลวีน ผู้ที่ชอบเรียกรอยยิ้มจากเราอยู่เสมอๆ ทั้งจากผลงานที่ผ่านมา อาทิ 50/50 (2011), Warm Bodies (2013), The Night Before (2015) และผลงานล่าสุดนี้เขาก็ยังคงความยียวนผสมความน่ารักเอาไว้ได้ โดยได้ตัวแม่อย่างชาร์ลิซ เธอรอน มารับบทนักการเมืองสาว ควงคู่กับเซท โรเกน นักข่าวหัวขบถสุดป่วน

ชาร์ลิซ เธอรอน บอกว่ามันน่าสนุกดีที่จะได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะปกติเรื่องที่เธอเล่นมักจะมีคนตายเยอะๆ และเธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้มาอยู่ในหนังรอมคอม

เมื่อคุณมีโอกาสได้พบรักครั้งแรกอีกครั้ง คุณจะทำตัวอย่างไร เวลาที่ผ่านมานานเป็นสิบปียี่สิบปีทำให้คุณลืมเลือนวันที่หัวใจเคยพองโตนั้นไปหรือยัง สำหรับเฟรด ฟลาสกี้ เด็กเนิร์ดที่ตกหลุมรักพี่เลี้ยงตัวเองนั้น เขาจำแทบทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้ อันที่จริงเขาก็ลืมๆ มันไปบ้างจนมาเจอเธอ ทุกอย่างในวันวานจึงหวนมา

ปัจจุบันเฟรดเป็นนักข่าวที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองมาก จนยอมลาออกจากงาน แม้ตัวเองจะเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาไม่ต้องการทำงานกับนายทุนที่ตัวเองเกลียด ไม่ชอบเขียนงานที่ขัดกับจรรยาบรรณ และไม่ปรารถนาที่จะโกหกใครต่อใคร ในขณะที่กำลังเตะฝุ่น เขามีโอกาสได้ไปร่วมงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเขาได้เจอกับชาร์ล็อตต์ ฟิลด์ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ที่ทั้งสวย เก่ง เป็นที่รัก และเป็นพี่เลี้ยงสมัยเด็กของเขา! ด้วยเหตุการณ์สั้นๆ นี่เองที่ส่งผลให้ชาร์ล็อตต์เลือกเฟรดมาร่วมงานด้วย เพราะเธอกำลังจะสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และต้องการคนเขียนคำปราศัยให้ การกลับมาพบกันครั้งนี้ทำให้เฟรดกับชาร์ล็อตต์ได้รื้อฟื้นสิ่งเก่าๆ และเห็นตัวตนใหม่ๆ ของกันและกัน ซึ่งมันทำให้หัวใจสองดวงขยับเข้ามาใกล้กัน แต่ความรักของดอกฟ้ากับหมาวัดจะเป็นไปได้ไหม หรือแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเหมือนตอนที่พวกเขายังเยาว์วัยกว่านี้…