เช้าวันอังคารที่ผ่านมา (28 เมษายน 2020) อาจเป็นแค่วันอังคารธรรมดาๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันคือวันที่ไม่ได้สลักสำคัญบนปฏิทิน เราอาจได้ยินข่าวร้ายบางข่าวจากจอโทรทัศน์ หรือข่าวดีที่หลุดมาบ้างถ้ามันยังพอจะมี 

ในวันธรรมดาทั้งหลายเหล่านั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความชื่นมื่นหรือขื่นขมมากมาย คู่รักบางคู่อาจตัดสินใจหย่าร้าง ครอบครัวบางครอบครัวอาจกำลังต้อนรับสมาชิกใหม่ คนหนุ่มบางคนอาจสิ้นหวังจนคิดปลิดชีวิต หรือบางทีก็อาจเป็นวันครบรอบอะไรสักอย่างที่ใครคนหนึ่งจดจำจนวันฟ้าสลาย วันที่ทุกข์ระทมถูกจัดวางสอดแทรกไว้เสมอตามรายทางของชีวิต ความสุขนับดูมีไม่มากและกลายเป็นสิ่งที่หายากขึ้นทุกวัน แต่วันเหล่านี้จะผ่านไป หนึ่งปี ห้าปี หรือสิบปี มันจะต้องผ่านไป

ตราบเท่าที่ความหวังยังมี เราจะเดินหน้าต่อ เพื่อรอคอยคืนวันที่เป็นของเรา อย่างที่ตัวละครของ 5 เรื่องนี้ ย่ำผ่านเดือนปีที่ทั้งสุขและทุกข์ร่วมกับใครบางคน…

12 Years a Slave (2013)

สิบสองปีแห่งความทรมาน

ภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์ที่สร้างจากบันทึกความทรงจำที่เขียนขึ้นในปี 1853 แต่งโดยโซโลมอน นอร์ธัพ เสรีชนที่ถูกทำให้กลายเป็นทาสยาวนาน 12 ปี ผู้กำกับ สตีฟ แม็คควีน มีความคิดอยากจะเขียนบทภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นทาส โดยดำเนินเรื่องด้วยชายผิวสีที่เคยเป็นอิสระชนมาก่อน จนต่อมาถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานะทาส ขณะที่สตีฟกำลังปลุกปั้นอยู่นั้น ภรรยาของเขาก็พบกับชีวประวัติของโซโลมอน ซึ่งสตีฟไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย และเมื่อได้พบหนังสือเล่มนี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจดัดแปลงมันแทนการสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่

ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง สตีฟกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ทำให้เขานึกถึง บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์

ในปี 1841โซโลมอน นอร์ธัพ ชาวแอฟริกันอเมริกันยังมีชีวิตอิสระอย่างที่มนุษย์ควรมี เขาทำงานเป็นช่างไม้และผู้เล่นไวโอลินฝีมือดี เขาเป็นคนขยันขันแข็ง มีภรรยาที่รักใคร่และลูกอีกสองคน ความเป็นอยู่ในนิวยอร์กถือว่าไม่เลวร้ายนัก เมื่อเทียบเคียงกับสถานที่อื่นๆ แต่วันดีคืนดี โซโลมอนก็ถูกจับตัวไป และพบว่าตัวเองถูกตีตราด้วยโซ่ตรวนในที่ๆ ไม่คุ้นเคย เขาถูกขายทอดตลาดไม่ต่างจากผักปลา

โซโลมอนระหกระเหินไปไกลจากบ้าน โดยได้รับสมญานามใหม่ว่า แพล็ต เขาถูกทำให้กลายเป็นทาส และทำงานให้กับเจ้าของโรงฝ้ายชื่อ วิลเลียม ฟอร์ด ในนิวออร์ลีน ที่นี่เขาทั้งถูกใช้แรงงาน ถูกทำร้าย ถูกทำให้หมดคุณค่า แล้วเขาก็ถูกขายต่อไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีไปกว่าเดิม ชีวิตเขาโดยกดขี่ข่มเหงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่มีใครจินตนาการออกหรอกว่าทำไมมนุษย์เราถึงทำร้ายกันได้มากมายขนาดนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร โซโลมอนก็ยังหวังจากสุดหัวใจที่จะได้กลับบ้าน ต่อให้เป็นอีกห้าปีหรือสิบปี เขาก็จะกระเสือกกระสนออกจากความเป็นทาสให้ได้ เพื่อกลับไปหาภรรยาและลูกที่รอเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

The Last Five Years (2014)

ห้าปีของความรักและความหลัง

The Last Five Years ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ชื่อดัง นำแสดงโดยแอนนา เคนดริค และเจเรมี่ จอร์แดน ทั้งคู่ต่างมีฝีมือและเสียงร้องที่ไม่เป็นรองกัน ในการแสดงพวกเขาต้องร้องเพลงสดในหลายๆ ครั้ง ใช้เวลาถ่ายทำทั้งสิ้น 21 วัน และวันสุดท้ายคือการถ่ายเพลง Goodbye Until Tomorrow

การเดินเรื่องไม่ได้เริ่มเล่าจากจุดเดียวกันของตัวละคร เรื่องราวของเจมี่บอกเล่าในเวลาปกติ (เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่เขาทำ) แต่ฝั่งของเคธี่กลับตรงกันข้าม เรื่องของเธอถูกเล่าจากจุดจบ นี่คือเหตุผลที่เพลงแรกของเธอ Still Hurting เกิดขึ้นหลังจากได้รับจดหมาย ส่วนของเขาคือเพลง Shiksa Goddess ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองที่ได้พบเธอ

ในด้านของละครบรอดเวย์นั้นเป็นฝีมือการเขียนบทเพลงของเจสัน โรเบิร์ต บราวน์ โดยเนื้อหาอิงมาจากความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาคนแรก การแต่งงานที่ล้มเหลวอันเป็นที่มาของละครชิ้นนี้

มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของคู่รักตลอดเวลาห้าปี คนแรกคือ เคธี่ สาวน้อยที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดงชื่อดัง คนที่สองคือเจมี่ นักเขียนหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในหน้าที่การงาน ขณะดูผู้ชมต้องรู้ว่าตอนนี้เป็นเส้นเรื่องของใคร เพราะอย่างที่บอกว่าฝั่งหนึ่งเล่าจากหน้าไปหลัง ฝั่งหนึ่งเล่าจากหลังมาหน้า สังเกตง่ายๆ ว่าด้านของเจมี่นั้นจะเต็มไปด้วยความสุขและสีสัน ส่วนด้านเคธี่จะปวดร้าวและมืดหม่น

โลกทั้งใบของเจมี่กับเคธี่คือความรักและความฝัน พวกเขาตกหลุมรักกัน แล้วตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่ขณะที่เจมี่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ตัวเคธี่เองกลับล้มเหลวซ้ำๆ โลกที่เคยวาดหวังไว้ร่วมกันไกลออกไปทุกขณะ สิ่งที่ประคับประคองกันมาส่อแววคุกรุ่น ความร้าวฉานซึมลึก และกำลังจะแยกพวกเขาออกจากกัน อย่างที่เราได้รู้ตั้งแต่ต้นเมื่อเคธี่ร้องเพลงของเธอออกมา

6 Years (2015)

การล่มสลายของหกปีที่มีร่วมกัน

6 Years ผลงานลำดับที่สองของฮันนาห์ ฟิเดล ผู้กำกับสาวชาวอเมริกัน เธอเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้โดยมีเค้าโครงเรื่อง และอธิบายฉากต่างๆ ไว้ว่าต้องการให้ออกมาเป็นแบบไหน คีย์หลักของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทิศทางของบทสนทนา แต่ไม่มีสคริปต์ตายตัวสำหรับบทสนทนาส่วนใหญ่

การทำงานร่วมกันระหว่างฮันนาห์ และนักแสดงหลักสองคน ซึ่งได้แก่ ไทซา ฟาร์มิกา กับเบน โรเซนฟิลด์ จึงเป็นไปด้วยการเปิดกว้าง ทั้งหมดพัฒนาตัวละครของพวกเขาร่วมกัน เวลาถ่ายทำมักมีประโยคที่บอกว่า “ถ้าเราลองแบบนี้ล่ะ?” แล้วฮันนาห์ก็จะปล่อยให้ทั้งสองได้แสดงความคิดเห็น

ภาพยนตร์จะพาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ที่มีอายุ 6 ปีของเมลานีและแดน ไม่ต้องย้อนไปดูจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ เราต่างก็พอจะรู้ดีว่ามันคงเต็มไปด้วยความหลงใหล เสียงหัวเราะ และความสุข แต่หลังจากปีที่หกก้าวเท้าเข้ามา จุดเปลี่ยนสำคัญก็ปรากฏกาย ความรักของพวกเขาไม่ได้มีแค่กันและกันอีกต่อไป มันมากด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เข้ามาประทบกระทั่ง แดนไปเป็นเด็กฝึกงานที่ค่ายเพลง สังคมของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป ส่วนเมลานีเริ่มงานในฐานะผู้ช่วยสอน เธอเข้ากันไม่ได้กับเพื่อนร่วมงานของแดนเท่าไร ขณะเดียวกันก็มีความเคลือบแคลงใจในเพื่อนสาวคนหนึ่ง

รอยร้าวระหว่างพวกเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การนอกใจ และไม่ใช่แค่การทำร้ายหัวใจกัน เพราะทุกครั้งที่มีปากเสียงก็มักมีการใช้กำลังเพื่อสร้างความเจ็บปวดแก่อีกฝ่าย ทั้งคู่ทั้งรักทั้งชัง แต่ไม่ว่าอย่างไรความเหินห่างก็แทรกตัวเข้ามาแล้ว สิ่งที่ผูกพันแดนและเมลานีไว้อาจไม่ใช่ความรักอีกต่อไป แต่เป็นความคุ้นชินในการมีอยู่ของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นคงไม่หนักแน่นพอจะทำให้ช่วงเวลาเหล่านี้ผ่านพ้นไปได้ และมีปีที่เจ็ดร่วมกัน…

The 8-Year Engagement (2017)

ปาฏิหาริย์ที่เฝ้ารอในปีที่แปด

ภาพยนตร์เรียกน้ำตาจากแดนอาทิตย์อุทัยเรื่องนี้ สร้างมาจากนิยายอัตชีวประวัติ 8 Nen Goshi no Hanayome Kimi no Me ga Sametanara ผลงานของฮิซาชิ นากาฮาระ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2015 เหตุการณ์ชีวิตของเขาเป็นที่ทราบโดยทั่วกัน ทั้งจากความรักและความพยายาม

The 8-Year Engagement กำกับโดยทาคาฮิสะ เซเซะ และเขียนบทโดยโอคาดะ โยชิคาซึ ผู้ที่ฝากผลงานไว้กับ Be With You (2004) และ If Cats Disappeared from the World (2016) ตอนที่ภาพยนตร์นี้เข้าฉายนั้นนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยขายตั๋วไปได้มากกว่าสองล้านใบ และทำรายได้ 2.5 พันล้านเยนที่บ็อกซ์ออฟฟิศเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2018

ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวจะต้องมาหยุดชะงักลงกลางทางเพราะความเจ็บป่วย ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่เราคงไม่เฉลียวใจหรอกว่ามันจะเกิดกับตัวเอง ฮิซาชิเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาคือหนุ่มหนักงานซ่อมรถยนต์ เป็นคนเงียบๆ ที่ไม่ค่อยถูกกับงานสังสรรค์สักเท่าไร แต่เมื่อเพื่อนร่วมงานชวน เขาเลยปฏิเสธไม่ได้ บรรยากาศงานดำเนินไปอย่างที่ควร จนถึงตอนงานเลี้ยงต้องเลิกรา แทนที่เขาจะได้กลับบ้านอย่างสงบ มาอิ หญิงสาวคนหนึ่งกลับตามออกว่าต่อว่าเขา เพราะเธอไม่ชอบอาการบูดบึ้งที่เขาแสดงออกตลอดเวลายามอยู่ที่นั่น ซึ่งความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด ฮิซาชิแค่ไม่สบายจากอาการปวดท้องเท่านั้น

จากเหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดภายในไม่กี่นาที แต่กลับเป้นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความสัมพันธ์ เพราะหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ติดต่อกันมากขึ้น เกิดเป็นความห่วงใย ความผูกพัน และความรัก มันพัฒนาไปจนสุกงอมหอมหวาน ฮิซาชิคิดว่าการได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอคือทั้งหมดที่เขาต้องการ ทั้งคู่สัญญาว่าจะแต่งงานกัน แต่สัญญายังไม่ทันได้เป็นจริง มาอิก็ล้มป่วยกะทันหัน เธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร หรือฟื้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร ทว่าฮิซาชิยังยึดมั่นตามสัญญาจากหัวใจ แม้ใครจะบอกว่าให้เขาไปตั้งต้นความรักครั้งใหม่ ฮิซาชิก็ยังรอคอยปาฏิหาริย์ยาวนานอยู่แปดปี

500 Years (2017)

ความเจ็บปวดที่คงอยู่มาหลายสิบปี

500 Years ผลงานของผู้กำกับหญิง พาเมลา เยตส์ ที่ใช้เวลานานถึง 34 ปีในการจบเรื่องราวที่เธอสร้างขึ้น โดย 500 Years นับเป็นเรื่องสุดท้ายในไตรภาคของการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น ซึ่งสองเรื่องแรกได้แก่ Mountains Tremble (1983) และ Granito: How to Nail a Dictator (2011)

สารคดีนี้เป็นการพิจารณาคดีของ นายพลเอเฟรน รีออส มอนต์ อดีตผู้นำทหารของประเทศกัวเตมาลาในทศวรรษที่ 80 ที่มีบทบาทสำคัญในการสังหารหมู่ชนพื้นเมืองเผ่ามายา ซึ่งคดีนี้ถูกตัดสินไปเมื่อปี 2012 รีออส มอนต์ ถูกพิพากษาว่ามีความผิดจริง และลงโทษจำคุก 80 ปี ในข้อหาสั่งฆ่าชนพื้นเมืองเผ่ามายา และกวาดล้างกบฎฝ่ายซ้าย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

เนื้อหาจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ทั้งการติดตามการพิจารณาคดี สัมภาษณ์ลูกสาวของรีออส มอนต์ ผลพวงที่ตามมาของคนในพื้นที่ และการจราจลครั้งใหญ่ที่ปะทุขึ้น มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน แต่ถึงที่สุดเสียงของพวกเขาก็ดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน มันมุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์ล่าสุดของประเทศที่ได้รับความเดือดร้อนมาหลายชั่วอายุคนด้วยน้ำมือของชนชั้นปกครอง ประชาชนของประเทศจึงออกมารวมตัวกัน เพื่อแสวงหาความยุติธรรม และปรากฏเป็นสัญญาณแห่งความหวัง

Tags: ,