พอยิ่งโต เรายิ่งคิดถึงอดีตบ่อยขึ้น เวลาเจอเพื่อนเก่า เรามักจะขุดวีรกรรมในอดีตมาเล่ากันอย่างสนุกปาก ความรักครั้งแรกเกิดขึ้นตอนไหน อกหักครั้งใหญ่สุดเป็นอย่างไร โดดเรียนแล้วโดนครูจับได้เมื่อไร ปิดเทอมใหญ่พากันไปที่ไหน ความทรงจำไม่เป็นชิ้นเป็นอันกระจัดกระจายเต็มไปหมด เราต้องจับมาเรียงต่อๆ กันจนเป็นรูปเป็นร่าง อดีตเป็นบทเรียนที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้

ถ้าอดีตหายไปล่ะ เราจะเป็นอย่างไร? เราจะลืมทุกอย่างที่ผ่านมา อดีตจะหล่นหายไปทีละน้อย เราลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า เราลืมวิธีปิดประตูบ้าน เราลืมวิธีใส่เสื้อผ้า เราลืมวิธีกินข้าว เราลืมแม้กระทั่งการพูด ความรักที่เคยมีหายไป ความผูกพันที่เคยเกิดหายไป ความเศร้าเป็นสิ่งเดียวที่คืบคลานเข้ามา ไม่ใช่แค่เราที่เศร้า คนรอบข้างเองก็ต้องคอยมองดูเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วย จากคนที่ยิ้มสดใสที่สุดในโลกอาจหลงเหลือเพียงดวงตาที่ว่างเปล่า ความทรงจำถูกลบเลือนไปแล้วจนหมดใจ

นั่นเองเป็นความเจ็บปวดหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์ โรคที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหนึ่งรายในทุกๆ 68 วินาที และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2573 ยอดผู้ป่วยในไทยจะสูงขึ้นแตะหลักล้านจากปัจจุบันที่มีผู้ป่วยกว่าหกแสนคน ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะช่วยชะลอความเสื่อมของสมองและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นานกว่าเดิม ปาฎิหาริย์คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เราจึงอยากให้คุณดูแลคนข้างกายให้ดีตั้งแต่ตอนที่พวกเราต่างยังแข็งแรง มีความสุขไปด้วยกันมากๆ และจดจำกันและกันไปตราบนานเท่านาน

Iris (2001)

ภาพยนตร์อัตชีวิตประวัติของไอริส เมอดอช นักปรัชญาและนักเขียนหญิงที่ได้รับการยกย่องในอังกฤษ เธอเขียนนวนิยายเล่มแรกเรื่อง Under the Net ในปี 1954 และมีผลงานออกมาอีกหลายเรื่องต่อจากนั้น ทั้งนวนิยาย ปรัชญา บทละคร และกวี เนื้อหาของภาพยนตร์ไม่ได้หยิบจับมาจากหนังสือที่เธอเขียน แต่เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือของจอห์น เบย์ลีย์ คู่ชีวิตของเธอ

ภาพยนตร์จะเล่าสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ตั้งแต่ไอริสในวัยสาวไปจนถึงช่วงเวลาแห่งการโรยรา ความรักของเธอกับจอห์นเริ่มต้นในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง พวกเขาได้พบกันเป็นครั้งแรกในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา เธอยังคงคล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และร่าเริง ไม่น่าแปลกใจที่จอห์นจะตกหลุมรักเธอ ช่องว่างในใจค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้กัน แม้บางครั้งไอริสดูจะไกลออกไปบ้าง แต่เขาก็รอคอยเธออยู่ตรงนั้นเสมอ และเคียงข้างอย่างนั้นเรื่อยมา

ไอริสและจอห์นต่างประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเอง จอห์นเป็นอาจารย์สอนวรรณกรรม ส่วนไอริสสอนปรัชญาและเป็นนักเขียนมากผลงาน เธอเคยพูดอยู่หลายครั้งว่าภาษานั้นงดงามเพียงใดและสำคัญขนาดไหน เมื่อวันหนึ่งอยู่ๆ เธอนึกถ้อยคำไม่ออก ซ้ำงานเขียนก็ยังไม่คืบหน้า ชีวิตเธอจึงเหมือนถูกพรากสิ่งที่รักให้หายไป หลังไปตรวจร่างกายจนพบคำตอบความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาเร็วรี่ โรคอัลไซเมอร์กำลังกลืนกินเธออยู่ ความสามารถในการใช้ชีวิตหร่อยหรอลงไปอย่างต่อเนื่อง และการดูแลผู้ป่วยไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเขาที่สูงอายุทั้งคู่ จอห์นโอบอุ้มเธอไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำ แต่ความอ่อนล้าทั้งกายใจก็อยากเกินจะรับไหว ท้ายที่สุดจอห์นก็ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้เป็นการดีสำหรับทั้งคู่ แล้วเก็บความรักทั้งหมดไว้ใจหัวใจของเขาเอง

A Moment to Remember (2004)

ในปีที่เข้าฉาย A Moment to Remember ทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศอยู่นานสองสัปดาห์ติดต่อกัน และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ของปี 2004 ไม่เพียงแค่ในประเทศ แต่ภาพยนตร์ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งทำลายสถิติภาพยนตร์เกาหลีก่อนหน้านั้นไปได้อย่างง่ายดาย

เวลามีความรัก เรามักทุ่มเททุกอย่าง จนบางครั้งก็ไม่ลืมหูลืมตาดูความเป็นจริงตรงหน้าว่าเขาคิดจะรักกับเราไหม โชคชะตาความรักของซูจินจึงพังลงกับตา เธอตกหลุมรักชายหนุ่มที่มีภรรยาแล้ว และตัดสินใจว่าจะหนีตามกันไป แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้โผล่มาตามนัด เธอเลยต้องก้มหน้ารับความผิดหวังนั้นไว้ แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ซูจินพบผู้ชายที่ดูท่าทางกุ๊ยๆ ในมินิมาร์ท เธอเข้าใจเขาผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง พอจะหันไปขอโทษเขาก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว

โชคชะตาไม่ปล่อยให้เธอรอนานจนเกินไป เธอพบกับชุลซูอีกครั้ง เพราะเขาเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างอยู่กับพ่อของเธอ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเริ่มต้นจากตรงนั้น ค่อยๆ ตกหลุมรักกัน แล้วรักอย่างหมดหัวใจ พวกเขาดูแลกันไม่ห่าง รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น จนไม่ว่าใครก็ยอมอ่อนข้อให้พวกเขาได้แต่งงานกัน แต่ความรักไม่ได้ชนะไปซะทุกสิ่ง เมื่อซูจินหลงลืมบ่อยขึ้นถึงขั้นจำทางกลับบ้านไม่ได้ เธออายุเพียง 27 ปี เพิ่งแต่งงาน และกำลังป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แม้จะปกปิดอาการป่วยไว้ในทีแรก แต่มันก็ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาชุลซูไปได้ เขาสัญญาว่าจะเป็นคนช่วยจดจำทุกอย่างไว้เอง บ้านเต็มไปด้วยโน้ตเตือนความจำ และเอื้อต่อการใช้ชีวิตเธอมากที่สุด ความพยายามทั้งหมดดูไร้ความหมายลงเรื่อยๆ เมื่อความทรงจำเปลี่ยนจากลืมเป็นลบ และมันเป็นการลบที่ไม่สามารถกู้คืนอะไรกลับมาได้เลย…

Away from Her (2006)

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดยซาราห์ พอลลี่ ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นแรกที่เธอก้าวจากฐานะนักแสดงมาสู่ผู้กำกับ โดยเนื้อหานั้นมีพื้นฐานมาจากเรื่องสั้น The Bear Came Over the Mountain ของแอลิซ มันโร ซาราห์มีโอกาสได้อ่านเรื่องสั้นนี้จากในนิตยสาร The New Yorker ขณะที่เธอกำลังเดินทางอยู่บนเครื่องบิน และชั่วขณะนั้นเองที่ความประทับใจได้สลักลงในใจเธอ จนนำมาต่อยอดสู่ภาพยนตร์ที่จะกระชากน้ำตาจากคนดู

แกรนต์และฟิโอน่า สองสามีภรรยาวัยเกษียณที่ใช้ชีวิตด้วยกันมานาน 44 ปี แต่ความรักที่มีนั้นดูไม่ได้จืดจางลงเลย พวกเขาชอบที่ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน ตั้งแต่อ่านหนังสือไปจนถึงเดินป่า แต่ภายใต้ความรักสวยงามที่เราเห็นนั้น พวกเขาก็เคยผ่านเรื่องราวยากลำบากมาเหมือนกัน แม้จะผ่านมันมาได้หนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าหนที่สองนี้พวกเขาจะยังคงความสัมพันธ์ไว้ได้ไหม

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรกับการที่ฟิโอน่าเอากระทะไปใส่ไว้ในตู้เย็น แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีพฤติกรรมประหลาดๆ อย่างอื่นตามมา แน่นอนว่าฟิโอน่ากำลังป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ สิ่งที่พวกเขาตัดสินใจในเวลาต่อมาก็คือการให้ฟิโอน่าไปอยู่ในสถานดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะ โดยที่สามสิบวันแรกพวกเขาจะไม่สามารถติดต่อกันได้เลย เพื่อให้ผู้ป่วยปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่

เมื่อเวลาสามสิบวันผ่านไป แกรนต์รีบไปหาฟิโอน่าพร้อมช่อดอกไม้ แต่โลกทั้งใบก็พังทลายลงมา ฟิโอน่าแทบจะจำเขาไม่ได้แล้ว แถมเธอยังสนิทสนมกับผู้ชายอีกคนที่นั่นด้วย แกรนต์ต้องทนเห็นภรรยาตัวเองอยู่กับชายอื่น แม้เขาพยายามจะฟื้นฟูความทรงจำมากเท่าไรมันก็แทบจะไม่เป็นผลเลย จนเขาคิดไปว่านี่คงเป็นเพราะเรื่องราวที่ตัวเองทำไว้ในอดีต มาตอนนี้แกรนต์ต้องเลือกระหว่างพรากเธอกลับมา หรือปล่อยให้เธอมีความสุขกับความทรงจำที่สร้างขึ้นใหม่โดยไม่มีเขา แบบไหนจะดีกับเขาและเธอมากกว่ากัน!?

Memories of Tomorrow (2006)

Memories of Tomorrow สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นผลงานของฮิโรชิ โอกิวาระ ฉบับหนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2004 เล่าเรื่องชายวัยกลางคนที่กำลังประสบความสำเร็จ นำแสดงโดยเคน วาตานาเบ้ นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่มีผลงานทั้งในบ้านเกิดและฮอลลีวูด

ความทรงจำของวันพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง และความทรงจำของวันวานก็กำลังเลือนหายไป ภาพยนตร์เปิดมาด้วยช่วงเวลาในปี 2010 มาซายูกิ เซกิ คือชายที่นั่งอยู่บบนรถเข็น สายตาของเขาไม่อาจระบุได้ว่ากำลังมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่หรือมองย้อนกลับไปในอดีตของตน (หากว่ามันยังเหลืออยู่) ข้างๆ เขาคือภรรยาผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ซึ่งคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จากยามอัสดงในชนบทภาพยนตร์จะพาเราย้อนกลับไปยังเมืองหลวงอันวุ่นวายปี 2004

โตเกียวในปีนั้น เซกิ ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทโฆษณา เขาอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ยังคงบ้างานไม่ต่างจากวัยหนุ่ม เขาชอบความสมบูรณ์แบบ มีความเป็นผู้นำ และได้รับความเคารพจากทุกคนที่ทำงานด้วย เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันถึง แต่การโหมงานหนักก็ย่อมแลกมาด้วยกับสุขภาพที่ถดถอย เซกิเริ่มลืมบางสิ่งบางอย่างในชีวิต ซึ่งมันส่งผลกระทบในหน้าที่การงานไปด้วย เอมิโกะจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาไปหาหมอ และนั่นเองที่ทำให้รู้ว่าเซกิกำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์ ทั้งเขาและภรรยาต่างถูกเกาะกุมไปด้วยความกลัวและความเศร้าที่พูดไม่ได้ เมื่อพวกเขาเริ่มต่อสู้กับโรคโดยหวังอย่างยิ่งว่าจะหายดี โรคร้ายกลับทำลายความทรงจำเขาไปทีละน้อยอย่างไร้ความปรานี มันจะยิ่งขมขื่นไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากการตายทั้งเป็นสำหรับเซกิ และสำหรับเอมิโกะ เธอมีแต่จะต้องเข้มแข็งไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

Still Alice (2014)

Still Alice เป็นอีกเรื่องที่สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ผลงานของลิซา เจโนวา และเป็นผลงานการกำกับและร่วมเขียนบทระหว่างริชาร์ด แกลตเซอร์กับวาช เวสต์มอร์แลนด์ โดยทั้งคู่ได้รับการทาบทามให้มาร่วมงานในเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งตรงกับช่วงที่ริชาร์ดได้รับการวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรค ALS (โรคเดียวกับสตีเฟน ฮอว์กิง) นี่จึงเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขาในฐานะผู้กำกับ เนื่องจากริชาร์ดเสียชีวิตลงในเดือนมีนาคม 2015

บทของ ‘อลิซ’ ในเรื่องนี้ส่งให้จูลีแอนน์ มัวร์ สามารถคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงมาได้ โดยปีที่เธอได้รับรางวัลเป็นปีที่ห้าติดต่อกันที่รางวัลสาขานี้ตกถึงมือตัวละครที่มีอาการป่วย อาทิ นาตาลี พอร์ตแมน จาก Black Swan (2010), เมอรีล สตรีป จาก The Iron Lady (2011) และเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ จาก Silver Linings Playbook (2012)

Still Alice ถูกเล่าด้วยเรื่องของดร.อลิซ ฮาวแลนด์ ศาสตราจารย์ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เธอรักงานที่ทำมาก เพราะมันแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในคุณค่าของชีวิต อลิซมีครอบครัวที่น่ารัก แม้จะไม่ได้อบอุ่นมากนัก แต่อยู่ๆ วันหนึ่งเธอก็ลืมสิ่งที่เธออยากจะพูด อาการลืมเริ่มเป็นบ่อยจนผิดสังเกต แล้วเมื่อไปตรวจดูก็พบว่าเธอป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ชนิดพบได้ยาก

แค่ความเจ็บป่วยก็เป็นสิ่งที่ยากจะรับมือไว้แล้ว อลิซยังรู้สึกแย่ลงไปอีกด้วยการรู้ว่าลูกๆ ของเธอสามารถเป็นพาหะได้เช่นกัน และเมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็จะป่วยไม่ต่างจากเธอ ทั้งครอบครัวพยายามอย่างถึงที่สุดในการปรับตัวเพื่อดูแลอลิซ อาการเธอค่อยๆ ทรุดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นใครอีกคนที่เราไม่รู้จัก ความเจ็บปวดทวีขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเรารู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนที่เคยเป็นอีกต่อไป แต่ถึงความทรงจำของอลิซจะหล่นหาย ความรักที่เธอเคยสร้างไว้จะคงอยู่ตลอดไปในความทรงจำของใครอีกคน