ทำไมเจอผีต้องปิดตา ทำไมเจอปอบต้องหนีลงตุ่ม
แม้ที่ผ่านมาเราต่างเคยได้ฟัง ได้ดู เรื่องราวสยองขวัญมาหลากหลายรูปแบบ สิ่งหนึ่งที่เป็นคำถามที่ไม่เคยมีตำนานเฮี้ยนเรื่องใดให้คำตอบได้คือ เหตุใดมนุษย์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้ คอยยินยอม สิโรราบให้กับสิ่งลี้ลับที่ไม่มีใครรู้จักเช่นนี้อยู่ตลอด
จะมีบ้างไหมใครสักคนที่ลุกขึ้นมาสู้ กล้าต่อกร ไล่หวดผีกลับไปบ้าง แบบเดียวกลับที่พวกมันเคยทำมาอยู่ตลอด
จนกระทั่งในปี 2566 หนังเรื่อง ธี่หยด ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ โดยอ้างอิงจากเรื่องผีไทยในตำนานของ กฤตานนท์ ที่เล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดของครอบครัวแห่งหนึ่งที่ลูกสาวคล้ายจะมีอาการผีเข้า จนนำเรื่องราวสยองขวัญตามมาอีกมาก
นอกจากเส้นเรื่องที่น่าติดตาม การบอกเล่าบรรยากาศชวนขนหัวลุก หรือฉากไคล์แมกซ์ต่างๆ ที่ทำได้อย่างน่าจดจำ อีกหนึ่งสิ่งที่เรื่องราวของธี่หยด โดดเด่นคือตัวละคร ยักษ์ ที่มีความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวผีแต่อย่างใด ซึ่งในเวอร์ชันภาพยนตร์ก็มีการถูกตีความเพิ่มเติมโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ ให้มีความห้าวกว่าเดิม ที่พร้อมจะสู้กับผีได้ทุกเมื่อ
จึงน่าสนใจว่า ในวันนี้ที่ธี่หยด 2 เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ภายใต้การกำกับของ ทวีวัฒน์ วันทา เรื่องราวของยักษ์และครอบครัวจะถูกบอกเล่าไปในทิศทางไหน
ในช่วงก่อนหนังเข้าฉาย The Momentum มีโอกาสได้พูดคุยกับณเดชน์ และณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ ผู้อำนวยการสร้างธี่หยด ถึงเรื่องราวในภาคต่อครั้งนี้ว่า จะถูกดำเนินไปในทิศทางไหน จะมีอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิม รวมถึงตัวละครยักษ์และฉากแอ็กชันในเรื่องจะถูกพัฒนาอย่างไรต่อในหนังเรื่องนี้
หากพูดถึง ธี่หยด ในภาคแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
ณฤทธิ์: สำหรับผมต้องใช้คำว่า เกินที่คาดการณ์เอาไว้ เพราะหลังจากหนังเรื่องนี้เข้าฉายมันไม่ได้ถึงแค่ในไทยตามที่ตั้งใจ แต่ยังรวมถึงต่างประเทศ หรือในสตริมมิงอย่าง Netflix ด้วย คือเวลาที่ทำหนัง ผมจะมีสูตรของตัวเองอยู่ว่า ถ้าวันแรกรายได้ประมาณนี้ ถึงจะมีหวังจะมีรายได้ 100 ล้านบาทได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ แค่วันแรกที่เข้าฉาย ยอดมันก็เกินเป้าหมายไปเยอะแล้ว
ณเดชน์: สำหรับผมคือดีใจ เพราะตัวผมในฐานะนักแสดง เอาเข้าจริงหน้าที่มันจบไปตั้งแต่ช่วงถ่ายทำแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือ การลุ้นว่าหนังมันจะประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้ รวมถึงมันถูกใจผู้ชมมากน้อยแค่ไหน
ผมไม่อยากคิดถึงตัวเลขว่า ต้องได้เท่านั้น ต้องได้เท่านี้ ผมจะดีใจมากกว่าเวลามีผู้ชมบอกว่า ดูแล้วสนุก ดูแล้วน่ากลัว ดูแล้วอยากชวนคนอื่นมาดูต่อ มันทำให้กลุ่มคนที่ทำงานด้วยกันมาตลอดหลายเดือน มีกำลังใจมากกว่า รวมถึงทำให้การกลับมาทำภาค 2 อีกครั้งก็มีความสนุก มีความตื่นเต้นมากกว่าเดิม
สุดท้ายสำหรับตัวผมเอง สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่หนังออกฉายคือ การที่ผมเดินอยู่ข้างถนน ใช้ชีวิตทั่วไป แล้วมีแฟนหนัง มีพี่ๆ น้องๆ มาเรียกผมว่าพี่ยักษ์ มาเล่าให้ฟังว่าตัวละครนี้ มันเท่ มันโหดในความรู้สึกเขาอย่างไร ในฐานะนักแสดง ผมก็ดีใจอยู่ไม่น้อย ที่ตัวละครนี้มันยังติดอยู่ในใจพวกเขาอยู่
จนถึงเมื่อไรที่รู้สึกว่า ต้องเริ่มทำหนังภาคต่ออย่างธี่หยด 2
ณฤทธิ์: เรื่องนี้ผมคิดไว้คร่าวๆ แล้วตั้งแต่หนังจบภาคแรกคือ เราวางแผนไว้ว่า เนื้อเรื่องของหนังมันสามารถจบในภาคเดียวหรือจะมีภาคต่อก็ได้ ซึ่งพอในสัปดาห์แรก ทิศทางของผู้เข้าชมรวมถึงรายได้ เป็นที่น่าพอใจของฝั่งผู้บริหารทั้ง M Studio (เอ็ม สตูดิโอ) และช่อง 3 ก็ไฟเขียว ให้เดินหน้าสร้างภาคต่อได้เลย
ธี่หยด 2 จะมีความแตกต่างออกไปอย่างไรจากภาคแรก
ณเดชน์: ธี่หยด 2 จะอิงจากนิยาย (ธี่หยด… สิ้นเสียงครวญคลั่ง) ของกฤตานนท์เช่นเดิม เพียงแต่เราจะหยิบยกบางประเด็นที่ทีมงานสนใจ มาเล่า มาขยายความในแบบภาพยนตร์ต่อ
ณฤทธิ์: ถ้าถามว่า กดดันไหม ผมบอกเลยว่า แน่นอน ในภาคแรกเราได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด จึงพอจะเดาได้ว่า ทุกคนต้องคาดหวังในภาคต่อว่า มันจะต้องทำออกมาได้เทียบเคียงหรือดีกว่าหนังเรื่องก่อน
ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ การนำข้อมูลจากการสำรวจในภาคแรกว่า เขาชอบอะไร สนใจประเด็นไหน มาบอกเล่าต่อ ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องแรกคือการอยากรู้ว่า บทยักษ์ของณเดชน์ จะถูกต่อยอดอย่างไรหลังจากนี้ จะมีการบู๊ล้างผลาญเช่นเดิมหรือไม่ ซึ่งพวกเราคิดและตัดสินใจแล้วว่า หากจะไปทางนี้ก็ต้องไปให้สุด พาพี่ยักษ์ไปอยู่ในจุดที่คนดูอยากจะเห็นให้ได้
ส่วนอีกประเด็นที่คนดูยังคงสนใจและผมเองก็ชอบเป็นการส่วนตัวคือ ความรัก ความสัมพันธ์ของครอบครัวภายในเรื่อง ซึ่งในคราวนี้ เราไม่ต้องเล่าแล้วว่า พวกเขาเป็นใคร มีนิสัยแบบไหน ดังนั้นในคราวนี้เราจะได้เห็นว่า เมื่อมันมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเข้ามา พวกเขาจะรับมือมันอย่างไร หรือในวันที่ไม่ได้มีพี่ยักษ์คอยช่วยเหลือ พวกเขาจะดูแลตัวเองกันอย่างไร
สำหรับพวกคุณคิดว่า ตัวละครยักษ์มีเสน่ห์อย่างไร
ณฤทธิ์: จริงๆ ต้องขอบคุณณเดชน์ก่อนเลย ที่มาช่วยกันพัฒนาตัวละครนี้ เพราะในช่วงแรกของการพูดคุยถึงบท ตัวละครนี้จะให้ความสนใจกับเรื่องครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ แต่ณเดชน์เป็นคนทักท้วงขึ้นมาว่า เขาอยากเห็นตัวละครนี้ต่อสู้ ไล่ล่ากับผีมากกว่า
ณเดชน์: ในตอนแรกมันก็มีฉากแอ็กชันอยู่แล้วนะ ไม่ใช่ไม่มีเลย เพียงแต่มันอาจไม่ได้ลงลึกขนาดนั้น ผมเลยลองเสนอไปว่า หากเราลองตั้งใจนำเสนอภาพลักษณ์ให้ตัวละครนี้มีความกล้า ไม่กลัวผี มากยิ่งขึ้น ก็น่าจะได้รสชาติของตัวละครที่แปลกใหม่ดี
ในมุมผม ยักษ์เป็นคนที่กล้าดีเดือด คืออาจจะกลัวผีบ้าง แต่ก็ไม่ได้กลัวจนขนหัวลุก ต้องไปหาพระ หาเจ้า มันกลัว แต่มันก็ยังกล้าที่จะสู้กับความกลัว อาจเพราะส่วนหนึ่งเขาอยากช่วยให้ครอบครัวพ้นจากอันตรายด้วย
คุณมีวิธีการพัฒนาตัวละครยักษ์อย่างไรบ้าง
ณเดชน์: ปกติผมจะคุยกับพี่คุ้ย (ทวีวัฒน์ วันทา) อยู่ตลอดว่า ลองปรับแบบนั้นแบบนี้ดีไหม ในการถ่ายทำ จำได้ว่าวันแรกๆ เทกที่ถ่ายทำ ผมเล่นไม่เหมือนกันเลย คือวันแรก ผมก็ลองปล่อยตัวเองไปก่อน พยายามหาคาแรกเตอร์ของยักษ์ว่า แบบไหนถึงจะลงตัวที่สุด จนออกมาแบบที่ทุกคนเห็นในภาคแรก
ส่วนในภาค 2 มันก็เป็นการต่อยอดจากภาคแรก ที่มีการสุมไฟให้กับตัวละครนี้แล้ว จนทำให้ยักษ์ตัดสินใจจะออกล่าผีที่เข้าสิงคนตามสถานที่ต่างๆ จะที่ไหน จังหวัดไหน ถ้ามีผีเข้า ยักษ์จะเดินไปทางหา เพื่อหวังว่า จะได้เจอผีชุดดำและชำระแค้นได้
ในระหว่างที่หนังภาคแรกจบ คนดูกลับบ้านไปนั้น แต่ตัวละครยักษ์มันยังคงเดินทางต่อ จน 1 ปีผ่านไป ในธี่หยด 2 เราก็กลับมาดูตัวเขาอีกครั้ง ก็จะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในบางอย่างที่เกิดขึ้น
อย่างในบทหนังฉากแรกเปิดเรื่องมาก็เขียนแบบนี้เลยนะ “ยักษ์ถีบประตูดังโป้ง ตามไปล่าคนที่ถูกผีเข้าว่า เป็นผีชุดดำที่มันตามหาอยู่หรือไม่” คือยักษ์เขาบ้าบิ่นขนาดนี้ไปแล้ว
รวมถึงอาวุธในการต่อกรกับผี ที่คราวนี้ไม่ใช่มีดพร้า และลูกซองอีกต่อไปแล้ว มันจะมีความพิเศษมากยิ่งขึ้น ต้องรอติดตามในหนัง
ถ้ามันบู๊ มันแอ็กชันขนาดนี้ พวกคุณคิดว่า ธี่หยด 2 ยังเป็นหนังประเภทสยองขวัญอยู่ไหม
ณเดชน์: อย่างไรก็เป็นหนังสยองขวัญอยู่ ผมเชื่อแบบนั้น เพราะพื้นฐานของหนังคือเรื่องลี้ลับ คือเรื่องผี ที่ทำให้ตัวละครมันหวาดกลัว รวมถึงยังชวนให้ผู้คนยังหลอน ยังกรี๊ดอยู่ทั้งเรื่อง เพียงแต่ในเส้นเรื่องของยักษ์มันอาจมีความแอ็กชันมากกว่าเส้นเรื่องอื่น แต่ถ้าไปดูเส้นเรื่องของตัวละครอื่นๆ เช่น หยาด (แสดงโดย เดนิส เจลีลชา คัปปุน) และยี่ (แสดงโดย ณัฐชา นีน่า เจสซิกา พาโดวัน) ก็ยังมีความสยองขวัญเต็มรูปแบบ
ถ้ามีคนบอกว่า ธี่หยด เป็นหนังที่ดูแล้วสนุกกับฉากแอ็กชันมากกว่าน่ากลัว พวกคุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
ณฤทธิ์: สิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในความคาดหวังของเราเหมือนกัน เพราะก่อนที่จะฉายในโรงภาพยนตร์ เรามีการทดลองฉายกับกลุ่มทดลองจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มีหลายคนที่บอกว่า ธี่หยดเป็นหนังผีที่ดูสนุก แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความสยองขวัญอยู่ ซึ่งเราคิดว่า ผู้ชมในวงกว้างก็น่าจะรู้สึกและได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกัน
ณเดชน์: เรื่องนี้ผมว่า มันแล้วแต่มุมมองและประสบการณ์ของคนดู บางคนที่เขากลัวกับเรื่องลี้ลับแบบนี้มากๆ ก็มี ซึ่งเขาก็อาจจะให้ความสนใจกับความน่ากลัวที่หนังนำเสนอมากกว่า แต่สำหรับบางคนเขาอาจจะให้ความสนใจหรือรู้สึกร่วม กับการได้เห็นใครสักคนลุกขึ้นมาต่อกรกับสิ่งลี้ลับ ก็เป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นมันไม่ถูกหรือผิดที่เขาจะรู้สึกแบบไหน ขอแค่เขาดูจบแล้วรู้สึกว่า หนังสามารถมอบสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ได้ ก็ประสบความสำเร็จสำหรับพวกเราแล้ว
คิดเห็นอย่างไรที่วันนี้หนังผี ถูกขยายคำจำกัดความ จนมีความหลากหลายมากขึ้นเช่นนี้
ณเดชน์: พูดในแง่การที่มันมีความแอ็กชันเข้ามา เรื่องนี้ผมเคยคุยกับพี่คุ้ย เขาเล่าว่า สมัยก่อนเรามักเห็นภาพคนหนีผี ไม่มีทางที่จะรับมือ หรือต่อสู้กับมันได้เลย ทำได้เพียงแค่วิ่งลงตุ่มแบบที่ผีปอบภาคต่างๆ เป็นมา
ดังนั้นการได้เห็นใครสักคนการสู้กับผี การสู้กับความกลัว มันเป็นรสชาติใหม่ๆ ที่คนดูเขาถามหา ซึ่งในยุคสมัยนี้ ผมว่ามันก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องมอบประสบการณ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับหนังผี ให้พวกเขาได้ดูและได้สัมผัส
สุดท้ายคิดว่า ผู้ชมจะได้รับประสบการณ์แบบไหนกลับไปจากการดูธี่หยด 2
ณฤทธิ์: นอกจากความสนุก และสะใจจากตัวละครยักษ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่พวกเราอยากนำเสนอคือ ความรักความสัมพันธ์ของครอบครัว ที่เมื่อมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาพร้อมจะปกป้องกันและกันอยู่เสมอ ผมว่า เรื่องนี้ผู้ชมน่าจะมีอารมณ์ร่วมตามได้เช่นกัน
Tags: ณเดชน์ คูกิมิยะ, ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์, ธี่หยด 2, ธี่หยด, ยักษ์ธี่หยด