เคลวินเป็นจิตแพทย์ อาศัยอยู่ในบ้านสวยของพ่อ ล้อมรอบด้วยสระน้ำและต้นไม้สูงเหมือนสวนป่า ในแต่ละวันเขาจะออกไปเดินเล่น จ้องมองพืชน้ำส่ายไหวในสระ อยู่ในความสงบของธรรมชาติ
เขาได้รับคำสั่งให้เดินทางไปยังสถานีอวกาศเก่าแห่งหนึ่งที่โคจรรอบดาวโซลาริสมาหลายสิบปี ไปเพื่อประเมินอาการทางจิตของนักบินอวกาศสามคนบนสถานีที่พักหลังไม่อยู่กับร่องกับรอย ส่งข้อความประหลาดๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่องมายังโลก โครงการหลักของสถานีอวกาศคือการศึกษาดาวดวงนี้ ดวงดาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยมหาสมุทรขนาดใหญ่ โลกต้องการให้เคลวินประเมินให้แน่ใจว่าควรดำเนินโครงการนี้ต่อไปหรือควรยกเลิกโครงการดี เพราะหลังจากนานนับทศวรรษในการศึกษา ไม่มีการค้นพบอะไรนอกจากคนที่ถูกส่งขึ้นไปมักกลับมาด้วยสภาพจิตผิดปกติ ก่อนเดินทางนักบินอวกาศคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อแวะมา เอาเทปการสอบสวนสมัยที่เขาไปบุกเบิกโซลาริสแล้วกลับมาด้วยอาการจิตแตกมาให้เคลวินดู เขาให้การว่าบนนั้นเขาเห็นทารกขนาดยักษ์สี่เมตรแหวกว่ายในอวกาศ ทารกที่มีหน้าตาเหมือนลูกของเพื่อนนักบินด้วยกัน เขาบอกว่าดาวดวงนั้นทำให้คนเป็นบ้า
แล้วเคลวินก็เดินทางไป เขาพบว่าสถานีอวกาศนั้นทรุดโทรมสกปรก ดร.กริบาเรียน นักบินที่เคยเป็นเหมือนอาจารย์ของเขาฆ่าตัวตายไปแล้ว อีกสองคนที่เหลือคือสเนาต์ และซาโตเรียส ก็มีอาการผิดปกติ เอาแต่พูดพล่ามเรื่องอันตรายของดวงดาวโดยไม่ยอมลงรายละเอียด เก็บตัวกันอยู่แต่ในห้องไม่ยอมสุงสิง หากเขาเองก็เริ่มพบสิ่งผิดปกติด้วยเช่นกัน เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งทางหางตา ได้ยินเสียงกระดิ่งข้อมือหรือข้อเท้า เด็กคนนั้นปรากฏอยู่ในวีดีโอลาตายที่กริบาเรียนทิ้งไว้ให้เขาอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาพบใครคนหนึ่งบนสถานีอวกาศ หล่อนคือภรรยาที่ตายไปแล้วสิบปีของเขา หล่อนกลับมา อย่างมีเนื้อมีหนัง มีความทุกข์ และมีความรัก กลับมาหาเขาอย่างกับไม่เคยจากไป เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าหล่อนคือคนจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพหลอน
บนดาวโลก ชายคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม Stalker ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาในบ้านเก่าโทรม เตรียมตัวออกไปทำงานงานของเขาคือการเป็นคนนำทาง ภรรยาของเขาลุกตามมาเพื่อด่าทอเขาอย่างรุนแรงที่เขาจะทิ้งบ้านไปอีกครั้ง
หลังจากอุกกาบาตลูกหนึ่งพุ่งชนโลก บริเวณที่ถูกชนกลายเป็นอาณาเขตหวงห้ามที่รัฐให้ชื่อว่า The Zone รัฐพยายามห้องกันไม่ให้ใครลอบเข้าไป แต่ก็มีข่าวลือว่าใครก็ตามที่เข้าไปใน The Zone และไปถึงส่วนที่เรียกว่า The Room ใครคนนั้นจะได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่การเดินทาเข้าไปใน The Zone ต้องใช้ผู้ชำนาญทางในการพาเข้าไป ผู้ชำนาญทางนั้นถูกเรียกว่า stalker และ วันนี้ stalker จะพาลูกค้าสองคนอันประกอบด้วยนักเขียนที่ต้องการแรงบันดาลใจ และศาสตราจารย์ที่ต้องการรางวัลโนเบลจากการศึกษา The Zone
ก่อนหน้านี้เจ้าเม่น stalker ที่สอนเขาเดินทางเคยทิ้งน้องชายตัวเองไว้ที่นั่น เจ้าเม่นกลับไปใน The Room เพื่อขอพรให้น้องตัวเองกลับมา ที่เขาได้คือเงินทองมหาศาล หากไม่นานจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตาย
การเดินทางใน The Zone นั้นไม่ง่าย stalker จะต้องโยนหินถามทางไปเรื่อยๆ ถ้าเดินทางผิดพวกเขาจะตกอยู่ในนั้นตลอดกาล stalker มีหน้าที่พาคนไปที่นั่น แม้จะมีปรารถนาของตัวเอง stalker ก็ไม่เคยเข้าไปใน The Room
เมื่อพวกเขาไปถึง The Room ความจริงก็เปิดเผย พวกเขาถกเถียงกันอย่างเป็นบ้าเป็นบอว่ามันยังจำเป็นต้องมี The Room ไหม ก่อนที่ทุกอย่างจะเหนื่อยล้า เจ็บปวด แตกสลายอยู่ตรงปากประตูนั้นเอง
หากจัดอันดับผู้กำกับที่สำคัญที่สุดของโลกนี้ไม่ว่าจะจัดอย่างไรย่อมต้องมีชื่อของ Andrei tarkovsky ติดอยู่ในลำดับต้นๆ เสมอ ภาพยนตร์ขนาดยาว 7 เรื่องตลอดชีวิตการทำงานของเขาเป็นเหมือนภูผาของนักวิจารณ์ นักวิชาการภาพยนตร์และเป็นเหมือนคัมภีร์ของคนทำหนัง Tarkovsky มักจ้องมองเข้าไปในมนุษย์ โซเวียตถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่ทางความทรงจำ มวยผมของแม่ ชีวิตวัยเด็ก บ้านที่ลุกไหม้ ความทรงจำครั้งเก่าก่อน ความโสมมทางทัศนียภาพ ฝนตกในห้อง วรรณกรรม ศิลปะ ถูกปั้นแต่งขึ้นในสายตาของเขาที่มองว่าภาพยนตร์คือศิลปะของการสลักเสลากาลเวลา
ในบรรดาหนังเจ็ดเรื่อง เขาทำหนังไซไฟไว้สองเรื่อง ทั้งสองเรื่องดัดแปลงจากนิยายต้นฉบับโดยเป็นการดัดแปลงที่ตัดทอนแก้ไขเอาความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ออก ใช้ความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการจ้องมองเข้าไปข้างใน ‘มนุษย์’ มากกว่ามองออกไปข้างนอกใน ‘อวกาศ’
Solaris (1972) ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ Stanislaw Lem ในตอนนั้นเขาเพิ่งมีปัญหากับรัฐบาลเพราะ Andrei Rublev หนังเรื่องแรกของเขาโดนแบนก่อนออกฉายด้วยข้อหาที่หนังมีความเชื่อมโยงกับศาสนา ต่อต้านรัฐบาลโซเวียต และเชิดชูเสรีภาพของของศิลปิน Tarovsky ต้องหาทางทำหนังที่พอจะขายได้ และทางเลือกของเขาคือทำหนังไซไฟเสียเลย แรกทีเดียวTarkovsky ดัดแปลงบทร่วมกันกับ Lem ต่อมา Lem ถอนตัวไป โดย Lemให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าเขาไม่พอใจหนังอย่างมาก เพราะมันแทบไม่เหลือโลกไซไฟที่เขาคิดไว้ หนังประสบความสำเร็จในตอนที่ออกฉาย รวมถึงคว้ารางวัลที่คานส์ แต่สำหรับ Tarkovsky นี่เป็นหนังที่เขาพอใจน้อยที่สุดในบรรดาเจ็ดเรื่อง เพราะสำหรับเขามันมีความไซไฟมากเกินไป เขายังต้องพึ่งพาความเป็นไซไฟ เป็นวิทยาศาสตร์ในการเล่าเรื่องที่เขาต้องการเล่ามากเกินไป
อย่างไรก็ดีเขาบอกว่าเขาแก้มือสำหรับเรื่องนี้ได้สำเร็จใน Stalker (1979) หนังไซไฟอีกเรื่องของเขา ที่ก็ดัดแปลงจากนิยายวิทยาศาสตร์เช่นกัน นั่นคือ Roadside Picnic โดยพี่น้อง Strugatsky ในหนังเรื่องนี้ Tarkovsky ทอนทุกอย่างที่เป็นไซไฟออกไปหมดจนเหลือเพียงแค่คำบอกเล่าเกี่ยวกับอุกกาบาต หรือ The Zone เขาสร้างโลกขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับเป็นแดนสนธยาหลังโลกแตกดับและนำพาตัวละครเข้าสู่สุญญากาศของทัศนียภาพที่สุญญากาศยิ่งกว่าภาวะไร้น้ำหนักบนดวงดาวโพ้นไกล
ใน Solaris หนังให้คำอธิบายว่าดวงดาวลึกลับนี้แม้จะมีการศึกษามาอย่างยาวนานก็ไม่อาจเข้าใจอะไรได้ นอกจากว่ามันคือดวงดาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยมหาสมุทร ดวงดาวนี้มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิเหนือมนุษย์อยู่ และมนุษย์พยายามสื่อสารกับมัน หากการสื่อสารกลับของดาวดวงนั้นกลับเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ เพราะภูมิปัญญาของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะเข้าใจ การณ์กลายเป็นว่าดวงดาวนั้นย้อนมาศึกษามนุษย์เสียเองด้วยการรื้อค้นเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ที่ถูกส่งมา จากนั้นจำลองสิ่งมีชีวิตที่แต่ละคนผูกพันขึ้น สร้างผีในจินตนาการ ในความทรงจำ ให้เป็นรูปร่างแล้วปรากฏกายให้มนุษย์เหล่านั้นเห็นแลเผชิญหน้ากับมัน
เราอาจเห็นผีของผู้อื่นเพียงชั่วแล่น แต่ทุกคนกลับต้องเผชิญกับผีของตนเอง กับความทรงจำของตนเอง หรืออาจบอกได้ว่ากับกรรมของตนเอง กรรมที่กลับมามีรูปร่าง มีเนื้อมีหนัง ผีที่กลายเป็นคน เราไม่อาจรู้ว่า ร่างกายจากความทรงจำของคนอื่นบนสถานีเป็นคนที่ตายแล้วหรือยังมีชีวิต ไม่รู้กระทั่งมีหน้าตาเป็นอย่างไรและส่งผลอย่างไรต่อพวกเขา หรือบางทีนี่อาจเป็นเพียงภาพหลอนจากการติดในอวกาศนานเกินไป แต่เรารู้ว่าสำหรับเคลวินนั้นมันเป็นผีชนิดหนึ่งแน่ๆ ผีที่มาจากความทรงจำที่เขามีต่อภรรยาที่ฆ่าตัวตายไปแล้วสิบปีต่อจากแม่ที่ก็ตายไปแล้วเช่นกัน
เธอปรากฏขึ้นอย่างเรียบง่ายราวกับดำรงคงอยู่มาตลอด เธอร่วมรักกับเขา ยังคงงุนงงว่าเธอเป็นใครมาก่อน ทิ้งผ้าคลุมไหล่ไว้บนเก้าอี้ การร่วมรักทำให้เขารู้ว่าเธอมีเนื้อหนังมังสา แต่ในเมื่อเธอควรเป็นแค่ภาพหลอนเขาจึงกำจัดเธอออกไปส่งเธอออกไปนอกอวกาศเพื่อยินยันว่าเธอต้องไม่มีตัวตน เพื่อจะรู้ว่าเขาไม่สามารถกำจัดความทรงจำออกไปได้ เธอกลับมาเสมอ
คล้ายกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าสร้างผู้หญิงจากกระดูกซี่โครงของผู้ชาย เธอถูกสร้างขึ้นจากความทรงจำของเขา หนังอธิบายว่าเธอเป็นอนุภาคนิวตริโน อนุภาคกลางที่ไม่มีขั้วบวกลบเหมือนกับอะตอมของมนุษย์ เธอจึงเหมือน แต่ไม่ใช่มนุษย์ เธอเป็นอมตะเหมือนกับผี เพราะแม้จะตายก็จะฟื้นคืน แผลจะสมานตัวเอง เธอจะกลับคืนมาเสมอ เหมือนความทรงจำที่ไม่อาจลบได้ และการที่เคลวินจมดิ่งลงไปกับเธอคือการจมดิ่งลงไปในความสำนึกบาปของตน ความสำนึกบาปที่ทำให้เมียตัวเองต้องฆ่าตัวตาย
เธอมาจากเขาแต่เธอไม่ได้เป็นของเขาอีกแล้ว หนังค่อยๆ ให้การเรียนรู้ ไม่ใช่เคลวินที่เรียนรู้แต่เป็น ฮาริ ภรรยาผีของเขา เธอเรียนรู้ตัวเองเมื่อเธอมองดูกระจก เธอเห็นตัวเอง ตระหนักรู้ว่าตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไร ตระหนักรู้ว่าเธอว่างเปล่า เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีตัวตนอื่นใดนอกจากการเป็นเศษเสี้ยวแตกหักจากความทรงจำกระท่อนกระแท่นผิดเพี้ยนที่ผู้ชายคนหนึ่งมีต่อคนรักของเขา ในฉากนี้หนังให้เราเห็นตัวละครจ้องมองกระจกเนิ่นนาน การเรียนรู้เริ่มขึ้นเมื่อเรามองเข้าไปในตน “เราไม่ได้ต้องการอวกาศให้พิชิตหรอกที่มนุษย์ต้องการคือกระจกสักบานต่างหาก” สเนาต์กล่าวประโยคนี้ไว้ ถ้ามนุษย์เชื่อว่าตัวเองเหนือกว่าสิ่งอื่นๆ ในโลกเพราะมนุษย์มีปัญญา มีการเรียนรู้ ก็อาจจะบอกได้ว่าเธอค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ หรืออาจจะ ที่จะเหนือมนุษย์ ด้วยการตระหนักรู้ว่าการดำรงคงอยู่ของเธอเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เธอพยายามแม้แต่ที่จะตายแต่ก็ไม่ ในความทรงจำของเคลวิน เธอก้ไม่ได้เป็นเธออีก เพราะเธอคนใหม่ได้เข้ามาแบ่งปันพื้นที่ในความทรงจำที่เขามีต่อเธอคนเดิมไปแล้ว
จนเมื่อพวกเขาตัดสินใจส่งคลื่นสมองของเคลวินออกไปยังดวงดาว จนเมื่อสามสิบวินาทีพวกเขาอยู่ในสภาวะของการไม่ถูกควบคุมทั้งจากแรงโน้มถ่วงในสถานีอวกาศและจากดวงดาว ฮาริคนนี้จึงเรียนรู้ที่จะเป็นตัวเอง ไปจากการเป็นความทรงจำ การตัดสินใจของเธอในตอนท้ายเรื่องจึงเป็นของเธอ สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น หากวิวัฒน์ได้ไปพ้นจากความทรงจำของเขา วิวัฒน์ไปสู่สิ่งที่อยู่ข้างใต้ความทรงจำของเขาอีกชั้น เมื่อฮาริได้เปลี่ยนรูปไปเป็นแม่ ความทรงจำของเคลวินทั้งหมดเป็นเพียงการโหยหารักจากแม่ ผู้หญิงมวยผม (ที่ปรากฏในหนังแทบทุกเรื่องของทาร์คอฟสกี้ ภาพของแม่ที่มองจากด้านหลังจากสายตาเด็กชายผู้ปรารถนาแม่ที่ไม่หันมามอง) การกลายเเป็นแม่ของฮาริ คือพัฒนาการขั้นกว่าด้วยการคลี่ความทรงจำของมนุษย์ออกและค้นหาปมที่ใจกลางความป่วยไข้ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์นั้นเอง
โซลาริสจึงเป็นฝ่ายเรียนรู้มนุษย์มากกว่าที่มนุษย์จะเรียนรู้จากโซลาริส ดวงดาวรู้จักความเป็นมนุษย์ด้วยการจำลองมนุษย์ขึ้นมาจากมนุษย์ และความเป็นมนุษย์คือการไปจากมนุษย์ และในที่สุด มนุษย์เป็นเพียงพืชน้ำที่เพยิบไหวใต้กระแสน้ำในบึง ในมหาสมุทรของดวงดาว ชีวิตทั้งหมดและความทรงจำทั้งหมดของมนุษย์ที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่และคิดว่าสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนอื่น หรืออวกาศเป็นเพียงภาพหลอนนั้นมันกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม
ที่แท้แล้ว ชีวิตทั้งหมดและความทรงจำของมนุษย์ทั้งหมดเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรอันไพศาลของดวงดาว ชีวิตของเคลวินทั้งหมดต่างหากที่คือภาพหลอน ไม่ใช่ภรรยาของเขา หากการปล่อยให้เคลวินอยู่ในสวน เป็นการให้อำนาจเขาในการเป็นพระเจ้าที่จ้องมองสรรพสิ่งในสระน้ำ การกลับมาบ้านอีกครั้งในวาระที่สระกลายเป็นน้ำแข็ง การที่เขาเปลี่ยนจากผู้มองเป็นผู้ถูกจ้องมอง เป็นเพียงหนึ่งเซลล์ของสาหร่าย จึงเป็นการย้อนกลับเพื่อฉายภาพความเล็กจ้อยอ่อนแอของมนุษย์ในที่สุด
ทาร์คอฟสกี้กลับมาทำประเด็นอันใกล้เคียงกันนี้อีกครั้ง เปลี่ยนจากห้วงหาวเป็นห้องหับในแดนลึกที่ชื่อว่า The Zone ร่องรอยแบบไซไฟถูกทอนออกไปจนเกือบหมด Stalker แบ่งตัวเองออกเป็นสองช่วงคือช่วงก่อนและหลังการเข้าไปในThe Zone เกือบทั้งหมดในครึ่งแรกเป็นภาพขาวดำซีดเศร้าแห้งแล้ง ภาพของโลกข้างนอกที่ไร้หวัง สามสหายศาสตราจารย์ นักเขียนและคนนำทาง เดินทางทุกลักทุเลหลบหนีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปใน The Zone โลกข้างนอกเป็นโลกสกปรกอับเฉาที่มีแต่ตึกร้าง พื้นดินเฉอะแฉะ อากาศหนาวยะเยือก ซีดเศร้าเป็นสีเดียวจนเมื่อพวกเขาไปถึง The Zone เข้าไปยังทุ่ง พุ่มเตี้ยของไม้ใบปรากฏขึ้น โลกกลับเป็นมีสีสัน แต่ The Zone ที่สวยงาม อาจทำให้ผู้คนหลงทางจนตายในนั้นตลอดกาล พวกเขาจึงต้องอาศัยนักนำทาง โยนหินถามหาทางที่ถูกต้องไปเรื่อยๆ
เราอาจบอกได้ว่านักเขียนและศาสตราจารย์ เป็นตัวแทนของวิทยาศาสตร์และศิลปะ (แบบเดียวกับ สเนาต์และ ซาโตเรียส สองนักบินอวกาศบนสถานี Solaris ที่มองโลกต่างกันสุดขีด) พวกเขาคนหนึ่งเข้าไปใน The Zone เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจในการเขียน อีกคนต้องการความสำเร็จจากงานวิจัยที่ทำ พวกเขาต้องไปให้ถึง The Room ห้องขอพร แต่ห้องขอพรไม่ได้ให้พรทุกอย่างที่หวัง และความหวัง ความศรัทธาคือหัวใจของหนังเช่นเดียวกับความทรงจำใน Solaris
ตลอดการเดินทาง พวกเขาถกเถียงกันเรื่องของ The Zone ราวกับถกปรัชญาว่าด้วยความศรัทธา ทั้งคู่ไม่เคยไปถึงและหวังจะไปให้ถึง แต่คนนำทางไปถึงที่นั่นหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเข้าไป ราวกับว่าความศรัทธามีไว้ให้คนอื่นไม่ใช่กับเขา เราอาจกล่าวในทางหนึ่งว่า The Room เป็นได้ทั้งภาพแทนของความหวังเชิงปัจเจก ไปจนถึงความศรัทธาในทางศาสนา คนนำทางเต็มไปด้วยความศรัทธา ความศรัทธาหล่อเลี้ยงชีวิตเขา แต่นั่นหมายความว่าเขาจะต้องไม่ได้รับในสิ่งที่เขาร้องขอ เพราะความหวัง ความศรัทธามีค่าใช้จ่าย ความหวังคาดเดาไม่ได้ ไม่รับประกันว่าจะสมหวัง ความหวังทำให้ผู้คนทุกข์ทรมาน กลายเป็นสัตว์ป่าที่ทำทุกอย่างเพื่อความหวัง เขาเป็นสัตว์เชื่องที่ถูกชุบเลี้ยงอย่างง่ายให้พาคนไปหาความหวังโดยไม่ต้องมีหวัง ความศรัทธาของเขาไม่ใช่การได้รับสิ่งที่ร้องขอ แต่คือการรับใช้ผู้อื่นให้ได้รับสิ่งนั้น เขาห้ามตนไม่ให้มีความหวัง เพราะความหวังนั้นใหญ่โตเกินกว่าที่ชีวิตของเขาจะแบกรับ
หากพูดในเชิงศาสนา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ ทั้งพึ่งพาและทำลายล้างความศรัทธา เฉกเช่นเป้าหมายที่แท้จริงของศาสตราจารย์ในการทำลาย The Room ขณะที่นักเขียนพยายามจะ อธิบาย The Zone ความหวังความศรัทธาจะถูกตีแผ่เปิดโปงทำลายล้าง จึงเป็นหน้าที่ของนักนำทางที่จะต้องปกป้องมันไว้
ในที่สุดไม่มีใครได้พบกับ The Room ทุกคนกลับคืนที่ของตน ความหวังและศรัทธายังคงดำรงคงอยู่ในดินแดนลึกลับที่ผู้คนจะเอาแต่พูดถึงมันโดยแทบไม่เคยพบเห็นมันจริงๆ เป็นการดีที่จะเชื่อในความศรัทธา ในความหวัง มากกว่าจะพิสูจน์มัน
หากเมื่อนักนำทางกลับคืนบ้าน และภรรยาของเขาร้องขอที่จะไปที่นั่นบ้าง เขากลับกีดกันเธอ เขาบริภาษ ศาสตราจารย์และนักเขียนในฐานะคนที่ไม่เชื่อในความหวัง แต่เขาก็กีดกันคนที่เขามองว่าต่ำศักดิ์กว่าเขาในการแตะต้องความหวังนั้นเสียเอง กีดกันโดยกล่าวถึงอันตรายใน The Zone
ในแง่นี้ The Zone จึงมีความหมายมากขึ้นไปอีก แบบจำลองของมันกลายเป็นแบบจำลองของโลกที่ดีกว่าในทุกรูปแบบที่มนุษย์เฝ้าใันแต่ไม่อาจเข้าถึงการกดขี่เป็นลำดับชั้น ทำให้นึกถึงเจ้าอาณานิคมกับชนชั้นปกครองในอาณานิคมและคนชั้นล่าง หรือนายทุน ผู้บริหาร และแรงงาน The Zone ที่ไร้รูปเปลี่ยนแปรไปได้ทุกสิ่งภายใต้ความไม่จำเพาะเจาะจงของมัน
The Zone กับดาว Solaris จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นสิ่งซึ่งมนุษย์ศึกษามัน พยายามจะครอบครองมัน แต่ไม่อาจเข้าใจมัน ทุกข์ของมนุษย์ที่จมลงไปในสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ครบถ้วน บันดาลภาพหลอนที่กลืนกินพวกเขาเข้าไป
ในฉากจบของ Stalker หนังฉายภาพของ ‘ลิงน้อย’ ลูกสาวของนักนำทาง เธอนั่งนิ่งบนโต๊ะใช้พลังจิตของเธอเขยื้อนแก้วน้ำจนค่อยๆ ร่วงลงจากโต๊ะเชื่องช้า ดูเหมือนเป็นฉากที่พิสดารเหนือจริง เกินความคาดหมาย แต่นี่คือความหวังที่แท้จริงถ้าจะมีอยู่ The Zone และ มหาสมุทร Solaris ที่อยู่ข้างในไม่ใช่ข้างนอก ในลูกหลานของเราเองที่จะเป็นผู้คนของวันพรุ่งนี้
Tags: Filmsick, Andrei Tarkovsky, Solaris, Stalker