ในปี 2034 เกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ผลของมันทำให้ทั่วภูมิภาคอุษาคเนย์ไม่พบเจอแสงอาทิตย์อีกเลย ท่ามกลางความมืดมิดยาวนาน เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของไข้ ‘เพชฌฆาตทมิฬ’ (Dark Killer) ในฟิลิปปินส์ที่ทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก  ประเทศถูกปกครองโดยประธานาธิบดีเนอร์วานาที่เป็นคนบ้าบอ เป็นคนคลั่งมาร์กอส และอยากจะเป็นมาร์กอสคนต่อไป ภาพขนาดยักษ์ของเขาติดอยู่ตามถนนทั่วไป เขาเชื่อว่าตัวเองได้ยินเสียงพระเจ้า ที่กำลังชี้ทางให้เขากำลังนำพาประเทศไปสู่ดินแดนแห่งพันธะสัญญา เขามีลูกน้องเป็นนายพลหญิงสองคนที่คอยเป็นธุระจัดการกับใครก็ตามที่ต่อต้าน ส่งหน่วยสังหารไปฆ่ากลางเมือง หรือระเบิดทิ้งอย่างไม่แยแส เนื้อสดๆ ของพวกคนติดยา จะถูกแล่ส่งมาให้ท่านประธานาธิบดีเอาไปหย่อนในบ่อจระเข้ที่เขาเลี้ยงไว้  แม่ของเขาอาศัยในโรงพยาบาลบ้า ปรากฏมาเป็นเสียงหลอนหูแว่วในยามค่ำคืนที่เขาอยู่ลำพัง เขามีตำรวจโดรนคอยสอดส่องขอตรวจบัตรประชาชนกลางถนน มีการบังคับให้ผู้คนไปฉีดวัคซีนแบบร้อยเปอร์เซนต์โดยทหาร

หญิงสาวเป็นคนความจำเสื่อมแตกสลาย เธอสอนประวัติศาสตร์แต่กลางคืนไปทำงานเป็นโสเภณีเพราะเป็นงานเดียวที่ยังไม่โดนAI แย่งงาน หนึ่งในนายพลสาวของประธานาธิบดีเรียกเธอมาบริการและตกหลุมรักเธอ ในอีกทางหนึ่งเธอกำลังรื้อฟื้นความทรงจำจากนักประวัติศาสตร์คนดังผู้เขียนหนังสือ ‘ชาติที่ปราศจากความทรงจำ’คืนหนึ่งเธอประสบเหตุเห็นคนตายสองครั้งในคืนเดียว คนหนึ่งเป็นชาวบ้าที่โดนรถชน อีกคนเป็นนายพลที่งัดข้อกับประธานาธิบดี หลังจากคืนนั้น แม้จะยังจำตัวเองไม่ได้แต่เธอรู้สึกว่าคาวเลือดมอบกำลังวังชาให้กับเธอ ในที่สุดเธอกลายเป็น ‘คนกระหายเลือด’ และไปเข้าแกงค์ปาร์ตี้กับคนกระหายเลือดคนอื่นๆ ในโรงเชือดหมูที่จะได้ดูการชำแหละพร้อมดื่มเลือดสดใหม่ไปด้วย 

และยังมีนายทหารหนุ่มที่หลบหนีการตามล่า เขาเคยรับใช้ชาติ แต่ไม่อาจทนประธานาธิบดีครึ่งดีครึ่งบ้าคนนี้ได้ เขาหนีไปเป็นกองกำลังต่อต้าน ได้รับคำสั่งให้ติดตามและสังหารประธานาธิบดีแต่มันทำได้ยากยิ่ง เพราะตาของเขากำลังจะบอดทีละน้อย

และนี่คือช่วงเวลาสุดท้ายท่ามกลางความมืดแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก่อนที่ประธานาธิบดีจะมีแผนทำลายกองกำลังต่อต้านแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือผู้บริสุทธิ์แล้วจะโยนความผิดให้กับไข้เพชฌฆาตทมิฬ การดิ้นรน ความสิ้นหวัง และความทุกข์เศร้าในโลกที่ไม่มีแสงตะวันหลงเหลืออีกแล้ว

THE HALT คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของลาฟ ดิอาซ (Lav Diaz) คนทำหนังจากฟิลิปปินส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความยาว (หนังของเขามีความยาวเฉลี่ยต่อเรื่องที่ 4-8 ชั่วโมง) ความขาวดำ (ในบรรดาหนังยุคหลังจากการหันมาทำหนังยาวๆ ของเขามีหนังสีเพียงเรื่องเดียวคือ Norte: end of History) และนิ่งช้า (หนังของเขามักลากซีนยาวๆ ของตัวละคร) THE HALT อาจดูเหมือนหนังเก่าๆ ของเขา เพราะมันเป็นหนังขาวดำ ยาวสี่ชั่วโมงครึ่ง ถมเต็มไปด้วยความมืด ทั้งในความหมายของความมืดสีดำสนิทในยามกลางคืน และความมืดดำในจิตใจของผู้คนที่สิ้นหวัง ภาพยนตร์ของลาฟ มักประกอบขึ้นจากองค์ประกอบพื้นฐานของอารมณ์สองชนิดคือความโกรธแค้น และความสิ้นหวัง เรื่องราวของเขามักย้อนกลับไปรำลึกความเป็นชาติอันผุๆ พังๆ ของฟิลิปปินส์ อาการหลงๆ ลืมๆ ประวัติศาสตร์บาดแผลของประเทศตนเอง ความสูญเสียของคนเล็กคนน้อยที่ถูกทั้งการเมืองและชะตากรรมเล่นงาน กับความสำนึกบาปจอมปลอมของปัญญาชน คนชั้นกลางที่พบว่านอกจากจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ยังต้องถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปอีกต่างหาก 

เราอาจจะอธิบายหนังเรื่องนี้ได้ด้วยกรอบเดิมๆ เหล่านี้ (หนังยาว ขาวดำ มืดมน ทุกข์เศร้า) แต่คราวนี้รสชาติของมันกลับต่างออกไป เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาทำหนังไซไฟ ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องเล่าและเหตุการณ์ต่างๆ ฉากแต่ละฉาก สั้นกระชับลงอย่างเห็นได้ชัด หนังดำเนินเรื่องในเมืองใหญ่มากกว่าในป่าเขาชนบท และนี่คือหนังที่ห่มคลุมด้วยความโกรธมากกว่าความสิ้นหวัง 

เมื่อครั้งที่เขามาฉายหนังสามเรื่องล่าสุดในกรุงเทพ เขาให้สัมภาษณ์ตอน Q&A ว่า สำหรับเขาตอนนี้นั้นเป็นเหมือนสถานการณ์ฉุกเฉินของศิลปินที่ต้องทำงานศิลปะ ซึ่งแน่นอนว่าเขาหมายถึงประเทศของเขาหลังการขึ้นมามีอำนาจของประธานาธิบดี ดูแตร์เต ประธานาธิบดีอนุรักษ์นิยมขวาจัด ที่ประกาศสงครามยาเสพติดจนทำให้มีการฆ่ากันตามถนนอย่างบ้าคลั่ง ปกครองแบบใช้อำนาจสุดขั้ว แต่เป็นที่รักชื่นชมของชาวบ้านอนุรักษ์นิยมจำนวนมากเพราะได้สังคมสงบฉับพลันที่ต้องการกลับคืนมา เขามองว่าสำหรับศิลปินทุกคนนี่คือเวลาที่คุณต้องพูดออกมา ถ้าคุณไม่ได้ทำศิลปะ คุณมีเพื่อนบ้าน คุณก็ต้องคุยกับเขา  ถ้าคุณทำงานศิลปะได้ คุณก็ต้องแสดงออกมา ทำ วิพากษ์วิจารณ์สังคมในรูปแบบที่คุณทำได้ และนี่คือวิธีการของเขา 

หนังเป็นเหมือนฝาแฝดของ Season of The Devil หนังเรื่องก่อนหน้าที่พูดเรื่องการต่อสู้และถูกทำลายล้างโดยผู้นำเผด็จการ หนังแทบจะยกนักแสดงกลุ่มเดิมมาใช้และมีโครงสร้างบทที่คล้ายคลึงกันมาก  Season of The Devil เล่าเรื่องของกวีที่เดินทางเข้าไปในเมืองเล็กๆ เพื่อตามหาคนรักที่สูญหาย เมืองถูกปกครองด้วยกองทหารบ้าเลือดที่พร้อมจะทำลายคนที่เห็นต่างอย่างไม่สนผิดถูก ที่นั่นเขาพบหญิงบ้า นักต่อต้าน และถูกกำจัดทิ้งจากกองทหารของเผด็จการที่มีสองหน้า (สองหน้าจริงๆ คือมีอีกใบหน้าปะติดอยู่อีกด้านของศีรษะ) หนังห่มคลุมไปด้วยความโกรธและความสิ้นหวังในชนบทห่างไกล

The Halt ดำเนินเหตุการณ์ในเมือง เปลี่ยนจากกวีเป็นนายทหารที่กำลังตาบอด คนรักของเขากลายเป็นครูสาวโสเภณี หญิงบ้ากลายเป็นปัญญาชนนักเขียนประวัติศาสตร์ความทรงจำ นักต่อต้านกลายเป็นขบวนการใต้ดิน หากเผด็จการยังคงเป็นเผด็จการ!

สถานการณ์ในหนัง ในอนาคตของฟิลิปปินส์ สามารถย้อนกลับมาแว้งกัดหลายๆ ประเทศละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง และอาจจะอีกหลายต่อหลายประเทศในยุคโลกหันขวา ผู้คนพร้อมจะทำลายล้างคนเห็นต่างทางการเมืองเพื่อดำรงสถานะของตนไว้ ประเทศที่กลบฝัง หลงลืมความทรงจำถึงประวัติศาสตร์บาดแผลที่กระทำต่อผู้คนในเผด็จการครั้งที่แล้ว และครั้งก่อนหน้า เมื่อไม่เรียนรู้อดีตก็ไม่รู้อนาคต ส่วนปัจจุบันคือความอดทน การซึมเศร้า และการล่องลอยไม่รู้ทิศทางในโลกที่ต่อต้านไม่ได้ ยอมรับก็ไม่ถูกต้อง

ตัวละครฝั่งของ ‘ประชาชน’ จึงประกอบขึ้นจาก ปัญญาชนที่ป่วยซึมเศร้าถึงขนาดอยากฆ่าตัวตาย มือสังหารที่กำลังตาบอดทีละน้อย และครูที่จำอะไรไม่ได้ ผู้คนที่ป่วยไข้ปวดเจ็บสูญเสียทั้งจากภัยพิบัติธรรมชาติอย่างไข้เพชฌฆาตทมิฬ และจากการกดขี่โดยรัฐ กลุ่มประชาชนอ่อนแอเหล่านี้ ดิ้นรนตามมีตามเกิดเพื่อที่จะจำให้ได้ว่าอะไรเคยเกิดขึ้น พยายามที่จะมีชีวิตในโลกที่สิ้นหวัง หรือพยายามเปลี่ยนแปลงบางอย่างก่อนที่จะทำไม่ได้อีก แต่ในที่สุดไม่มีใครเลยสักคนที่ประสบความสำเร็จ ดังเช่นชื่ออังกฤษของหนังที่แปลว่า การหยุดชะงัก ความง่อยเปลี้ยเสียขา — ราวกับโรคแห่งเผด็จการได้แทรกซึมไปแสดงอาการกระทั่งในผู้ต่อต้านของเขาด้วย

คนที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องนี้คือโสเภณีไร้ความทรงจำ หนังเล่าเรื่องเธอในฐานะคนที่ไม่ต่อต้านอะไรเลย เพราะเธอไม่มีความทรงจำใดๆ หลงเหลือทั้งสิ้น (หนังแย้มพรายเล็กๆ ว่าการสูญเสียความทรงจำทั้งในฐานะเรื่องชีวิตของตัวเองและของประเทศชาติ นั้นเป็นผลข้างเคียงจากการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดสุดขีดจากการสูญเสียครอบครัวให้กับไข้เพชฌฆาตทมิฬ ที่ทำให้สมองกดการจดจำปิดกั้นทุกการรับรู้) หนังฉายภาพเธอที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตน ทั้งจากการผ่านการพบกับนักประวัติศาสตร์หญิง และการขายเรือนร่างของตน แต่ในความไม่จำนั้นเองเธอปะทะเข้ากับความตายสองชนิด ความตายอันน่าเวทนาของคนธรรมดาที่เป็นไปอย่างธรรมดา คือถูกรถชนตาย เธอเก็บกระเป๋าเงินของเขามาโดยไม่มีเหตุผล กับความตายของศัตรูทางการเมืองที่ถูกทหารบุกไปสังหาร ความตายปลุกให้เธอฟื้นตื่น ความตายมอบกำลังวังชาให้กับเธอ ความรุนแรงทำให้เธอมีชีวิต เธอรู้สึกว่าก้าวไปสู่ความถูกต้องใหม่ คุณธรรมชนิดใหม่ ความเปรียบเปรยอาการกระหายเลือดจนต้องเข้าโรงเชือดของเธอ จึงเป็นการอธิบายพยาธิสภาพของคนไร้ความทรงจำที่พยายามผูกโยงตัวเองเข้ากับอุดมการณ์บางอย่าง ในที่นี้อาจหมายถึงการฆ่าคนที่ถูกวาดภาพให้ชั่วร้ายเพื่อธำรงไว้ซึ่งสังคมแบบบอนุรักษ์นิยมที่ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นความดีงามถูกต้อง 

ตัวละครของเธอ ความกลวงเปล่าภายในตัวละครของเธอ จึงเป็นภาพเปรียบเปรยที่รุนแรงต่อบรรดาผู้คนที่เชื่อ ยอมรับ สนับสนุน การปกครองแบบกระหายเลือดของเผด็จการนี้ 

ปัญหาและความน่าสนใจของหนังถูกโยกย้ายมายังตัวละครที่เคยเป็นเพียงแค่ภาพจำลองระยะไกลอย่างตัวเผด็จการเอง ในหนังเรื่องนี้ หนังให้เวลากับตัวประธานาธิบดีเนอร์วานาอาจจะยาวนานกว่าบรรดาผู้ต่อต้านของเขาด้วยซ้ำ หนังฉายภาพของคนครึ่งดีครึ่งบ้า และในทางหนึ่งหนังใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปในตัวของเขา ทั้งความรักชอบเพศเดียวกัน ไปจนถึงการถูกหลอกหลอนโดยอาการหูแว่วได้ยินเสียงมารดาคอยสั่งการ มารดาที่ตอนนี้เป็นหญิงบ้าในโรงพยาบาลบ้า เมื่อไรที่เขาได้ยินเสียงเหล่านี้ เขาต้องเปิดเพลงเฮฟวี่เมทัลเพื่อกลบเสียงรบกวนที่ทำลายเขา 

แต่ภายใต้ความเป็นมนุษย์น่าเวทนา หนังไม่ได้ทำให้เขารอดพ้นจากส่ิงที่เขากระทำ เขาคือคนที่ส่งคนไปไล่ฆ่าคนอื่น คนที่วางแผนจะกำจัดคนที่ต่อต้านเขาอย่างไม่ประนีประนอมไม่สนว่าจะต้องทำลายคนบริสุทธิ์ไปมากขนาดไหน หรือคนที่พร้อมจะกำจัดคนที่ไม่ภักดีต่อตนเองทิ้งในทันที เผด็จการก็มีความเป็นมนุษย์ แต่นั่นมันคนละเรื่องกับการกระทำของเขา การตัดสินคนคนหนึ่งในฐานะมนุษย์จึงไม่ได้เกิดจากการที่ต้องทำให้เขาเป็นปีศาจชั่วร้าย 

เรื่องน่าขันคือหนังให้การจบสิ้นของเผด็จการเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำมือของการเปลี่ยนแปลง เผด็จการก็เป็นคนมาถึงจุดหนึ่งเขาเจ็บและตายได้ในฐานะคนคนหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงใดๆ พูดอย่างน่าเวทนาและตรงไปตรงมา ไม่ได้มาจากความตั้งใจมากไปกว่ามาจากอุบัติเหตุทางการเมือง มันจึงน่าขันมากๆ ที่เผด็จการสิ้นสุดและนักต่อต้านลดรูปลงเป็นเพียง NGO เด็กและเยาวชน ทุกส่ิงทุกอย่างช่างไร้เหตุผลและไร้ความหมาย แต่นี่คือคำยั่วล้อที่หนังมีต่อการเปลี่ยนแปลงและการต่อต้านซึ่งแน่นอนว่ายากที่จะถูกใจนักต่อสู้จำนวนมากที่มองว่าหนังเลือกจุดจบที่ออกจะประนีประนอมเกินไป โชคช่วยเกินไป ไปจนถึงเพ้อเจ้อเกินไป

แต่ฉากจบที่น่าตะลึงงันที่สุดของหนังเกิดขึ้นหลังจากนั้น เกิดขึ้นกับเด็กชายยากจนคนหนึ่งและของเหลือใช้จากประวัติศาสตร์ที่กลายมาเป็นเครื่องยังชีพของคนชั้นล่าง และคนตายที่อาจจะไม่ได้ตายหรือตายแล้วฟื้นตื่นคืนสู่ครอบครัวเล็กๆ ที่ยากลำบาก

ในหนังของ Anand Patwardhan ท่ามกลางการต่อสู้ของคนสองศาสนา ถึงที่สุดเขามักจะเลือกสัมภาษณ์​คนจัณฑาลที่อยู่ในและนอกความขัดแย้งนี้ และคำตอบของพวกเขานั้นรุนแรงมากว่า ไม่ว่าศาสนาใดจะชนะถึงที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์โภชน์ผลใดๆ จากเรื่องนี้อยู่ดี เพราะพวกเขาคือคนชั้นล่างสุดของสังคม

ฉากจบของหนังดูเหมือนจะพูดเรื่องเดียวกัน เรื่องของคนที่ไม่ได้เป็นนักปฏิวัติ เพราะลำพังจะมีชีวิตรอดก็ดูจะยากเกินไป สำหรับพวกเขา นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่รัฐได้ดูแลพวกเขาด้วยการมอบวัตถุเหลือใช้มาให้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม เช่นกันกับคนที่ถูกเวทนาโดยคนชั้นกลางนั้นอันที่จริงเป็นคนธรรมดาที่มีชีวิตของพวกเขาเองในที่ที่ความเวทนานั้นไร้ประโยชน์ 

นี่อาจไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดของลาฟ แต่นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจอย่างย่ิงในหนังของเขา 

Tags: ,