เธอเติบโตมาด้วยความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก —แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ประกอบอาชีพรับจ้างรำหน้าศพเพื่อนำทางวิญญาณไปยังปรโลก เมื่อยังเด็ก เธอกับน้องสาวต้องคอยตะลอนๆ ไปกับแม่ เพื่อเป็นลูกมือให้ และตลอดเวลา แม่ไม่เคยอยู่บ้าน เอาแต่อยู่ข้างนอกกับพวกเพื่อนผู้หญิงมากหน้าหลายตา เธอเติบโตมาเช่นนั้น
จนปัจจุบัน เธอมีลูกสาว ย้ายกลับมาอยู่กับแม่ แต่นอกจากอาหารที่แม่ทำทิ้งไว้ให้ในแต่ละวัน เธอก็ไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดกับแม่มากไปกว่านั้น เธอคิดว่าแม่เกลียดเธอ และตอนนี้เธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาทำหนังสารคดี ว่าด้วยเรื่องของแม่ ซึ่งตัดผมสั้น สวมกางเกง สูบบุหรี่จัด และไร้สุข แม่ที่ชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิต แต่ต้องแต่งงานกับผีพนันอารมณ์ร้าย และต้องระหกระเหินเลี้ยงลูกสาวสองคนมาโดยลำพัง ใช้ชีวิตขื่นขมที่ตัวเองไม่ได้เลือก
หนังติดตามกิจวัตรประจำวันในบ้านของแม่ลูก แอบติดตามแม่ออกไปตามท้องถนน ไปอยู่กับบรรดาเพื่อนสาวของแม่ หนังตัดสลับกับโฮมวิดีโอครอบครัวเท่าที่หาได้ ติดตามแม่กลับไปยังบ้านเกิด ไปพูดคุยกับญาติพี่น้องของแม่ ในเรื่องที่ทุกคนรู้ดีแต่ไม่มีใครพูดออกมา ยิ่งเมื่อถูกถามตรงไปตรงมา ทุกคนต่างพากันตัดบทราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง ครั้นยิ่งเมื่อเธอตามไปสัมภาษณ์บรรดาเพื่อนสาวของแม่ ความจริงหลายอย่างก็ยิ่งชวนให้ใจสลาย ขณะเดียวกัน ลูกสาวซึ่งเป็นผู้กำกับพยายามจะสัมภาษณ์แม่ถึงชีวิตในหนหลัง แม่ที่ปิดปากเงียบ เล่าเท่าที่ตัวเองจะเล่าได้เท่านั้น
นี่คือสารคดีส่วนบุคคลที่ตรงไปตรงมาและเจ็บปวด ถ่ายทำอย่างง่ายๆ แต่นี่คือตัวแทนของประเทศไต้หวันในการส่งชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนต์ต่างประเทศในปีที่ผ่านมา
ภายใต้ความเป็นหนังส่วนตัว ภายใต้ความตั้งใจเบื้องต้นที่จะทำหนังเพื่อค้นหาว่าทำไมแม่ไม่เคยรักเธอเลย เพื่อจะชดเชยความสูญเสียของการเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว ความพยายามเข้าใจคนที่ชิดใกล้ที่สุดแต่ห่างไกลที่สุด และการเปิดเผยบาดแผลส่วนบุคคลนี้ ได้ชี้ให้เห็นประเด็นที่ไปไกลกว่านั้นมาก
ดังเช่นประโยคคลาสสิกว่า political is personal. (มีการเมืองอยู่ในทุกเรื่องส่วนตัว) ในทางกลับกัน หนังส่วนตัวนี้ก็ได้เปิดเผยว่ามันมีความเป็นการเมืองควบคุมอยู่อย่างไรบ้าง
หนังค่อยๆ คลี่เผยอคติที่มีต่อรักร่วมเพศในสังคมไต้หวัน ด้วยการตามแม่กลับบ้านไปหายาย (ที่จริงเป็นน้องสาวของยายอีกทีหนึ่ง) หนังสัมภาษณ์ทั้งยาย และบรรดาลุงป้าถึงเรื่องของแม่ ว่าทุกคนรู้หรือเปล่าว่าแม่ชอบผู้หญิง ชอบมาตั้งแต่ยังสาว และนั่นเอง มันค่อยๆ เปิดเผยอาชญากรรมของการวางเฉย เพราะทุกคนรู้ แต่ปฏิเสธว่าไม่รู้ เลือกที่จะไม่เชื่อ ตัดบทเมื่อถูกถาม และเมื่อถามเอาตรงๆ ว่าเสียใจหรือเปล่าที่ทำให้แม่เป็นแบบนี้ ที่คลุมถุงชนให้แม่แต่งงานกับผีพนันชั่วช้า ไม่มีใครสำนึกเสียใจ ราวกับว่าแม่ต่างหากที่ควรสำนึกเสียใจที่เกิดมาวิปริตผิดเพศ
“อดีตมันผ่านไปแล้ว ให้มันเป็นอดีตไปเถอะ” นี่คือสิ่งที่ยายบอกกับกล้อง และนั่นก็เป็นสิ่งที่แม่เก็บงำไว้กับตัว กลายเป็นบาปกรรมที่ต้องยอมรับ แม่เติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดที่ถาโถมในใจ ลูกสองคนยิ่งเป็นสมอที่ถ่วงแม่เอาไว้ อาชญากรรมที่คนอื่นทำ ได้ทำให้แม่ประกอบอาชญากรรมทางใจกับลูกๆ ของแม่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อหนังค่อยๆ เปิดเผยความลับของแม่ และวิธีการที่แม่ใช้รับมือกับชีวิตที่เลือกไม่ได้ เราค่อยๆ ได้เห็นบาดแผลซึ่งลึกลงไป และลุกลามเรื้อรังไปสู่ลูกๆ อีกต่อหนึ่ง
ความงดงามของหนังจึงคือสิ่งนี้ มันคือสารคดีที่สำรวจบาดแผลโดยเปิดเผยให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครขาวสะอาด ไม่มีใครตกเป็นเหยื่อแต่เพียงฝ่ายเดียว ทุกคนที่ถูกกระทำล้วนตอบโต้กลับ ทุกคนเจ็บเสียจนประโยคของยายที่ให้กลบฝังอดีตนั้นดูจะมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอดีตคือบาดแผลของค่านิยมขงจื้อที่ได้ชักลากเอาทุกคนที่มีส่วนร่วมให้มือเปื้อนบาปไปด้วยกัน
แต่โชคดีที่หนังไม่เชื่อยาย หนังจบลงด้วยการเผชิญหน้ากับแม่ และเปิดเผยบาดแผลด้วยการพูดคุยเรื่อยเปื่อยตรงโต๊ะกินข้าว นี่คือฉากไคลแม็กซ์ที่เจ็บปวดในทุกมิติ เพราะนี่เป็นเพียงฉากสามัญในชีวิตจริง หลังจากหนังจบลง เธอกับแม่ก็จะยังต้องนั่งกินข้าวที่โต๊ะตัวเดิมนี้ต่อไป ในขณะเดียวกัน หนังไม่ได้พูดว่านี่คือฉากใหญ่โต ทุกอย่างเลื่อนไหลไปในการพูดคุยรายวัน และที่งดงามที่สุดคือ การกลับไปรื้อฟื้นอดีตไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ไม่มีเรื่องประทับใจที่ถูกซ่อนอยู่ ไม่มีใครคืนดีกันชั่วนิรันดร์ ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครแตกหักกัน ไม่มีใครต้องถูกชี้หน้าสั่งสอน การรื้อฟื้นอดีตนำไปสู่สิ่งเดียวคือการปลดปล่อยตัวเองออกจากประวัติศาสตร์บาดแผลนั้น เพื่อประคับประคองความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชังนั้นต่อไป เธอไม่ได้คืนดีกับแม่ในทันทีที่หนังจบลง แม่ไม่มีทางปลดตัวเองออกจากแอกที่แบกไว้ได้ แต่การเปลือยหัวใจให้กันและกันได้ทำให้ทั้งคู่พอที่จะมีชีวิตอยู่กันไปได้
หนังจึงเลือกจบด้วยฉากเล็กๆ ที่น่ารักมาก เมื่อลูกสาวของผู้กำกับเดินเข้ามาหาเธอแล้วถามว่า “ยายรักหนูหรือเปล่า ถ้ายายไม่รักหนู หนูก็จะไม่รักยายเหมือนกัน” เธอบอกลูกว่า ยายแค่ล้อเล่น ไหนกลับไปถามยายใหม่ เด็กหญิงก็เดินเข้าไปถามว่ายายรักหนูหรือเปล่า หนูรักยายนะ —ยายก็รักหนูเหมือนกัน นั่นคือคำตอบ
เช่นเคย นี่เป็นเพียงโฮมวิดีโอก่อนนอนของชีวิตประจำวัน แต่นี่คือบทสรุปที่งดงามที่สุดของการเจ็บปวดไปด้วยกันโดยไม่สูญเสียกันไป
Fact Box
หนังจะมีฉายครั้งแรกในประเทศไทยพร้อมพูดคุยกับผู้กำกับ จัดโดยสมาคมนักเรียนใต้หวันในประเทศไทยในวันศุกร์ที่ 16 มีนาคมนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมและจองบัตรได้ที่ https://www.facebook.com/events/206502539928682/