“ผมเคยเกลียดโลกใบนี้ และมีความสุขที่ทุกคนตาย… แต่ผมคิดผิด”
แม้พื้นหลังของเรื่องจะเล่าถึงโลกดิสโทเปีย การติดเชื้อ การกลายพันธุ์ นำเสนอภาพวันสิ้นโลกที่ผู้คนต้องดิ้นรน แก่งแย่งและเห็นแก่ตัวเพื่อเอาชีวิตรอด ไปจนถึงความพยายามหาทางรักษาการติดเชื้อ จะเป็นหนึ่งภาพจำสำคัญของเกมและซีรีส์เรื่อง The Last of Us ที่ได้รับความนิยมจากแฟนเกมและคอหนังทั่วโลก
แต่สำหรับ The Last of Us Episode 3 คือการขอให้ผู้ชมลืมเรื่องทั้งหมดที่ว่าไปชั่วคราว แล้วทำความรู้จักบิล (Bill) กับแฟรงก์ (Frank) ที่เผยให้เห็นว่าแม้ในวันบัดซบที่สุด วันที่โกลาหลที่สุด หรือห้วงเวลาที่เปล่าเปลี่ยวหดหู่ที่สุด มนุษย์ก็ยังคงมีความอ่อนโยนและรู้จักรักในบางสิ่งหรือบางคนโดยไม่มีข้อแม้
*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหา The Last Of Us: Episode 3*
*Trigger Warnings การฆ่าตัวตาย*
ความสัมพันธ์สวยงามเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่โลกเลวร้ายที่สุด
ช่วงแรกของ Episode 3 ผู้ชมจะยังคงอยู่กับโจเอล (Joel) และเอลลี่ (Ellie) สองตัวละครหลักของเรื่อง ก่อนอยู่ๆ ซีรีส์จะพาเราย้อนไปยังช่วงแรกของการระบาด ณ เมืองแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ผู้คนที่ฟังคำสั่งกองทัพทยอยขึ้นรถออกจากเมืองไปยังเขตกักกัน ซึ่งสุดท้ายชีวิตของประชาชนเหล่านั้นจบลงด้วยการสังหารหมู่ เพราะกองทัพอาจคิดว่าคงไม่มีวิธีใดป้องกันการติดเชื้อได้ดีเท่ากับทำให้ตาย ก่อนเราจะพบว่ามีชายคนหนึ่งนั่งชิลอยู่ในห้องใต้ดินสองชั้น บิลเป็นคนเดียวในเมืองเล็กๆ ที่ไม่ยอมอพยพตามคำสั่ง… แล้วเมืองร้างทั้งเมืองก็กลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
หลายปีผ่านไปบิลยังคงใช้ชีวิตอยู่ลำพัง แต่ละวันหมดไปกับการฟังเพลง พัฒนาเมืองที่มีแต่เขา เร่งกักตุนเสบียง ทำกับดักและรั้วรอบขอบชิด ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง จนกระทั่งเขาได้พบกับชายหลงทางที่มีชื่อว่าแฟรงก์ ชายมอซอที่เดินเท้าต่อเนื่องหลายวัน ไม่พบเจอใคร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร และเมื่อได้พบกับบิลที่อาวุธครบมือ ซ้ำยังอยู่ในเมืองที่มีรั้วปราการแน่นหนา แฟรงก์จึงขอความเมตตาจากชายที่จ่อปืนมาทางเขา
สุดท้ายความใจดีของบิลที่มีให้คนแปลกหน้า ที่คิดว่าจะแวะเวียนมาชั่วคราวเดี๋ยวก็จากไป กลับปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้ง จากการขอพักเพียง 3 วัน กลับกลายเป็นการอยู่ร่วมกันนาน 16 ปี พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการทะเลาะเบาะแว้ง รู้สึกเศร้าใจ ผิดหวัง มีความสุข และรู้สึกรัก
หากบิลคือความเถรตรงแข็งกระด้าง แฟรงก์คงเปรียบได้กับความสดใส เหมือนกับแสงอาทิตย์ยามสายที่ส่องสว่างทำให้บิลรู้สึกอบอุ่น พวกเขามีบุคลิกที่ตรงข้ามกันสิ้นเชิง บิลคือชายที่ไม่ชอบเข้าสังคม ขณะที่ผู้คนอพยพตามคำสั่งกองทัพ เรากลับเห็นเขานั่งในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยอาวุธปืนทุกรูปแบบเท่าที่จะหาได้ เขาไม่เชื่อใจรัฐบาล ไม่เชื่อใจผู้คน และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้นานหลายปี
ส่วนแฟรงก์เป็นชายอารมณ์ดี ยิ้มง่าย มองโลกในแง่ดี มีงานอดิเรกหลากหลายทั้งวาดรูป ปรับปรุงบ้าน ปลูกพืชผัก และพร้อมสร้างสัมพันธ์ดีๆ กับผู้คน เห็นได้จากการที่เขามีเพื่อนทางวิทยุ ชักชวนเพื่อนที่เคยได้ยินแค่เสียงแต่ไม่เคยพบหน้าให้มาที่เมืองของเขากับบิล ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นบิลหรืออีกหลายๆ คน ในวันที่มีแต่โรคระบาด ไม่มีกฎหมาย ไม่มีตำรวจ ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับ เราคงไม่มีวันชวนใครก็ไม่รู้ให้มาหาถึงที่อย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายบิลก็ยอมให้แฟรงก์ทำสิ่งที่ตัวเองคงไม่มีวันทำ ด้วยเหตุผลง่ายๆ แค่เพราะเขารักแฟรงก์ไปแล้ว
ช่วงแรกเริ่มเราเกิดความรู้สึกว่าทำไมอยู่ๆ ซีรีส์ถึงตัดฉากของโจเอลและเอลลี่ แล้วย้อนมาเล่าชีวิตของบิล แต่การดำเนินเรื่องจะค่อยๆ เฉลยถึงที่มาที่ไปทั้งหมดว่าเพราะอะไรถึงต้องพาผู้ชมย้อนไปดูชีวิตของชายบูดบึ้งผู้ไม่เอาสังคม ที่สุดท้ายจับพลัดจับผลูกลายเป็นเพื่อนของโจเอลและเทส (Tess) มานานหลายปี เพราะเทสคือเพื่อนทางวิทยุที่พูดคุยกับแฟรงก์และแวะเวียนมายังเมืองของบิลอยู่เสมอ
ซีรีส์เผยให้เห็นชีวิตแสนเรียบง่าย พวกเขายินดีกับความสำเร็จในการปลูกต้นสตรอว์เบอร์รีจนออกผล มีวันแย่ๆ ที่ถูกคนนอกบุกรุก แต่พวกเขาก็ยังคงมีกันและกัน
จนกระทั่งเข้าสู่ปี 2020 แฟรงก์ที่สดใส กระฉับกระเฉง เต็มไปด้วยรอยยิ้มคนนั้นจางหายไปตามกาลเวลา เขาเจ็บปวดจากโรคร้ายและอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ปี จากชายหนุ่มที่อยู่ไม่สุข กลายเป็นชายอ่อนแรงนั่งอยู่บนรถเข็น ส่วนบิลจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน และขอให้โจเอลกับเทสช่วยหายารักษาเพื่อประคองอาการของคนรัก
เวลาตัดไปอย่างรวดเร็วอีกครั้งเข้าสู่ปี 2023 ใกล้เคียงกับทามไลน์ปัจจุบันที่โจเอลและเอลลี่กำลังเดินทางมายังเมืองที่ทั้งสองอาศัยอยู่ บิลตื่นขึ้นมาพบกับข่าวร้ายที่ทำให้โลกทั้งใบของเขาหยุดหมุน แฟรงก์ไม่ไหวอีกต่อไป เขายอมแพ้ต่อโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ยอมรับความจริงว่าอีกไม่นานเขาจะต้องตาย และบอกกับบิลว่า “วันนี้คือวันสุดท้ายของผม”
“ผมมีวันแย่ๆ เยอะเลย และเคยมีวันแย่ๆ เพราะคุณ แต่ผมก็มีวันที่ดีกับคุณมากกว่าใคร ขอให้เป็นวันดีๆ อีกวันนะ… เริ่มตอนนี้เลย ทำขนมปังปิ้งให้ผมหน่อย พาผมไปร้านเสื้อผ้า ผมจะเลือกชุดที่ดีที่สุดให้กับเรา คุณจะใส่ชุดที่ผมเลือก เราจะแต่งงานกัน แล้วคุณก็จะทำอาหารเย็นแสนอร่อยให้ผมกิน”
นอกเหนือจากการทำให้วันนี้เป็นวันที่พิเศษที่สุด แฟรงก์ยังได้ร้องขอให้บิลทุบยาที่เขาต้องกินทุกวันให้เป็นผง แล้วละลายเข้ากับไวน์มื้อสุดท้าย จากนั้นให้พาเข้านอนเหมือนทุกวัน แล้วเขาจะจากไปในอ้อมกอดของชายอันเป็นที่รัก
นี่เป็นคำขอสุดท้ายจากคนรัก ที่แฟรงก์หวังว่าบิลจะเข้าใจและยอมทำตามที่เขาต้องการ
บิลยอมทำตามทุกคำขอของแฟรงก์ พวกเขาใช้วันสุดท้ายร่วมกัน เลือกเสื้อผ้า ผลัดกันสวมแหวนแต่งงาน จุมพิตกัน แล้วดื่มด่ำกับดินเนอร์มื้อสุดท้ายด้วยอาหารและเครื่องดื่มแบบเดียวกับที่พวกเขากินข้าวด้วยกันครั้งแรก ก่อนบิลจะหยิบซองยาที่ป่นละเอียดเทใส่แก้วไวน์ของแฟรงก์ ซึ่งแฟรงก์ก็รู้ดีว่าบิลได้ใส่บางอย่างที่ไม่ควรใส่เอาไว้ในขวดไวน์ตั้งแต่แรกแล้ว
ชายแข็งกระด้างที่เคยโดดเดี่ยว วันนี้รู้แล้วว่าหากไม่มีแฟรงก์ ชีวิตของเขาก็ไร้จุดมุ่งหมาย เขารู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตคุ้มแล้ว แก่ชราลงมากแล้ว และอยากจากโลกนี้ไปพร้อมกับคนที่รัก
บิลได้ทิ้งจดหมายฉบับสุดท้ายกับกุญแจรถยนต์ไว้ให้โจเอลที่ไม่รู้ว่าจะแวะเวียนมาเยี่ยมพวกเขาอีกครั้งเมื่อไร
‘ผมเคยเกลียดโลกใบนี้และมีความสุขเวลาทุกคนตาย แต่ผมคิดผิด เพราะมีใครสักคนควรค่าให้ช่วยเหลือ ผมทำแบบนั้น ผมช่วยชีวิตเขา ปกป้องเขา นั่นคือเหตุผลที่โลกมีผู้ชายอย่างคุณและผม พวกเรามีหน้าที่ต้องทำ’
ภาพสุดท้ายที่ฉายผ่านหน้าต่างห้องที่บิลกับแฟรงก์นอนหลับข้างกันตลอดกาล เคล้ากับเสียงเพลง Long Long Time จากปี 1970 ของลินดา รอนสตัดต์ (Linda Ronstadt) ถือเป็นฉากเปิด Episode 3 ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
แม้ไม่ถอดแบบจากเกมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การ ‘ดัดแปลง’ นี้ควรค่าแก่การชื่นชม
หากอิงตามเวอร์ชันเกม เราจะรู้เรื่องราวชีวิตของบิลแค่ผิวเผินเท่านั้น เขาเป็นชายบูดบึ้งที่มักโต้คารมกับเอลลี่ สลับกันพ่นคำด่าหยาบคายใส่กัน และรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแฟรงก์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะผู้เล่นจะพบเขาในสภาพที่ร่างถูกแขวนคอห้อยอยู่กลางบ้าน พร้อมจดหมายลาตายที่บอกว่าเขาทุกข์ทนกับการตัดสินใจของบิล และเหนื่อยที่จะอยู่กับเขา
ข้อความในจดหมายฉบับสุดท้ายเผยให้เห็นว่าแฟรงก์ถูกผู้ติดเชื้อกัด เลยเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกเชื้อราควบคุมสมอง
นอกจากนี้ บรรยากาศในเมืองของบิลเวอร์ชันซีรีส์ก็แทบไม่มีอะไรเหมือนกับเวอร์ชันเกมเลย ถิ่นของบิลในเกมคล้ายกับพื้นที่รกร้างในละแวกอื่น ไม่ได้สะอาดสะอ้านหรือมีรั้วรอบขอบชิดเหมือนกับในซีรีส์ ซ้ำยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากเดินอยู่รอบเมือง ส่วนบิลในเกมก็จะเป็นชายเข้มงวด หวาดระแวง และไม่ยอมให้สิ่งที่โจเอลต้องการง่ายๆ แตกต่างกับเวอร์ชันซีรีส์ที่เขาเขียนจดหมายบอกโจเอลว่าให้เอาทุกอย่างที่อยากได้ เพื่อใช้ปกป้องเทสและกำจัดทุกคนที่ขวางทาง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าผู้เล่นจะรู้จักเขาแค่ผิวเผิน แต่ทำไมเรื่องราวของบิลในเวอร์ชันซีรีส์ถึงถูกขยายให้ลึกขึ้น มีมิติมากขึ้น และตราตรึงผู้ชมส่วนใหญ่ด้วยเรื่องราวโรแมนติกดราม่าในเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงของ Episode 3
นีล ดรัคแมน (Neil Druckmann) โปรแกรมเมอร์ นักออกแบบ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ และประธานร่วมของผู้พัฒนาวิดีโอเกม Naughty Dog และเคร็ก มาซิน (Craig Mazin) ที่โด่งดังจากการเขียนบทและกำกับซีรีส์เรื่อง Chernobyl (Episode 5) และเป็นหนึ่งในผู้สร้างเกม The Last of Us อธิบายถึงการให้ความสำคัญกับตัวละครบิลและแฟรงก์ให้สื่อหลายสำนักได้เข้าใจเหตุผลมากขึ้น
เพราะนีลต้องการใช้สื่อโทรทัศน์ในการสำรวจตัวละครในเกมให้กว้างขึ้น เล่าในบางสิ่งที่เกมยังทำไม่ได้ แต่ซีรีส์ทำได้
“ข้อดีของซีรีส์คือเราสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองที่เราอยากนำเสนอโดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับฮีโร่ทั้งสองคน (โจเอลและเอลลี่) ไปตลอดการเดินทาง เราไม่จำเป็นต้องนำเสนอเรื่องราวในเวลาและสถานที่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการผจญภัยของกลุ่มตัวเอก แต่เราสามารถกระโดดข้ามเวลาได้นิดหน่อย และมีโอกาสเล่าบางสิ่งมากขึ้น
“เมื่อเคร็กเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้ผมฟัง ว่าเราสามารถพัฒนาตัวละครเดิมที่มีอยู่ให้ลึกซึ้งขึ้นได้ ผมก็ยินดีที่จะเห็นว่าตัวละครบางตัวที่เราสร้างนั้นแตกต่าง อาจต่างจากเดิมมากถึง 180 องศา แต่มันจะเต็มไปด้วยความสวยงาม วูบไหว และได้ขยายการเชื่อมความคิดและทัศนคติของบิลกับแฟรงก์เข้ากับโจเอลและเอลลี่ ซึ่งผมรู้สึกสบายใจมากที่จะพูดว่า ‘เอาล่ะ นี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก เริ่มลุยกันเลย’”
ส่วน เคร็ก มาซิน แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่าการปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของบิลและแฟรงก์ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลกับเอลลี่อย่างแน่นอน ความตายของพวกเขาจะทิ้งบางอย่างไว้ให้กับโจเอล เพื่อให้เขากลับมามองตัวเองแล้วก้าวต่อไป
เสียงวิจารณ์เชิงลบกับความสัมพันธ์ของบิลและแฟรงก์
“ดูไม่จบ น่าขนลุกมาก”
“จะอ้วกกับพวกสายเหลือง”
“ไหนฉากโจห้อยหัวสู้ซอมบี้ ไหนฉากเอลลี่ด่ากับบิล”
“บิดเนื้อเรื่องแบบไม่เคารพต้นฉบับ แถมยัง woke อีก”
ถึงผู้สร้างเกมและซีรีส์จะยืนยันว่าพวกเขาตั้งใจเล่าเรื่อง Episode 3 ให้เป็นไปอย่างที่ผู้ชมส่วนใหญ่ได้รับชมกันแล้ว แต่เสียงวิจารณ์ก็แตกเป็นสองฝั่งทันที คือฝั่งที่ชื่นชอบแม้เรื่องราวจะไม่ได้ถอดแบบมาจากเกมร้อยเปอร์เซ็นต์ กับฝั่งที่ไม่พอใจในการบิดเนื้อเรื่องให้แตกต่างจากเกม ไปจนถึงท่าทีการเกลียดกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน (Homophobia) ที่เห็นได้จากคอมเมนต์จำนวนหนึ่งทั้งในไทยและต่างประเทศ
ความคิดเห็นบางส่วนมองว่าบิลกับแฟรงก์ในเวอร์ชันเกมอาจไม่ได้รักกัน และไม่ปักใจเชื่อว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง จึงประณาม Episode 3 ว่ายัดเยียดเรื่องความหลากหลายทางเพศเกินไป ดูแล้วไม่รู้สึกอินเพราะไม่เชื่อว่าพวกเขารักกันตั้งแต่แรก
แม้เรื่องรสนิยมทางเพศของบิลกับแฟรงก์ในเวอร์ชันเกมไม่ถูกเผยอย่างชัดเจน แต่ก็ซ่อนนัยบางอย่างเอาไว้ในจดหมายสุดท้ายก่อนแฟรงก์ตัดสินใจแขวนคอ พวกเขาเป็นคู่หูที่อยู่ด้วยกัน มีทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่รสนิยมทางเพศก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก จนกระทั่งเอลลี่พบนิตยสารโป๊ผู้ชายในรถยนต์ของบิล และเอ่ยปากว่ามีหน้าหนึ่งที่เหมือนเลอะอะไรบางอย่างจนทำให้กระดาษติดกันจนแกะไม่ออก
บทความหลายชิ้นจากเว็บไซต์ต่างประเทศมองตรงกันว่าผู้สร้างเกม The Last of Us วางบิลให้เป็นตัวละคร LGBTQ+ ตั้งแต่แรก เพราะการปรากฏตัวของบิลเหมือนเป็นการปูไปยัง The Last of Us: Part II ที่สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโลกหลังมีผู้ติดเชื้อ และมีส่วนทำให้เอลลี่ยอมเปิดใจเล่าเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองภายหลัง โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เสริมเส้นเรื่องหลักไปในตัว
หากมองว่าการมีตัวละคร LGBTQ+ ในสื่อบันเทิงทั้งเกม ซีรีส์ ภาพยนตร์ เป็นการยัดเยียดหรือสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเอาใจคนบางกลุ่ม ในแง่นี้อาจสะท้อนความคิดของผู้พูดที่มองว่าความหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งไกลตัว เป็นแฟนตาซี หรือไม่มีอยู่จริง ทว่าในความเป็นจริง ทุกสังคมย่อมปะปนไปด้วยผู้คนหลากหลาย มีทั้งเพศหญิง เพศชาย ผู้คนที่ไม่ได้นิยามเพศให้ตัวเอง คนข้ามเพศ หรือคนรักเพศเดียวกัน ฯลฯ ผู้สร้างเกมและซีรีส์เรื่องนี้จึงอาจมองความหลากหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในสังคม และไม่ได้มองว่าการที่จะมีตัวละคร LGBTQ+ ในซีรีส์จะต้องทำเพราะเอาใจใครเสมอไป
ส่วนประเด็นไม่เคารพต้นฉบับ ฝ่ายที่พอใจกับเรื่องราวของซีรีส์ใน Episode 3 มองว่ายอมรับได้ เพราะผู้สร้างเกมกับซีรีส์ก็เป็นคนเดียวกัน ซ้ำยังเล่าเรื่องออกมาได้กลมกล่อม ลึกซึ้ง กินใจ และไม่ลืมปูไปยังเหตุผลที่โจเอลได้รถยนต์กับตุนเสบียงพร้อมเดินทางต่อ
แม้เส้นเรื่องจะไม่เหมือนกับในเกม ไม่มีฉากที่เอลลี่ได้พบกับบิล แต่ชีวิตของบิลกับแฟรงก์ในเวอร์ชันซีรีส์ก็เปรียบเสมือน what if เป็นลูกเล่นที่สร้างความแตกต่าง และไม่ก้าวตามเกมจนผู้ที่เคยเล่นเกมมาก่อนเดาทางได้ไปเสียหมด แถมเรื่องราวของพวกเขายังตรงกับชื่อเรื่อง ‘The Last of Us’ แบบไร้ที่ติ
หลัง The Last of Us Episode 3 ออกอากาศ ผู้ชม สื่อ และนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่าเล่าเรื่องได้ดีมาก เห็นได้จากรีวิวในเว็บไซต์ IMDb ที่มีคะแนนเต็ม 10 มากถึง 52.9% ก่อนจะถูกกลุ่มคนที่ไม่พอใจกับการบิดเนื้อเรื่องจากเกมหรือไม่พอใจเกี่ยวกับประเด็นทางเพศในตอนดังกล่าว แห่กันให้คะแนน 1 ดาว ประมาณ 25.7% และมีคอมเมนต์ว่าตนถูกหลอกให้ดูเรื่องราวในตอนที่ 3
อย่างไรก็ตาม การถล่มรีวิว 1 ดาวของคนบางกลุ่ม ไม่ได้ทำให้กระแสความนิยมของ The Last of Us ลดลง เพราะมีรายงานว่ามีผู้เข้าชม Episode 3 มากกว่า 6.4 ล้านคนไปแล้ว จากเดิมที่ Episode 2 เคยทำไว้ได้ที่ 5.7 ล้านคน เพิ่มจากเดิมมากถึง 12% ตอกย้ำว่าผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเฝ้าดูการผจญภัยในโลกดิสโทเปียนี้ต่อไป และไม่ติดใจอะไรกับการดัดแปลงเนื้อหาให้แตกต่างจากเวอร์ชันเกม
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2023/01/29/entertainment/the-last-of-us-episode-3-review/index.html
https://screenrant.com/is-nick-offerman-gay-last-of-us-bill/
https://screenrant.com/last-of-us-episode-3-bill-frank-change-why/
https://screenrant.com/last-of-us-episode-3-focus-changed-why/
Tags: Gay, Game, เกม, HBO, LGBTQ, Screen and Sound, Entertainment, Series, The Last of Us, Gender, เดอะลาสต์ออฟอัส, ซีรีส์, Naughty Dog