เจเรมี อัลเลน ไวต์ เพิ่งจะได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำ สาขาซีรีส์มิวสิคัลหรือคอมเมดีหลังจากเข้าชิงเป็นครั้งแรกจากบท คาร์มี ใน The Bear (2022)
ถึงจะเข้าชิงในสายซีรีส์มิวสิคัลหรือคอมเมดีแต่ใครก็ตามที่เคยดู The Bear -ซีรีส์ความยาวแปดตอนจบซึ่งเวลานี้สตรีมมิงทางช่อง Disney+ Hotstar- คงรู้ซึ้งถึงทรวงในดีว่า ตัวซีรีส์และบทคาร์มีนั้นเดือดดาลแค่ไหน
เนื้อเรื่อง The Bear ว่าด้วย คาร์มี (ไวต์) เชฟหนุ่มอนาคตไกลที่หวนกลับมายังชิคาโกเพื่อสานต่อร้านอาหารเก่าๆ ของพี่ชายผู้เลือกจบชีวิตตัวเองจากไป นับตั้งแต่นั้นเขาก็ผลาญชีวิตที่เหลือตั้งแต่เช้าจรดค่ำไปกับนรกในนามของห้องครัว และสารพัดอุปสรรค ทั้งต้องบริหารการเงินอันแสนติดขัด, รับมือกับคนครัวที่ดูไม่ค่อยไว้ใจเขา ไปจนต่อยตี (จริงๆ!) กับผู้จัดการที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาหลายปี ตลอดทั้งเรื่อง หากคาร์มีไม่นั่งเครียดหัวกะโหลกแทบแตกเพราะต้องบริหารร้าน เขา (และคนอื่นๆ ในห้องครัว) ก็มักลงเอยด้วยการระเบิดอารมณ์จนเส้นเลือดในสมองจะแตก (พิสูจน์ความเดือดสุดขีดคลั่งได้ในเอพิโซดที่ 7 ที่เหมือนรวมฝันร้ายของคนทำครัวไว้ในลองเทคยาว 20 นาทีเต็ม)
ไม่เกินเลยหากเราจะบอกว่า The Bear คือซีรีส์แจ้งเกิดไวต์ในวงกว้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีผลงานสร้างชื่อมาแล้วจากซีรีส์ Shameless (2011–2021) เพียงแต่บทคาร์มีนั้นส่งเขาไปไกลกว่าที่เคยเป็นมาก พ่อครัวหนุ่มหน้าตายับเยินที่ต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่อจัดเตรียมวัตถุดิบทำอาหารในเมืองที่เขาแทบไม่เคยรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวด้วย พยายามพาตัวเองออกห่างจากความสงสัยที่ว่าเหตุใดพี่ชายจึงจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว รวมทั้งการลากถูสังขารทำงานในครัวเพื่อจะได้เหนื่อยแทบสิ้นชีวิตและล้มหลับลงบนโซฟาสีตุ่นตัวเก่าในห้องพักโทรมๆ
ต้นธารเริ่มมาจากการที่ไวต์กำลังถ่ายทำเรื่อง The Rental (2020) หนังทริลเลอร์ชวนสยองของ เดฟ ฟรันโก ซึ่งได้ คริส สโตเรอร์ โปรดิวซ์ให้ และช่วงพักกองนั่นเองที่ไวต์พบว่าสโตเรอร์มักเล่าถึงสคริปต์ซีรีส์ที่กำลังปั้นอยู่ “ตอนนั้นผมกำลังถ่ายทำเรื่อง Shameless เป็นซีซันสุดท้าย และไม่แน่ใจว่าอยากแสดงซีรีส์อีกเรื่องไหม แต่ผมชอบคริสมากๆ และฟังจากสคริปต์ที่เขาเล่าแล้วก็น่าสนใจดี ก็เลยไปค้นคว้าหาข้อมูลมาด้วยการไปอ่านหนังสือของ มาร์โก ปิแอร์ ไวต์ (เชฟชาวอังกฤษ) อ่านเรื่อง Kitchen Confidential ของ อันโตนี เบอร์เดน (เชฟชาวอเมริกัน) และหลงใหลโลกของการทำอาหารอามากๆ” ไวต์เล่า “ยิ่งกับตัวละครคาร์มีในสคริปต์ ตัวตนของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับหน้าที่การงานในฐานะเชฟ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเขาประสบความสำเร็จกับหน้าที่นี้หรือไม่ เหมือนว่าถ้าเขาล้มเหลว ผมรู้สึกว่าคาร์มีคงเหมือนกำลังจะตาย หรือถ้าเขาไปได้สวย คาร์มีคงเหมือนเป็นผู้คว้าชัยอะไรสักอย่าง มันเลยเหมือนเป็นวิธีที่ดีในการทำให้เรารู้จักตัวละคร“
ก่อนหน้าเปิดกล้องถ่ายทำ ไวต์ต้องไปเรียนการทำครัวเพื่อมาสวมบทบาทเป็นเชฟ Institute of Culinary Education -สถาบันสอนทำอาหารชั้นนำของโลก- ที่แพซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนียและทำงานกับหัวหน้าเชฟตัวจริงในนิวยอร์กอยู่สามเดือน รวมทั้งเรียนการใช้มีดแบบตัวต่อตัวตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์อยู่นับสัปดาห์ “สิ่งแรกที่ผมทำตอนโผล่เข้าไปคือขอโทษคนในครัวก่อนเลยสำหรับความยุ่งยากที่ผมจะสร้างขึ้นหลังจากนั้น ผมชัดเจนมาก แม้แทบทุกคนในนั้นจะไม่รู้จักผมเลยก็ตาม” ไวต์บอก “ผมบอกพวกเขาว่า ‘ผมไม่ได้มาแสดง ไม่ได้เป็นเชฟ ทำอาหารไม่ได้ ผมมาเรียนรู้ และขอโทษด้วยครับหากว่าทำอะไรโง่เง่าลงไป’ และในฐานะผู้มาเยือน ผมสวมหน้ากากและหมวกเบสบอลอยู่ตลอดเลย
“พูดก็พูดนะ ทุกร้านอาหารคือปาฏิหาริย์ มันมีปัญหาดาหน้าเข้ามาให้คุณแก้ไขอยู่เรื่อยๆ และแทบไม่มีอะไรไปได้สวยเลย การแข่งขันยังสูงลิ่วอีกต่างหาก โดยเฉพาะในเมืองอย่างนิวยอร์ก, แอลเอ และชิคาโก ร้านอาหารส่วนใหญ่มีคนแน่นอยู่ตลอดเวลาซึ่งสำหรับผมแล้วดูเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก อย่างร้านบัลธาร์ซาร์ (Balthazar – ร้านอาหารในนิวยอร์ค) ที่แทบไม่น่าเชื่อเลยนะว่าพวกเขาก็ทำอาหารเมนูเดิมๆ มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่คนก็ยังต่อแถวเข้ามากินอยู่เรื่อยๆ คนกลับมาหาบรรยากาศที่พวกเขาคุ้นเคย และสำหรับผมแล้ว นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้สถานที่เหล่านี้พิเศษขึ้นมา” (อย่างไรก็ดี ไวต์บอกว่าถึงเวลานี้ ทักษะการทำอาหารของเขาอยู่ในขั้นไม่เลวร้ายรัก “ผมเก่งในเรื่องที่ว่า ‘ทำเป็นเก่ง’ น่ะ” กับอีกอย่างที่กลายมาเป็นนิสัยส่วนตัวเขาอยู่ช่วงหนึ่งคือติดคำพูดว่า “Heard” หรือ “รับทราบ” แบบที่เชฟใช้เวลาสนทนาในห้องครัว)
การแสดงเป็นเชฟ -ที่หมายถึงการเรียนรู้วิธีจับมีด เข้าใจอุปกรณ์การครัวและชีวิตในร้านอาหาร- ว่ายากแล้ว แต่การเป็นเชฟที่แบกสภาพจิตใจสะบักสะบอม ถูไถชีวิตไปตั้งแต่เช้ายันค่ำ ยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปอีก แต่ไวต์ก็รีดเค้นจนสร้างคาร์มีให้มีเลือดมีเนื้อและคว้ารางวัลใหญ่ของสายซีรีส์มาครองได้
“ผมพยายามคิดให้ต่างออกไปหน่อย อย่างคนทั่วไปจะมองว่าคาร์มีเป็นคนยังไง และคาร์มีหน้าตาดูเป็นแบบไหน เพราะผมเองก็เคยเจอพวกคนไม่เอาไหนมาก็เยอะ แต่ไม่เคยคิดว่าคาร์มีเป็นพวกไม่เอาไหนอะไรเลย” ไวต์สาธยายวิธีที่เขาสร้างตัวละคร “ผมเห็นใจเขามากๆ ด้วยซ้ำไป เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้คาร์มีผ่านเหตุการณ์รุนแรงมามาก หากก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาน่าสนใจด้วย ผมตระหนักได้ว่าความเป็นคาร์มีนั้นคือการเป็นเชฟและเขาเป็นได้ดีด้วย ไม่รู้สิ ผมว่านั่นแหละที่ทำให้ชีวิตของเขาโดดเดี่ยวเหลือเกิน“
ในความโดดเดี่ยว เอาเป็นเอาตายกับการทำครัว ไม่ต้องพูดถึงท่าทีแบบ ‘ไม่เอาใคร’ ที่มีให้เห็นบ่อยครั้งของคาร์มี ไวต์ก็ไม่ได้มองว่าตัวละครนี้เป็นคนเลวหรือไม่น่าคบ “เขามีรอยสัก ผมก็มันย่อง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาเป็นกุ๊ยอะไรสักหน่อย” หลังมือของตัวละครคาร์มีมีรอบสักรูปมีดเสียบฝ่ามือ ที่แน่นอนว่าไวต์ไม่ได้สักแบบนี้ในชีวิตจริง แต่เขาเป็นคนออกแบบลายสักนี้ให้ตัวละครร่วมกันกับ เบน ชีลด์ส เพื่อนที่เป็นช่างสัก “ผมว่ามันเป็นรอยสักที่ช่วยย้ำเตือนได้ดีว่าคาร์มีเข้าใกล้จุดที่เกือบทำลายชีวิตตัวเองมาแล้วแค่ไหน มันยากจะอธิบายแหละ แต่สำหรับคาร์มีแล้วมันเหมือนเป็นภาพแทนของการทำลายตัวเอง ซึ่งผมว่ารอยสักมีดแทงทะลวงผ่านฝ่ามือเล่าเรื่องนี้ได้ไม่มากก็น้อย“
อย่างไรก็ตาม แม้ไวต์จะมองว่าเขากับคาร์มีอยู่กันคนละขั้ว หากก็มีบางสิ่งที่เหลื่อมทับกันอยู่ นั่นคือเรื่องความคาดหวังในหน้าที่การงานของตัวเอง “ในฐานะนักแสดง มันก็คงมีสักช่วงแหละ -อาจจะตอนคุณอายุยังน้อยๆ ก็ได้- ที่รู้สึกราวกับทุกอย่างในชีวิตขึ้นอยู่กับงาน หากผมไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่ได้ทุกอย่างที่อยากได้ โลกก็เหมือนจะระเบิดตรงหน้า ซึ่งนี่เป็นเรื่องเศร้ามาก ไอ้การที่เราไม่อาจหาความรื่นเริงใดนอกเหนือไปจากงานที่ทำได้ และนี่แหละที่ทำให้ผมเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับคาร์มีได้มากๆ“
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า The Bear จะมีซีซันที่ 2 ตามมาอย่างแน่นอน ระหว่างนี้ ไวต์ก็รับบทนำใน The Iron Claw หนังของ ฌอน เดอร์กิน หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของ The Rental กับบทหนังสุดเดือดดาลว่าด้วยตระกูล วอน อีริช ตระกูลมวยปล้ำระดับตำนานแห่งยุค 1960s ที่แผ้วถางจักรวาลมวยปล้ำมาจนถึงปัจจุบัน โดยไวต์รับบทเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลนักมวยปล้ำ ร่วมกันกับ แซ็ก แอฟรอน และ แฮร์ริส ดิกคินสัน
Tags: ซีรีส์, Screen and Sound, TheBear, Jeremy Allen White, Disney Hotstar