***บทความนี้มีการเปิดเผยถึงตัวละครและเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์ ***

ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Talk to Me เป็นหนังที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างมาก จากรูปแบบการเล่าที่ดึงปูมหลังในประเด็นวัยรุ่นและสังคม มาตีความเป็นหนังสยองขวัญที่มีมากกว่าจังหวะ Jump Scare ซึ่งนำเสนอออกมาได้อย่างกลมกล่อม ตรงประเด็น และถูกจังหวะ ตามสไตล์ของค่ายภาพยนตร์ A24 ที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง

หนังว่าด้วยเรื่องของเด็กวัยรุ่นออสซี่กลุ่มหนึ่งที่อยาก ‘ลองของ’ กับ ‘มือปริศนา’ ในงานปาร์ตี้ ที่ว่ากันว่า รูปปั้นมือสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ผ่านการจับมือกับมือ โดยเงื่อนไขสำคัญมี 2 อย่าง อย่างแรกคือจะต้อง ‘จุดเทียน’ เพื่อเปิดสวิตช์ก่อนเล่น และ ‘ดับเทียน’ เพื่อปิดสวิตช์หลังเล่นจบ

ที่สำคัญคือเงื่อนไขที่สอง คือเมื่อจับมือกับรูปปั้นมือแล้วให้พูดว่า “Talk to me” เพื่อให้วิญญาณปรากฏตัวและเปิดโอกาสให้ติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้ และให้พูดต่อว่า “I let you in” เพื่อให้วิญญาณที่ปรากฏนั้นเข้ามาสิงสู่ในผู้จับมือ 

โดยกระบวนการทั้งหมดจะต้องไม่เกิน 90 วินาทีเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณกลืนกินความเป็นมนุษย์ของคนผู้นั้นไป

และแล้ว จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มวัยรุ่นได้ทำการจุดเทียน จับมือ และกล่าวคำว่า “Talk to me” ซึ่งจะทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

 

 

‘มีอา’ 

ความน่าสนใจลำดับแรก คือแม้หนังเรื่องนี้จะเน้นความสัมพันธ์ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง แต่ก็มีตัวละครที่โดดเด่นอย่าง มีอา (แสดงโดย โซฟี ไวลด์) ซึ่งได้กลายเป็นหมัดเด็ดสำคัญของ ไมเคิล ฟิลิปปู (Michael Philippou) และแดนนี ฟิลิปปู (Danny Philippou) สองผู้กำกับของเรื่อง

มีอา คือเด็กสาววัยรุ่นที่มักจะเก็บงำความรู้สึกโดดเดี่ยวและเคว้งคว้างเอาไว้กับตัวเองโดยไม่บอกใคร ซึ่งบุคลิกนิสัยเหล่านี้ก็มีสาเหตุมาจากการสูญเสียแม่อันเป็นที่รักไปเป็นสาเหตุสำคัญ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ตามประสาวัยว้าวุ่น ทั้งการถูกค่อนขอดด้วยภาพจำเชิงชาติพันธุ์ การพยายามเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน ซึ่งนำไปสู่การถูกเลือกปฏิบัติ

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้มีอารู้สึกโดดเดี่ยวและอาจมากไปถึงการไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดกับทั้งผู้คน สถานที่ และกาลเวลา

ตั้งแต่แม่ของเธอจากไป อาจกล่าวได้ว่าเธอไม่มีใครที่เป็นที่พักใจให้เธอได้อย่างแท้จริง และความโดดเดี่ยวเคว้งคว้างนั้น ก็ได้ถูกนำเสนอในเรื่องผ่านหลายจุด ชวนให้อึดอัดไม่น้อยกับสิ่งที่เธอพบเจอ

“ฉันส่องกระจกแล้วไม่เห็นตัวเอง เหมือนฉันไม่มีตัวตน”

 

‘วัยรุ่น’ ในภาวะลักลั่นระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ กับวัยที่ถูกผลักให้เป็นผู้แหวกขนบทางสังคม

แม้ Talk to Me เล่าเรื่องวัยรุ่นแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อน หากแต่เห็นถึงความโกลาหลภายใต้ชีวิตของเด็กธรรมดาๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

‘วัยรุ่น’ เป็นช่วงเวลาหนึ่งของการเติบโตในชีวิตมนุษย์ อาจโตกว่าจะเรียกว่ายังเป็นเด็ก แต่ก็ยังไม่เติบโตพอที่จะเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นในช่วงเวลานี้พวกเขาจึงดูไม่เป็นพวกเดียวกับกลุ่มใดในสังคมเลย ในแง่หนึ่งอาจดูเป็นวัยที่ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนุกสนาน แต่อีกแง่หนึ่งก็โตเกินกว่าจะควบคุม (เพราะไม่ใช่เด็กแล้ว) แต่ก็ยังไม่โตพอที่จะคิดอะไรเองได้ (เพราะก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่) 

แม้จะเป็นบริบทที่แฝงอยู่ในเส้นเรื่องอยู่เงียบๆ แต่การสัมผัสได้ถึงสุญญากาศของการเป็น ‘วัยรุ่น’ เช่นนี้ของตัวละคร ก็กลับทำให้ผู้เขียนรู้สึกร่วมได้ เพราะหากมองย้อนกลับไปสักตอนอายุ 17-18 ตัวเราในวันนั้นก็แทบไม่ต่างกับมีอาในวันนี้เลย คือทั้งคู่ต่างมีความรู้ประมาณว่า 

‘ไม่มีใครเข้าใจเราเลย’

จึงถือเป็นความแหลมคมของ Talk to Me ที่สามารถนำเสนอทั้งในแง่ความลักลั่นในช่องว่างระหว่างวัย ความเปราะบางของวัยรุ่นเมื่อเจอเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจ มากไปถึงการนำเสนอคำว่า ‘เพื่อน’ ที่เป็นสิ่งประกอบสร้างหนึ่งที่สำคัญกับชีวิตวัยรุ่นเหลือหลาย อีกทั้งการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร ‘มีอา’ ยิ่งทำให้เราให้ภาพความเจ็บปวดในฐานะวัยรุ่นได้อย่างชัดเจน ด้วยองค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ เป็นผู้หญิง วัยรุ่น และมีผิวดำ ด้วยสามอย่างที่ซ้อนทับกันนี้ ผนวกกับการขาดแม่ที่เป็นบุคคลสำคัญ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าโดดเดี่ยว ไม่เหลือใคร และเสี่ยงกับการไม่ถูกยอมรับ 

และทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอผ่าน ‘หนังผี’ ยิ่งทำให้องค์ประกอบ 3 อย่างที่ ‘ไม่เป็นที่ต้องการ’ กลับเชื่อมต่อกันได้อย่างน่าประหลาด และยิ่งหากได้รับชมในภาพยนตร์จะยิ่งเห็นชัดขึ้นว่าเพราะอะไรสิ่งเหล่านี้ถึงผนวกรวมกันออกมาเป็นหนังผีที่กลมกล่อมได้ถึงเพียงนี้

 

เมื่อ ‘ผี’ และ ‘วิญญาณ’ อาจไม่ได้หมายถึงแค่ความน่ากลัว 

การ ‘ลองของ’ ในเรื่องนั้นไม่ได้ฉายภาพให้เห็นแค่มีอา แต่รวมไปถึงวัยรุ่นคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ลองเล่นด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งเมื่อได้ลิ้มลองแล้วกลับติดใจ หลายคนกล่าวว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแม้ว่าจะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเพียงใดก็ตาม

กล่าวได้ว่า พวกเขาลองของถึงขั้น ‘เสพติด’ เพราะมีการเล่นกันหลายครั้งหลายครา

ด้วยนัยหนึ่ง ผีหรือวิญญาณที่โผล่มาพูดด้วย และยอมให้พวกเขาเข้าสิงสู่ร่างกายนั้นมาเป็นแบบสุ่ม คือคุณจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าคุณจะพบกับใครจนกว่าจะจุดเทียนและจับมือกับเขา และจะไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรกับคุณจนกว่าคุณจะยอมให้เขาสิงสู่

ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากชวนให้ดูว่าการ ‘จับมือ’ ของวัยรุ่นแต่ละคน อาจจะสะท้อนถึงความต้องการ และแรงปรารถนาบางอย่างที่พวกเขาซ่อนเอาไว้ในจิตใจ หรือสำหรับบางคนอาจเพียงแค่ต้องการจะสื่อว่า เขาต้องการใครสักคนอยู่ข้างๆ และพูดกับเขา 

เหล่านี้จึงเป็นความสนุกของการดู Talk to Me เพื่อที่พยายามทำความเข้าใจว่า อะไรที่ทำให้เด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ยอมทำสิ่งสุดบ้าระห่ำ อย่างการสมยอมให้วิญญาณเข้ามาสิงสู่ภายในร่าง   

แล้วจะสนุกมากขึ้นไปอีก หากคุณลองตั้งคำถามกับตัวเองต่อว่า คุณพร้อมไหม หากที่จะยอมจับมือกัน และให้วิญญาณเข้าสิงสู่ในจิตใจของคุณ

Tags: , , , , ,