หลังจากภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส ภาค Revenge of the Sith ออกฉายในปี 2005 นักแสดงชายชาวสก็อตแลนด์อย่าง ‘ยวน แม็กเกรเกอร์’ (Ewan McGregor) ก็ห่างหายจากการรับบทบาทปรมาจารย์เจไดนาม โอบีวัน เคโนบี (Obi-Wan Kenobi) ยาวนานถึง 17 ปี จนเกิดเสียงเรียกร้องไปยังลูคัสฟิล์ม (Lucasfilm ltd.) ว่าเมื่อไรจะนำตัวละครขวัญใจกลับมากวัดแกว่งดาบไลท์เซเบอร์อีกครั้ง

ความคิดที่จะสร้างโปรเจ็คต์ภาคแยก (Spin-Off) เกี่ยวกับตัวละคร โอบีวัน เคโนบี คือสิ่งที่ลูคัสฟิล์ม และเดอะ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ (The Walt Disney Studios) วางแผนกันมาตั้งแต่ปี 2016 ถึงขั้นออกแบบบทให้เหมาะสมกับการเป็นภาพยนตร์ฉายโรง แต่ก็ต้องพับเก็บอย่างกะทันหัน เพราะการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนที่จะตัดสินใจเบนเข็มมาทำในรูปแบบซีรีส์ลงบนสตรีมมิงดิสนีย์ พลัส (Disney Plus) ที่กำลังมาแรงแทน โดยมี เดบอราห์ เชา (Deborah Chow) นั่งแท่นเป็นผู้กำกับควบโปรดิวเซอร์

เหนือสิ่งอื่นใด ยวน แม็กเกรเกอร์ ก็ได้รับการติดต่อให้กลับมารับบทบาทเดิม ไม่พลิกไปจากที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้ แต่คำถามสำคัญที่ตามมา คือ ซีรีส์ดังกล่าวจะเล่าไทม์ไลน์ช่วงไหนของจักรวาลสตาร์ วอร์ส และตัวแม็กเกรเกอร์ที่อายุปาเข้าไป 51 ปี ยังสามารถแสดงได้เหมือนเดิมหรือไม่ โดยเฉพาะซีนอารมณ์

เรื่องย่อของซีรีส์ Obi-Wan Kenobi เป็นการเล่าเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในภาค 3 หลังสมุหนายกพัลพาทีน หรือดาร์ธ ซิเดียส ผู้ชั่วร้าย ได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำกาแลกติกเอ็มไพร์ ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งที่ 66 (Order 66) ไปยังกองทัพทหารโคลน ให้ตามล่ากวาดล้างอัศวินเจไดและลูกศิษย์ทั่วทั้งกาแล็กซี ส่งผลให้นิกายเจไดล่มสลาย ผู้ที่เหลือรอดต้องอาศัยแบบหลบๆ ซ่อนๆ 

ทางด้าน โอบีวัน เคโนบี (ยวน แม็กเกรเกอร์) ที่ตัดสินใจเข้าห้ำหั่นกับ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (เฮย์เดน คริสเตนเซน) ลูกศิษย์ผู้หันหลังเข้าสู่ด้านมืด ก็ได้หนีไปใช้ชีวิตกลางทะเลทรายบนดาวทาทูอิน เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเบน ทิ้งอดีตทุกอย่างไว้เบื้องหลัง กลายเป็นคนแล่เนื้อในโรงฆ่าสัตว์แลกกับเศษเงินน้อยนิด และเฝ้ามองลุคกับเลอา คู่แฝดซึ่งเป็นลูกของอนาคินอยู่ห่างๆ

อย่างไรก็ดี อดีตที่ต้องกำจัดลูกศิษย์ได้ตามหลอกหลอนโอบีวันทุกคืนวัน จากปรมาจารย์เจไดผู้มีคาแรกเตอร์ห้าวหาญ เยือกเย็น กล้าได้กล้าเสี่ยง และรักความถูกต้องยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด กลับแปรสลับขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง โอบีวันกลายเป็นชายวัยกลางคนที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ ใช้ชีวิตแบบซ้ำซากไร้จุดหมาย ก่อนที่โชคชะตาจะเล่นตลกเมื่อ เบล ออกานาร์ (จิมมี สมิตซ์) ผู้นำแห่งดาวอัลเดอรานมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน เพื่อขอร้องให้เขาช่วยพาเลอา (วิเวียน ไลร่า แบลร์) ลูกบุญธรรมที่โอบีวันนำไปฝากเลี้ยง กลับมาจากเงื้อมมือลักพาตัวของกาแลกติกเอ็มไพร์ ท่ามกลางอันตรายจากการตามล่าของหน่วยอินควิซิเตอร์ (Inquisitor) ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของ ดาร์ธ เวเดอร์ หรืออดีตลูกศิษย์ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ 

ใครที่ติดตามดูซีรีส์ดังกล่าวมาจนถึงตอนที่ 3 จะพอทราบว่า ยวน แม็กเกรเกอร์ แทบจะไม่ต้องฟิตร่างกายโชว์บทแอ็กชันควงกระบี่ไลท์เซเบอร์เหมือนไตรภาคแรก อาจเป็นเพราะในซีรีส์โอบีวันห่างจากภาค 3 มานานถึง 10 ปี และเทียบกับชีวิตจริงอีก 17 ปี บริบทต่างๆ จึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รวมถึงเหตุผลด้านบทการแสดงที่แฟนสตาร์ วอร์สอยากดูฉากการแสดงทางอารมณ์อันเข้มข้นสดใหม่ต่างไปจากเดิม เหมือนเช่นที่ซีรีส์ The Mandalorian ทำมาตรฐานเอาไว้ก่อนหน้า หรือแม้แต่โอบีวันเวอร์ชันปี 1977 ที่ เซอร์ อเล็ก กินเนสส์ ผู้ล่วงลับแสดงเอาไว้

“ครั้งแรกที่เราเริ่มทดสอบเข้าฉากกัน ผมพยายามคงคาแรกเตอร์ความเป็นโอบีวัน แต่คุณรู้ไหม ผมแสดงออกมาได้ไม่ดีเท่าไร โดยเฉพาะการพูดสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆ ออกไปทางสกอตติชเสียมากกว่า แต่โชคดีที่เรามีเวลาแก้ไขอยู่อีกหลายเดือน ผมจึงพยายามกลับไปศึกษาการแสดงเป็นโอบีวันของ เซอร์ อเล็ก กินเนสส์ ทั้งสำเนียงการพูด แววตา และไหวพริบขณะอยู่หน้ากล้อง ผมพยายามคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะ”

นับเป็นภาระอันหนักอึ้งของ ยวน แม็กเกรเกอร์ กับการแสดงเป็นโอบีวันในแบบฉบับของตัวเอง ที่ต้องชวนผู้ชมให้แอบนึกถึงคาแรกเตอร์เวอร์ชันของ เซอร์ อเล็ก กินเนสส์ ที่เป็นปรมาจารย์เฒ่าผู้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตและกล้าละทิ้งความเจ็บปวด แบบไม่ดูฝืนจนเกินไป ตามหลักไทม์ไลน์ของซีรีส์ที่คาบเกี่ยวไปสู่ภาค A New Hope ฉะนั้นเป้าหมายสำคัญของนักแสดงชาวสกอตแลนด์ จึงเป็นการโฟกัสด้านการแสดงทางอารมณ์ล้วนๆ เพื่อเป็นการพิสูจน์ต่อนักวิจารณ์ และแฟนบอยที่ปรามาสเขาไว้ในภาค Revenge of the Sith ที่ส่วนหนึ่งต้องคงต้องโทษทางลูคัสฟิล์มที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายคนดูเป็นเด็ก ทว่าในความยากก็ยังมีความง่ายอยู่ เมื่อซีรีส์โอบีวันใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบ ‘StageCraft’ ซึ่งเป็นจอ LED ขนาดใหญ่ และล้อมรอบแบบ 360 องศา ทำให้นักแสดงถ่ายทอดอิริยาบถออกมาดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเทคนิคถ่ายทำแบบ Green Screen

“เราต้องทนกับคำติเตียนของนักวิจารณ์หลังสตาร์ วอร์สภาคก่อน (Revenge of the Sith) ฉายออกไป พวกเขาไม่ชอบที่เราแสดงเท่าไรนัก แม้เราและทีมงานทุกๆ คน จะทุ่มเททุกอย่างแบบสุดตัว เป็นเวลานานพอสมควรกว่าเราจะยอมรับคำวิจารณ์เหล่านั้นได้ แต่พอเวลาล่วงเลยผ่านไป ผมกลับได้รับความรู้สึกดีๆ และคำชมจากแฟนหนังที่ตอนนั้นยังเด็ก พวกเขาถามผมในโซเชียลมีเดียเสมอว่า คุณจะกลับมารับบทโอบีวันอีกครั้งไหม นักข่าวก็ถามผมแบบเดียวเช่นกัน ผมจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับมาสานต่อสิ่งที่ทิ้งไว้

“ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับ เดโบราห์ เชา เธอเป็นผู้กำกับที่ยอดเยี่ยม เห็นได้จากผลงานการกำกับซีรีส์ The Mandalorian ทั้ง 2 ตอน และเธอเป็นคนที่เข้าใจโลกของสตาร์ วอร์สมากกว่าผมเสียอีก (หัวเราะ) ทั้งผมจะได้ร่วมงานกับ เฮย์เดน คริสเตนเซน ในฐานะ โอบีวัน เคโนบี กับ อนาคิน สกายวอล์กเกอร์ อีกครั้ง มันช่างวิเศษเอามากๆ ผมหวังว่าพวกคุณจะชอบซีรีส์นี้กันนะ”

แม้จะต้องแบกรับภาระความคาดหวังอันหนักอึ้ง และไม่รู้เลยว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของแฟนๆ สตาร์ วอร์ส ในยุคนี้ได้ตรงจุดหรือเปล่า แต่เรากลับเห็นความสุขของ ยวน แม็กเกรเกอร์ ผ่านบทสัมภาษณ์ หลังได้โอกาสกลับมารับบทเป็นโอบีวัน ซึ่งเป็นตัวละครระดับ Iconic ของแฟรนไชน์ภาพยนตร์สงครามอวกาศระดับตำนาน เพียงเท่านี้คนดูอย่างเราๆ ก็ได้รับความสุขตามไปด้วย พลันชวนให้หวนคืนวันวานวัยเด็กที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความตื่นเต้น 

ดั่งเช่นทุกครั้งที่เราขนลุก น้ำตาปริ่ม เมื่อได้ยินเพลงธีมสตาร์ วอร์ส ของ จอห์น วิลเลียมส์ ดังก้องขึ้นควบคู่กับประโยคคำโปรยต้นเรื่อง A long time ago in a galaxy far, far away…

 

ที่มา

https://www.forbes.com/sites/jeffconway/2022/02/09/ewan-mcgregor-discusses-his-new-obi-wan-kenobi-disney-series-its-really-going-to-satisfy-star-wars-fans/?sh=b0970d468aed

https://www.yahoo.com/entertainment/obi-wan-kenobi-ewan-mcgregor-interview-star-wars-prequels-reaction-playing-character-again-190034684.html

https://www.bbc.com/news/uk-scotland-61578225

https://www.insider.com/star-wars-ewan-mcgregor-hayden-christensen-fans-brought-them-back-2022-5

https://www.cnet.com/culture/entertainment/obi-wan-kenobis-ewan-mcgregor-is-still-inspired-by-alec-guinness/

Fact Box

ซีรีส์ โอบีวัน เคโนบี (Obi-Wan Kenobi) มีความยาวทั้งสิ้น 6 ตอน สามารถรับชมได้แล้วทางสตรีมมิง Disney+ Hotstar

 

Tags: , , ,