มียอดขายอัลบั้มที่สูง

มีเพลงฮิตติดชาร์ต

มีความนิยมสาธารณะ

มีการแสดงคอนเสิร์ตระดับสเตเดียม

ไม่ว่าจะมองในมิติไหนของ ‘เกณฑ์วัด’ ความสำเร็จของวงไอดอลสัญชาติเกาหลีใต้ ‘NCT DREAM’ วงเด็กหนุ่มอายุราว 23 ปีก็สามารถยืนอ้าแขนรับความสำเร็จเหล่านั้นได้อย่างภาคภูมิใจ เพราะทุกครั้งที่พวกเขามีโอกาสพวกเขาจะทำได้ดีเยี่ยมเสมอมา

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน กับอีกหนึ่งความสำเร็จที่พวกเขาทำได้ ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงคอนเสิร์ต ‘2024 NCT DREAM WORLD TOUR <THE DREAM SHOW 3 : DREAM( )SCAPE> in BANGKOK’ คอนเสิร์ตสเกลระดับสเตเดียม ที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีคอนเสิร์ตไหนที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว’ เพราะบัตรกว่า 6.5 หมื่นใบที่ถูกขายจนหมดเกลี้ยง สร้างสถิติใหม่ภายใน ‘SM Entertainment’ ค่ายต้นสังกัด

วันนี้ The Momentum จะพาเหล่า NCTzen (ชื่อทางการของแฟนคลับวง NCT) ที่ใจยังคงติดอยู่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หวนกลับไปให้รู้สึกถึง ‘เสียงดนตรี’ ‘เสียงกรี๊ด’ และ ‘ความฝัน’ อีกครั้งหนึ่ง

HERE’s THE DREAM

สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ องก์แรกของคอนเสิร์ตถูกเปิดมาด้วย VCR แสดงภาพเหล่าเมมเบอร์ยืนอยู่ในดินแดนแห่งฝันร้ายทั้ง 7 คน ได้แก่ มาร์ค (MARK), เหรินจวิ้น (RENJUN), เจโน่ (JENO), แจมิน (JAEMIN), แฮชาน (HAECHAN), เฉินเล่อ (CHENLE) และจีซอง (JISUNG) ขณะที่เพลงประกอบ VCR นั้นคือ icantfeelanything เพลงในอัลบั้มล่าสุดที่ถูกคัดเลือกออกมาได้อย่างถูกต้อง สามารถเร้าอารมณ์ด้วยท่วงทำนองและเสียงร้องของ ‘มาร์ค’ และ ‘เฉินเล่อ’ สร้างความรู้สึกอลังการตั้งแต่ท่อนแรกของเพลง ประกอบกับบรรยากาศของแท่งไฟที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เรียกเสียงเชียร์จากแฟนๆ อย่างกึกก้อง

ทันทีที่ VCR จบลง เหล่าสมาชิกวง NCT DREAM ก็ปรากฏตัวด้วยชุดหนังสีดำสลับแดงและเริ่มแสดงคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการด้วยเพลง BOX ที่มีเอฟเฟกต์พิเศษ ทั้งพลุและไฟที่สร้างบรรยากาศสัมผัสถึงความเท่และแข็งแรงได้เป็นอย่างดี ความตื่นเต้นยังไม่จบลงเท่านั้น เมื่อเซ็ตแรกของคอนเสิร์ตยังถูกสานต่อความร้อนแรงด้วยบทเพลงอย่าง 119, SOS และ GO

ขณะที่ไฮไลต์ของเซ็ตแรกในมุมมองของผู้เขียนนั้น ยกให้เป็นเพลง Poison ที่สามารถดึงเสน่ห์และความเซ็กซี่ของเหล่าเมมเบอร์ออกมาได้อย่างชัดเจน แสดงถึงการเติบโตที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา (วง NCT DREAM เดบิวต์ปี 2016) อีกต่อไป

ในองก์ที่ 2 คราวนี้หนุ่มๆ เลือกจะเปลี่ยนลุคกลายเป็น ‘เด็กนักเรียน High School’ กันบ้าง ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ผู้เขียนคุ้นเคยมากที่สุด พวกเขานำเพลงมาจัดเมดเลย์ ไม่ว่าจะเป็น Arcade, We Go Up และ Bungee โดยเฉพาะในเพลง We Go Up ที่เหล่า NCTzen ช่วยกันร้องกันอย่างเต็มเสียง ช่วยเติมเต็มความสนุก สร้างบรรยากาศคอนเสิร์ตให้ขึ้นไปอีกระดับ

ก่อนที่เซ็ตของเพลงจะผ่อนคลายบรรยากาศคอนเสิร์ตลงมา ให้เหมาะกับค่ำคืนที่ไร้ดวงดาว มีเพียงแสงไฟสีเขียวนีออนเต็มสนามฟุตบอลเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า บรรยากาศในช่วงนี้ถือเป็นหนึ่งในบรรยากาศ TOP 3 ของผู้เขียนที่ชื่นชอบมากที่สุดเลยด้วยซ้ำ 

ประสาทสัมผัสทางกายรับรู้ถึงสายลมเย็นๆ ที่พัดผ่านผิว ทำให้ประสาทสัมผัสการฟังก็เปิดรับเต็มที่กับเสียงหวานๆ ของเหล่าเมมเบอร์ที่ร้องเพลง Never Goodbye อันมีความหมายลึกซึ้งและกินใจ เพราะเป็นเพลงที่เมมเบอร์ช่วยกันแต่งและเรียบเรียงคำร้อง เปรียบเหล่า NCTzen เป็นเหมือนดวงดาวในยาวค่ำคืน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นสว่างสุกสกาวทั่วท้องฟ้า ขณะที่ประสาทสัมผัสการมองเห็นก็ยิ่งเสริมความรู้สึกเข้าไป เมื่อมองไปยังแฟนโปรเจกต์ที่เปิดกล่องไฟแสดงภาพเป็น ‘กลุ่มดาวหมีใหญ่’ ที่สื่อถึงเหล่าเมมเบอร์ทั้ง 7 คน ก่อนที่เซ็ตเพลงในองก์นี้จะจบด้วย Breathing และ UNKNOWN

ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมากจริงๆ

ก่อนองก์ที่ 3 จะเริ่มขึ้น จะไม่กล่าวถึงตัว VCR ตัวนี้ไปไม่ได้ เพราะเป็นวิดีโอที่ฉายภาพละครที่เมมเบอร์ร่วมรับประทานอาหาร พร้อมกับดื่ม ‘น้ำวิเศษ’ ที่ดื่มเข้าไปแล้วเห็นความฝันอันแสนสดใส ในช่วงนี้ได้แสดงความน่ารักของ NCT DREAM ออกมาให้เห็นอีกครั้ง โดยเฉพาะเหรินจวิ้น ที่แม้คอนเสิร์ตครั้งนี้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมเนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่เขาก็ยังแสดงถึงภาพลักษณ์ออกมาได้อย่างซุกซนและน่าเอ็นดู เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงแสดงความมันเขี้ยวออกมาได้อย่างไม่ขาดสาย

เมื่อ VCR ได้จบลงเหล่าเมมเบอร์ก็กระโจนออกมาจากหลังม่านเวทีด้วยภาพลักษณ์ที่ดูสบายๆ ในลุค Casual ขนเอาเพลงสไตล์ Pop และ R&B มาแสดงให้แฟนๆ หายคิดถึง เพิ่มระดับความสนุกให้มากขึ้นไปอีกกับเพลง Tangerine Love (Favorite), Yogurt Shake, Pretzel (♡) และ Candy ด้านแฟนๆ ก็ไม่น้อยหน้าต่างร้องประกอบและโบกแท่งไฟในมือกันอย่างสนุกสนาน

มาในช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่คาดฝันเช่นเดียวกัน ที่เหล่าเมมเบอร์ต่างขอให้แฟนๆ ‘ลุกขึ้นยืน’ เพื่อเตรียมตัวให้สัมผัสถึงไวบ์อีกขั้นกับเซ็ตเพลงอย่าง Dream Run, Better Than Gold และ Firefiles เพลงที่เหล่าแฟนๆ ต่างรอคอย เพราะเป็นเพลงที่มีความสนุกและมีเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ (Fireflies เป็นเพลงที่ถูกปล่อยออกมาเพราะ NCT DREAM เป็นทูตของมูลนิธิลูกเสือโลก) จึงไม่แปลกใจว่าเสียงร้องของแฟนๆ ในเพลงนี้จะดังเป็นพิเศษ ก่อนที่ NCT DREAM จะจบองก์ที่ 3 ด้วยบทเพลงที่ผู้เขียนมองว่าเป็นเพลงชาติอย่าง Hello Future และ Broken Melodies ทำให้เรียกเสียงร้องจากเหล่าแฟนคลับออกมาตั้งแต่ต้นเพลงยันจบเพลง ไม่เว้นแม้แต่ช่วงไฮโน้ต ก็แย่ง ‘แฮชาน’ ร้องด้วยซ้ำไป

ในองก์สุดท้ายของคอนเสิร์ต NCT DREAM เลือกที่จะปรากฏตัวออกมาด้วยชุดสีเขียวเข้มสุดเท่ พร้อมกับทัพแดนเซอร์ที่ขนมาปลุกเวทีให้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง กับการแสดงที่ยกระดับอารมณ์ให้พุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง กับเซ็ตเพลงที่เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างง่ายดาย ด้วยการแสดงที่แข็งแรงและเซ็กซี่ ของเพลง Skateboard, ISTJ และไฮไลต์กับเพลงไตเติลจากอัลบั้มล่าสุดอย่าง Smoothie ที่เจโน่สร้างปรากฏการณ์กระชากเสื้อตัวนอกตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เรียกเสียงกรี๊ดจาก ‘เหล่ามัมหมี’ ดังทั่วสนามอีกครั้ง ก่อนทั้งสนามจะดับไฟลง

เมื่อทั้งสนามดับไฟแล้วเหลือเพียงแต่แสงจากแท่งไฟ เสียงกระหึ่มจาก NCTzen ชาวไทยก็ต่างตะโกนอังกอร์ ด้วยคำว่า ‘เหรินจวิ้น’ สมาชิกวงที่ไม่สามารถเข้าร่วมคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้ โดยในช่วงนี้วันที่ 2 ของการแสดงจะมีความพิเศษมากขึ้นกว่าวันแรกเล็กน้อย กับ ‘การเล่นเวฟ’ ยกแท่งไฟเป็นคลื่นของเหล่าแฟนคลับด้วยกันเอง ทำให้ได้ภาพบรรยากาศที่สนุกสนามทั้ง 2 ฝั่งของสนาม

ก่อนภาพบนจอ LED ก็ฉายแผ่นป้ายแสดงข้อความจากแฟนๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความแสดงถึงความรัก ความห่วงใยที่มีแก่เหล่าเมมเบอร์ เรียกทั้งเสียงเอ็นดูและขำจากแฟนๆ ไม่ขาดสาย แต่ก็มีบางช่วงเวลาเช่นเดียวกันที่ผู้เขียนสัมผัสได้ถึง ‘ความแสบ’ ของช่างภาพ ที่พยายามจะเลือกมุมกล้องโดยให้ความสำคัญกับข้อความภาษาไทยเป็นอันดับแรก

ในช่วงสุดท้ายของคอนเสิร์ต NCT DREAM ปรากฏตัวออกมาด้วยรถรางจากทั้ง 2 ฝั่งของสนาม พร้อมกับใส่ ‘เสื้อช้าง’ สินค้าซอฟต์พาวเวอร์ของไทยออกมาพร้อมกับความลิงโลด ดูสนุกสนาน เห็นได้ผ่านการเล่นกับกล้องที่ติดไว้บนรถราง และการโยนลูกบอลเซ็นชื่อแก่แฟนคลับทั่วสนาม ฉายภาพการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความน่าเอ็นดู อีกทั้งยังได้แสดงเพลงเซ็ตสุดท้ายไปพร้อมกัน อย่าง Blue Wave, Dive Into You และ ANL

ก่อนที่จะจบเพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่เหล่าเมมเบอร์จะได้สื่อสารกับเหล่าแฟนๆ ซึ่งข้อความที่ส่งออกมาเป็นข้อความแสดงคำขอบคุณ ที่แฟนคลับมอบความรักให้กับ NCT DREAM และขอบคุณที่ทำให้การเล่นคอนเสิร์ตครั้งนี้มีแต่ความสุขและความทรงจำที่ดีแก่กัน 

สุดท้ายทางทีมผู้จัดงานก็มีเซอร์ไพรส์ให้กับ NCT DREAM และเหล่าแฟนคลับด้วยการจุดพลุสุดตระการตา ยาวนานกว่า 1.30 นาที เรียกเสียงกรี๊ดและโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นจากแฟนคลับ และเมื่อผู้เขียนหันกลับมามองที่เหล่าเมมเบอร์ก็พบว่า พวกเขานอนดูพลุกันอย่างสบายใจกันเสียแล้ว

“ผมไม่ได้โกหกนะครับ ผมอยากบอกทุกคนว่า การแสดงครั้งนี้คือสนุกที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลย” – เฉินเล่อ

เมื่อเสียงกีตาร์บรรเลงโน้ตตัวแรกขึ้นก็รู้กันแล้วว่า เพลงสุดท้ายเพื่อการอำลามาแล้วสินะ กับเพลง Like We Just Met ที่มีความหมายบาดลึกกินใจ เปรียบเสมือนคำบอกรักว่า เราจะรักและอยู่ด้วยกันตลอดไปเหมือนความรู้สึกครั้งแรกที่เจอกัน โดยเมมเบอร์ทุกคนเดินกลับไปยังเวทีหลัก เพื่อนั่งร้องเพลงนี้ พร้อมกับกวาดสายตามองทะเลสีเขียวนีออนที่พวกเขาภาคภูมิใจ

ส่วนผสมที่ลงตัวเหมือนกับ ‘SMOOTHIE’

เป็นที่รู้กันว่า วง NCT DREAM เป็นวงที่มีความหลากหลายของเมมเบอร์มากถึง 7 คนด้วยกัน มีความสามารถและคาแรกเตอร์ที่หลากหลาย ผู้เขียนจึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อบรรยายความรู้สึกที่ประทับใจต่อเมมเบอร์ด้วยสายตาของผู้เขียนในคอนเสิร์ตครั้งนี้แต่ละคน

เริ่มจากมาร์ค ลีดเดอร์ของกลุ่ม เสียงของเขายังคงเป็นเอกลักษณ์และมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการแรป การร้อง หรือแม้แต่การเต้น ด้วยความที่มาร์คจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด บางพาร์ตจึงมักโดนน้องๆ ในวงแกล้งอยู่บ้างว่า ขอให้แสดงความน่ารักออกมาให้แฟนคลับได้เห็น ซึ่งทำให้มาร์คค่อนข้างเขิน เพราะเขาจะมีความเท่เสียมากกว่า จนต้องเดินไปหาสมาชิกในวงอีกคนอย่างแจมิน เพื่อให้แจมินได้แสดงความน่ารักแก่แฟนคลับแทน

เจโน่ หนุ่มตายิ้ม สิ่งแรกที่สัมผัสได้จากเขา คือ ‘พลัง’ และ ‘คาริสม่า’ ที่เอ่อล้นในทุกการแสดง เขาสามารถสร้างความประทับใจให้กับแฟนคลับได้ไม่ยาก ยังไม่นับรวมกับพฤติกรรมที่แม้ว่าร่างกายจะดูแข็งแรง แต่การแสดงออกก็มีความน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ตลอดเวลา มีบ้างที่จะแสดง ‘ความโก๊ะ’ ออกมาให้แฟนคลับได้เห็น 

ด้านแจมินดูจะเหมือนมีคาแรกเตอร์ที่สะท้อนออกมาหลายด้าน และสามารถทำได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงที่ต้องใช้ความเท่หรือการแสดงที่ต้องใช้ความน่ารัก ทุกการแสดงเขาสามารถทำได้อยู่หมัด แจมินยังเป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับแฟนๆ ด้วยคำถามง่ายๆ ว่า ตกลงแล้วเรียก ‘พี่ดรีม’ หรือ ‘น้องดรีม’ ซึ่งแฟนคลับทั้งสนามต่างตอบอย่างชัดเจนว่า ทุกคนมอง NCT DREAM เป็น ‘น้องดรีม’ เหมือนกันหมด

แฮชาน หนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียงหวานๆ ในฐานะที่เป็นนักร้องเสียงหลักของวง น้ำเสียงของเขายังคงสะกดเหล่าแฟนคลับได้เช่นเดิม ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และเอเนอร์จี้ไม่มีตก คาริสม่าบนเวทีก็น่าดึงดูด ด้วยท่าทางและลักษณะการเต้นที่แสดงออกแล้วดูเพลิน สะกดสายตาอยู่ตลอดเวลา

เฉินเล่อ นักร้องเสียงหลักของวงอีกคน ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า เขาเป็นคนที่ดึงความสนใจผู้เขียนได้เสมอตลอดช่วงการแสดงคอนเสิร์ต ด้วยเสียงร้องที่ดีไม่มีตกและแสดงออกด้วยท่าทางที่มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการร้องหรือเต้น

น้องเล็กของวงอย่างจีซอง ที่ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน จีซองก็ยังคงเป็นคนที่น่าเอ็นดูตลอดเวลาด้วยลักษณะท่าทางที่เป็นที่น่าแกล้งของพี่ๆ ในวง แต่มาครั้งนี้เขาสามารถแสดงภาพลักษณ์ที่โตขึ้นได้ จากการแสดงที่แข็งแรงและร้องด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟัง ถึงอย่างไรนั้นก็ยังไม่วายที่จะมีพาร์ตน่ารักๆ แวบออกมาให้เห็นอยู่ตลอด

ส่วนเมมเบอร์คนสุดท้าย ช่างเป็นที่น่าเสียดายมากๆ ที่เหรินจวิ้นไม่สามารถเข้าร่วมแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้ เนื่องจากปัญหาสุขภาพที่ผู้เขียนได้กล่าวไปข้างต้น ภาพที่เห็นจึงมีเพียงใน VCR เท่านั้น แต่เวลาอันน้อยนิดนั้นเขาก็ยังขโมยซีนได้อยู่ตลอด ด้วยความน่ารักและน่าเอ็นดู จึงเรียกเสียงกรี๊ดได้อยู่เสมอ ปะปนไปกับเสียงเรียกร้องอยากให้เขากลับมาเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันกับเหล่าเมมเบอร์ในเร็ววัน

Dear Dream, It’s all like we just met

ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นเครื่องการันตีประโยคนั้นได้อย่างดีเยี่ยม เพราะกว่า 3 ชั่วโมงครึ่งของการแสดง ผู้เขียนรู้สึกว่า มันช่างผ่านไปไวเสียจริง ตลอดช่วงเวลาของคอนเสิร์ตไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่มีความรู้สึกเบื่อเกิดขึ้นเลย การแสดงทั้งหมดวันนั้นพิสูจน์แล้วว่า NCT DREAM ในวันนี้เติบโตขึ้นมากจริงๆ จากเด็กในวันนั้น (ซึ่งพวกเขาก็อายุเท่ากับผู้เขียน) ที่เรามองดูอย่างห่างๆ สามารถแสดงคอนเสิร์ตในสเตเดียมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยได้ถึง 2 รอบการแสดง ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง

ทว่าในคอนเสิร์ตครั้งนี้มีสิ่งหนึ่งที่สร้างความหงุดหงิดใจให้ไม่น้อย คือ ‘การเดินทาง’ เมื่อคอนเสิร์ตได้จบลง พร้อมกับการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชั่นลีกส์ 2024 รอบชิงชนะเลิศที่จัดบริเวณเดียวกัน นับเป็นช่วงเวลาอลหม่านที่ทำให้ ‘การจราจร’ ติดขัด ทำให้ชวนคิดว่า ชีวิตจะสบายแค่ไหนถ้า ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ เปิดให้บริการ

แต่หากตัดเรื่อง ‘ขนส่งมวลชน’ ออกไป คอนเสิร์ตครั้งนี้จะตราตรึงอยู่ในใจของผู้เขียนไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน ผู้เขียนรู้สึกภูมิใจอยู่ตลอดที่ช่วงชีวิตวัยรุ่นมี NCT DREAM เป็นหนึ่งในความทรงจำและแรงบันดาลใจ ที่ทำให้มีแรงเดินหน้าทำตามฝันและค้นหาเป้าหมายของชีวิตอยู่เสมอ และก็จะเป็นเฉกเช่นคำพูดที่มาร์คเคยพูดไว้บนเวที 

“อยากให้ NCT DREAM เป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความฝันของทุกคน” – มาร์ค ลี

 

“สุดท้ายนี้อยากจะบอกแค่ว่า

NCT DREAM, ไว้กลับมาดูพลุที่ราชมังฯ แบบครบ 7 คนกันใหม่นะ”

Fact Box

  • 25 สิงหาคม 2567 จะเป็นการครบรอบการเดบิวต์ ‘ปีที่ 8 ของวง’ แต่สมาชิกวง NCT DREAM มีอายุเฉลี่ยเพียง 23 ปีเท่านั้น
  • คอนเสิร์ต THE DREAM SHOW 3 : DREAM( )SCAPE World Tour ยังไม่สิ้นสุดลง ตามการรายงานของ SM Entertainment เผยว่า หนุ่มๆ ยังมีแผนที่จะไปแสดงในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกกันต่อ ทั้งในภาคพื้นยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และสุดท้ายจะกลับมาจัดคอนเสิร์ต Encore เพื่อปิดทัวร์อย่างเป็นทางการที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน-1 ธันวาคม 2567 ณ สนามโกชอก สกายโดม อีกด้วย
  • ปัจจุบัน NCT DREAM มีอัลบั้มเต็มทั้งหมด 3 ชุด และมินิอัลบั้มอีก 6 ชุด ด้วยยอดขายรวมแล้วกว่า 23.3 ล้านชุด
Tags: , , , , , ,