จัสติน เอช. มิน (Justin H. Min) น่าจะเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เราได้เห็นหน้าค่าตาบ่อยที่สุดในระยะ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ค่าที่ว่าคือ After Yang (2021) หนังยาวเรื่องแรกในชีวิตที่เขาแสดงนำเพิ่งเข้าโรงฉาย และการมาถึงของซีรีส์ยอดมนุษย์สุดโป๊งเหน่ง The Umbrella Academy ซีซัน 3 ที่เขารับบทหนึ่งในตัวละครหลักมาตั้งแต่ปี 2019 ก็เพิ่งลงสตรีมมิงไปไม่กี่วันก่อน คงไม่น่าแปลกอะไรหากเราจะเห็นหน้านักแสดงสัญชาติเกาหลี-อเมริกันรายนี้บ่อยยิ่งขึ้น

แต่หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น หลายคนอาจจะเคยเห็นเขามาแล้วจากโฆษณาว่าด้วยถังขยะ การหางาน และความเป็นผู้ใหญ่ความยาว 10 นาทีจากยูทูบ!

“มันเป็นโฆษณาถังขยะน่ะครับ” มินรำลึกความหลัง “อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะ แต่ว่าที่ผ่านมา นักแสดงเอเชีย-อเมริกันยังไม่เคยได้เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักของโฆษณาถังขยะเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก ในการจะบอกโลกว่าเราทำอะไรได้บ้าง และให้ผู้คนได้เห็นพวกเราชาวเอเชียในรูปแบบอื่นบ้าง”

มินไม่ได้มุ่งมาสายการแสดงโดยตรง อันที่จริง บทบาทการเป็นนักแสดงดูจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ ‘ไกลลิบ’ จากเขามากที่สุดอย่างหนึ่ง เขาเกิดในเมืองเชอร์ริตอส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในฐานะรุ่นที่ 2 ของชาวเกาหลีอพยพ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กไปกับการอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ ทั้งยังมักขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน จนในที่สุด ช่วงที่กำลังเรียนชั้นประถม แม่จับเขาไปเรียนวิชาอ่านหนังสือเร็วเพื่อให้เขาออกจากบ้านเสียบ้าง “ผมชอบนะ ชอบมากเลย” เขากล่าว “เพราะผมชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว แถมมันดีจะตายที่เราอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น”

พ้นจากชั้นมัธยม มินเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เอกกฎหมายและภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาขยายความว่า “ก็คือรัฐศาสตร์ดีๆ นี่เองครับ” และวาดหวังจะทำงานสายกฎหมาย จนกระทั่งเมื่อได้เข้าไปทำงานในบริษัทกฎหมายเข้าจริงๆ และพบว่ามันไม่ได้ ‘สวยสดงดงามแถมง่ายดาย’ อย่างที่คิดไว้ มินจึงเบนสายไปยังด้านเขียนบทความและรับงานถ่ายภาพให้นิตยสารหลายฉบับในนิวยอร์ก “จะว่าไป ช่วงที่กำลังเรียนจบ ผมก็สนใจเรื่องการทำงานสื่อมวลชนทำนองนี้อยู่แล้วนะ ทั้งยังมีโอกาสได้ทำงานให้นิตยสารหลายฉบับด้วย มันก็ดีแหละ แต่ตอนนั้นผมเขียนเรื่องเทศกาลล็อบสเตอร์ที่จัดอยู่ในตัวเมือง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจอยากเขียนเท่าไร 

“จากนั้น ผมลองไปคุยกับพวกรุ่นพี่ในแวดวงนี้ จึงเริ่มเข้าใจว่า กว่าที่เราจะเลือกประเด็นที่อยากเขียนหรืออยากเล่าเรื่องเองได้ ก็ต้องใช้เวลาในสายงานนี้อีกห้าถึงแปดปีโน่นเลย ขณะที่ผมเป็นพวกประเภทที่อดทนอะไรไม่ได้สักนิด เลยไม่แน่ใจว่าจะอดทนเขียนงานเกี่ยวกับเทศกาลล็อบสเตอร์ไปอีกแปดชิ้นได้ไหมกว่าจะได้ลองเขียนสิ่งที่อยากเขียนจริงๆ ผมเลยมาเริ่มใช้ชีวิตในลอสแอนเจลิสหลังอยู่ที่นิวยอร์กมาห้าปี และถามตัวเองตอนนั้นเลยว่า ‘เอาละ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานเขียนกับสื่อมวลชน นี่เราทำอะไรได้อีกบ้างล่ะ’ เท่านั้นแหละครับ ผมเผชิญหน้าเข้ากับวิกฤตชีวิตเข้าครั้งใหญ่เลย ซึ่งถึงที่สุดแล้วก็ต้องลองเสี่ยง และเป็นที่มาของการเริ่มงานแสดง”

มินเริ่มเรียนรู้เรื่องการแสดงจากการเข้าร่วมใน หว่อง ฟู โปรดักชันส์ (Wong Fu Productions) โปรดักชันเฮ้าส์สัญชาติเอเชีย-อเมริกันที่เน้นการทำหนังสั้นและโฆษณาเล็กๆ ที่นี่เองเป็นใบเบิกทางให้มินได้ลองแสดงหนังสั้นเรื่องแรกเมื่อปี 2012 รวมทั้งเจ้าโฆษณาถังขยะในปี 2017 ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วยูทูบ

“ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่า ‘ผู้คนต้องได้เห็นพรสวรรค์ของฉัน!’ แต่พอเข้าไปในห้องออดิชัน เจอคนหน้าตาประมาณคุณอีกสามสิบคน เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเรามันไม่ได้พิเศษไปกว่าใคร แถมคนเหล่านั้นเปี่ยมด้วยความสามารถที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาปีแล้วปีเล่า จนมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ ฉะนั้น หากผมอยากตามให้ทัน ก็ต้องพยายามมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า

“อย่างหนึ่งที่ผมเรียนรู้ได้เร็วมากๆ คือการแสดงนี่ยากชะมัด” เขาบอก “ด้วยความสัตย์จริงนะครับ ผมว่าการแสดงนี่แหละ ที่ทำให้ผมได้กำซาบรสชาติความล้มเหลวอย่างรุนแรงที่สุด ก่อนหน้านั้น เวลาผมต้องการอะไรสักอย่างมากๆ ผมมักจะคิดแค่ว่า ทุ่มเททำให้ถึงที่สุดแล้วเดี๋ยวสิ่งที่เราอยากได้ก็จะตามมาเอง ฟังดูอหังการใช่ไหม แต่ลองมานึกดู อย่างตอนสมัยเรียน ถ้าผมทุ่มเวลาอ่านหนังสือให้หนัก ผมก็จะได้เกรดงามๆ อย่างที่อยากได้เอง และถ้ามีสักครั้งที่ผมทำคะแนนได้ไม่ดี ผมก็แค่สรุปว่ามันเป็นเพราะผมทุ่มเทไม่มากพอ 

“แต่ตอนที่ได้ลองงานแสดงครั้งแรก มันเหมือนผมใส่ยับไปเลยที่ร้อยสิบเปอร์เซ็นต์ กระเหี้ยนกระหือรืออยากได้งานอย่างถึงที่สุด แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดนบอกปัดไม่รู้กี่ครั้ง และต้องเจอกับความล้มเหลวมหาศาลอยู่ดี”

หากว่าเขาเริ่มงานแสดงในปี 2012 ก็ต้องรออีก 3 ปีจึงจะได้ไปอยู่เป็นตัวประกอบเล็กจิ๋วใน The Better Half (2015) และ Rebirth (2016 – รับบทเป็นเด็กฝึกงานหมายเลข 2) และอีก 2 ปีกว่าที่เจ้าโฆษณาถังขยะ How I Became an Adult จะได้รับการเผยแพร่ทางยูทูบ ซึ่งก็ต้องรออีกเป็นปีกว่าที่มันจะกลายเป็นไวรัลในที่สุด “สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้เวลาโดนปฏิเสธ คืออย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว” มินบอก “อันที่จริง ผมว่าสิ่งที่ทำให้งานแสดงต่างไปจากงานสายอื่นๆ คือพอเราถูกปฏิเสธในฐานะนักแสดง มันรู้สึกเหมือนเขาปฏิเสธตัวตนเราไปด้วยเลย

“จริงๆ มันแค่ว่า บางครั้งคุณก็เหมาะกับบท และบางครั้งคุณก็ไม่ ขณะที่ในบางความรู้สึก มันเหมือนว่าตัวตนคุณนั้นโดนปฏิเสธออกมาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะยอมรับ แต่ผมว่าพอผ่านประสบการณ์แบบนี้นานๆ เข้า ผมก็เรียนรู้ได้เองว่า อย่าไปคิดเลยว่ามันเป็นเพราะตัวตนของเรา แต่เราอาจแค่ไม่เหมาะกับบทบาทที่เขากำลังมองหาอยู่เท่านั้น และก็ต้องเชื่อว่ามีบทบาทจำนวนมหาศาลอีกมากที่เหมาะสำหรับเรา”

สิ่งหนึ่งที่มินคิดว่าเป็นหนึ่งในความโชคดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขา คือการเติบโตมาท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม (Multicultural) เชอร์ริตอสเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา ครอบครัวมินเป็นหนึ่งในชุมชนชาวเอเชียเล็กๆ ของเมืองที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โรงเรียนมัธยมที่เขาเรียนก็มีนักเรียนชาวเอเชีย-อเมริกันเป็นประชากรส่วนใหญ่ ดังนั้น เขาจึงรู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลังและไม่ได้เขินอายต่อการเป็นชาวเอเชียของตัวเอง 

“ผมเคยคุยกับชาวเอเชีย-อเมริกันมากหน้าหลายตา หลายคนไม่ได้โชคดีนะครับ พวกเขาโตมากับสภาพสังคมและบรรยากาศที่ชาวเอเชียรอบตัวอับอายกับอัตลักษณ์การเป็นคนเอเชียของตัวเอง ผมโชคดีที่ไม่ได้เจออะไรแบบนั้น” เขาเล่า “สิ่งเหล่านี้แหละ ที่หล่อหลอมให้ผมได้เป็นผมอย่างทุกวันนี้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงภูมิใจกับการเป็นชาวเกาหลี-อเมริกัน ตั้งแต่ยังเล็กๆ ผมได้ยินคนพูดภาษาจีน เกาหลี และฮินดีในเมืองที่อยู่เสมอ เป็นหนึ่งในประสบการณ์วัยเด็กเลยละ เพื่อนๆ ในโรงเรียนก็มักเอากิมจิมากินกับข้าวและเกี๊ยว แล้วไม่เคยมีใครถูกล้อเลียนเพราะเรื่องนี้เลย แถมคนที่เอามาก็จะกลายเป็นเด็กที่ดูป็อปสุดๆ ของโรงเรียน เพราะมีแต่คนอยากมาขอแบ่งไปกินด้วยอีกต่างหาก”

แต่ประสบการณ์เหล่านั้นไม่ได้ลากยาวไปถึงช่วงที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงการเป็น ‘คนส่วนน้อย’ ของสังคม “เพื่อนที่มหาวิทยาลัยผมบางคนโตมากับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ทำให้พวกเขาไม่ค่อยภูมิใจกับการเป็นคนเอเชีย พวกเขาเลยไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องราวความเป็นตัวเอง เพราะที่ผ่านมาก็โดนสังคมคนขาวรอบข้างทำให้เงียบหรือไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งยังมีปัญหาเรื่องความมั่นใจและเคยเผชิญหน้ากับการโดนเหยียดเชื้อชาติมานักต่อนัก ซึ่งก็ย้ำอีกครั้งว่าผมไม่เคยได้เผชิญสถานการณ์เช่นนั้น แม้กระทั่งเมื่อได้อยู่ในสังคมที่การเป็นคนเอเชียเป็นคนส่วนน้อยและเต็มไปด้วยคนขาว แต่ผมก็มั่นอกมั่นใจในการแสดงความคิดเห็นของตัวเองเสมอ มันเป็นความมั่นใจที่ผมเติบโตมาด้วยตั้งแต่ยังเด็ก”

เช่นนี้เองที่ทำให้มินตระหนักได้ว่า บทบาทที่เขาได้รับทั้ง เบน เด็กชายผู้มีพลังวิเศษและลาลับโลกไปแล้ว หลงเหลือเพียงวิญญาณปรากฏให้ตัวละครอื่นเห็นอยู่เป็นระยะๆ ใน The Umbrella Academy รวมทั้งบทปัญญาประดิษฐ์ ผู้แสนอ่อนโยนและเป็นมิตรของครอบครัวที่มีพ่อเป็นคนขาว แม่เป็นคนดำ ลูกสาวเป็นเด็กอุปถัมภ์ชาวเอเชียอย่าง After Yang เป็นบทบาทที่เหมาะสำหรับเขาเหลือเกิน เพราะการที่เขาได้รับเลือกให้มาแสดงนั้น ย่อมหมายความว่า ไม่มีใครอื่นแล้วที่เหมาะสมกับบทนี้ไปมากกว่าเขา 

“ตอนนั้น ผมเพิ่งไปแคสต์บทซีรีส์ที่ผมรู้สึกว่ามันเหมาะสำหรับผมมากๆ แต่ก็อย่างเคย คือผมไม่ได้บทนี้” เขาบอก “แล้วก็พังยับเลย ช่วงกำลังจะขึ้นเครื่องบินเพื่อกลับบ้าน ผู้จัดการผมก็โทรศัพท์มาหา เขาบอกว่า ‘เพิ่งได้อ่านสคริปต์หนังเรื่องหนึ่ง เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยได้อ่านมาเลยละ’ แล้วเขาก็ส่งสคริปต์นั้นมาให้ผมอ่านบนเครื่อง ผมอ่านแล้วรู้สึกทะลักทลายมากเสียจนผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ผมถามว่าผมยังโอเคอยู่ไหม และทันทีที่ผมลงจากเครื่อง ผมก็ติดต่อไปยังผู้จัดการ บอกเขาว่า ‘ผมอยากเข้าร่วมกับโปรเจกต์นี้ จะต้องทำอะไรก็ขอให้บอกมาเลย’ 

“ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมมีนัดดื่มกาแฟกับโคโกนาดะ (Kogonada) ซึ่งทำผมสะเทือนไปทั้งร่างเพราะอยากได้บทนี้มาก เขาบอกผมว่างบทำหนังเรื่องนี้มีจำกัดนะ ผมยังตอบเขาไปเลยว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมนอนที่โซฟาห้องเพื่อนเอาก็ได้’ ซึ่งผมต้องไปนอนจริงๆ นะ แต่มันก็เป็นประสบการณ์การถ่ายทำที่งดงามเหลือเกิน”

และภายหลังจากการฝ่าฟันเอาตัวรอดจากอุตสาหกรรมฮอลลีวูดอันเชี่ยวกรากมาจนถึงทุกวันนี้ ในฐานะนักแสดงชาวเอเชีย-อเมริกันที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว มินกำลังจะมีบทบาทในซีรีส์ Beef ร่วมกันกับนักแสดงเชื้อสายเอเชีย-อเมริกันรุ่นพี่อย่างอาลี หว่อง (Ali Wong) และสตีเฟน ยอน (Steven Yeun) อีกด้วย

 

Tags: ,