The Dark Knight (2008) หนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เล่าถึงเมืองก็อตแธมภายใต้เงื้อมมือของโจ๊กเกอร์จนปั่นป่วนสุดขีด และฉากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินพาเหรดในงานศพใจกลางเมือง กล้องจับไปยังสีหน้าเรียบเฉยของนายตำรวจคนหนึ่งที่ยืนถือปืนไรเฟิลอยู่ข้างโจ๊กเกอร์ อีกหลายอึดใจต่อมาเมื่อความโกลาหลระเบิดตัวขึ้น โจ๊กเกอร์หายตัวไป ชายหนุ่มถูกจับขึ้นรถ สีหน้าเรียบเฉยเปลี่ยนสภาพเป็นความคลุ้มคลั่งสุดขีด
นั่นคือฉากแจ้งเกิดของ เดวิด แดสต์มัลแชน (David Dastmalchian) ในอีกไม่กี่ปีต่อมา เขาไปอยู่ในหนังฟอร์มเล็กฟอร์มใหญ่อีกหลายต่อหลายเรื่อง ส่วนมากเป็นบทสมทบที่ส่งผลสำคัญและหลายต่อหลายครั้งอาจถึงขั้น ‘ขโมยซีน’ อย่างที่ล่าสุด เขาปรากฏตัวในฐานะ ‘มนุษย์ลายจุด’ จากหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ The Suicide Squad (2021) ของผู้กำกับ เจมส์ กันน์ จนถูกพูดถึงว่าเป็นจอมขโมยซีนตัวจริง (แถมเพราะไปถ่ายหนังเรื่องนี้ เขาเลยได้อุปการะแมวมาเลี้ยงอีกด้วย!) ขณะที่ปลายปี ก็มีหนังอีกเรื่องที่แดสต์มัลแชนร่วมแสดงเตรียมลงโรงฉายอย่าง Dune (2021) หนังไซ-ไฟสุดอลังการของ เดอนีส์ วีลเนิฟ ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต และเคยถูกหยิบไปทำเป็นหนังมาแล้วเมื่อปี 1984 โดยราชาหนังเฮี้ยน เดวิด ลินช์
ก่อนหน้านั้น แดสต์มัลแชนไม่ได้เฉียดใกล้อะไรกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เขาเป็นอดีตเด็กหนุ่มติดเฮโรอีนอย่างหนักอยู่นานห้าปีเต็ม กว่าจะดั้นด้นหาทางบำบัดให้หายขาด
“ผมเสพยาทุกวันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพื่อระงับภาวะซึมเศร้าที่ต้องเจอน่ะ”
แดสต์มัลแชนเล่า ระหว่างนั้นภายใต้แรงสนับสนุนจากคุณครูสมัยมัธยม เขาก็ย้ายมาชิคาโกและลงเรียนการแสดงที่มหาวิทยาลัยเดอโปลในสภาวะที่ยังเลิกยาไม่ขาดและต้องไปเข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง (อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา เขานำประสบการณ์การติดยาของตัวเองมาเขียนบทเป็นหนังเรื่อง Animals ออกฉายปี 2014) หลังจากนั้นอีกหลายปีทีเดียวกว่าที่เขาจะถูกเรียกไปยืนอยู่ในห้องเล็กๆ ร่วมกันกับคนอีกนับร้อย เพื่อออดิชันบทที่ยังไม่มีชื่อเรียกในหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน กับโจทย์ที่ว่าเขาต้องคุกคามตัวละคร ฮาร์วีย์ เดนต์ โดยปราศจากคำพูดใดๆ โดยสิ้นเชิง
“ผมประหม่ามาก” แดสต์มัลแชนบอก “แล้วโนแลนที่ยืนถือกล้องอยู่ก็บอกแค่ว่า ‘เยี่ยมเลย แต่ขอผมลองอีกรอบนะ แต่คราวนี้ขอให้เร็วกว่านี้ ระเบิดพลังมากกว่านี้ ลองหน่อยครับ’ ผมก็ทำตามที่เขาบอก แต่ยังพยายามสื่อสารทุกอย่างผ่านดวงตาไปด้วยเพราะตั้งใจจะไม่ใช้สีหน้าหรือร่างกายเพื่อแสดงออกให้มากนัก จนเขาบอกว่า ‘เยี่ยมมาก ขอบคุณครับ’ เขาจับมือกัน แล้วผมก็จากมา”
สี่เดือนหลังจากนั้น แดสต์มัลแชนซึ่งเข้าใจว่าพลาดบทนั้นไปแล้ว ได้รับโทรศัพท์จากกองถ่าย เรียกตัวให้เขาเตรียมแสดงบทสมทบเล็กๆ เรื่อง The Dark Knight ที่นั่น ฮีธ เลดเจอร์ เจ้าของบทโจ๊กเกอร์นั่งพักเบรกดื่มกาแฟร่วมกันกับเขา ตั้งอกตั้งใจสอนวิธีถือปืนไรเฟิลให้แดสต์มัลแชนเพื่อเข้าฉากเดินพาเหรด (แดสต์มัลแชนเล่าด้วยว่า บทสนทนาหลักๆ ระหว่างเลดเจอร์กับเขาคือเรื่องครอบครัว “เขาบอกผมว่า ‘นายไม่เคยคิดว่าตัวเองพร้อมจะมีลูกหรอก จนกระทั่งนายมีลูกจนได้ ถึงตอนนั้นนายจะรู้ตัวได้เองว่าที่จริงแล้วนายพร้อมมากแค่ไหน’ ”)
อย่างไรก็ดี ฉากที่ทำให้แดสต์มัลแชนถูกกล่าวถึงอย่างมากคือฉากที่เขาต้องเผชิญหน้ากับ ฮาร์วีย์ เดนต์ (อารอน แอ็คฮาร์ต) ผู้โกรธสุดขีดจนควักปืนมาจ่อหน้าผากเขาซึ่งถูกมัดติดเก้าอี้ ตัวละครของแดสต์มัลแชนโต้กลับด้วยการจ้องหน้าทั้งที่ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความกลัว “ตอนเราถ่ายทำฉากนี้ ผมดันหัวตัวเองเข้าหาปืนที่อารอนจ่อใส่หน้า แล้วเขาก็ดันกลับ หลังถ่ายฉากนั้นจบผมมีรอยช้ำอยู่กลางหน้าผากไปอีกสองสัปดาห์ได้ โนแลนบอกว่าตอนที่สมาคมภาพยนตร์อเมริกันดูฉากนี้ตอนวัดเรตติ้งหนังก่อนออกฉาย พวกเขาออกปากถามเลยว่าพอจะลบรอยปากกระบอกปืนที่ฝังอยู่บนหน้าผากผมได้ไหม” แดสต์มัลแชนเล่า (และแน่นอนว่าโนแลนต้องหอบหนังกลับมาใช้คอมพิวเตอร์ลบรอยเจ้ากรรมบนหน้าผากของแดสต์มัลแชนจนได้)
บทนายตำรวจเล็กๆ ในหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนั้นทำให้แดสต์มัลแชนไม่ต้องหวนกลับไปทำงานประจำ เขาย้ายมายังนิวยอร์กและลอสแองเจลิส เพื่อให้สะดวกในการเดินทางไปออดิชันบทอื่นๆ ซึ่งทยอยส่งมาถึงมือเขามากมายมหาศาลหลังจาก The Dark Knight ออกฉาย แต่ถึงอย่างนั้น กว่าที่แดสต์มัลแชนจะได้ตั้งหลักในฐานะนักแสดงมีชื่อเสียงก็อีกหลายปีให้หลัง ในขวบปีแรก เขายังวนเวียนอยู่ในหนังสั้นจำนวนมาก และกินเวลาอีกหลายปีทีเดียวก่อนที่บท ‘ผู้ต้องสงสัย’ จาก Prisoners (2013) หนังทริลเลอร์ของวีลเนิฟจะตกมาถึงมือเขา และเป็นต้นธารของการร่วมงานระหว่างแดสต์มัลแชนกับวีลเนิฟในหนังลำดับต่อๆ มาทั้ง Blade Runner 2049 (2017) จนมาถึง Dune (2021)
Prisoners เล่าถึงพ่อที่ลูกสาวหายตัวไป (ฮิวจ์ แจ็กแมน) เขาจึงจ้างวานนักสืบ (เจค จิลเลนฮาล) ให้ออกตามหา โดยไม่เกี่ยงวิธีว่าจะรุนแรงหรือขัดหลักการใดๆ หรือไม่ ท่ามกลางการควานหาตัวผู้ร้ายอันมืดบอดนั้น พวกเขาก็ออกตามล่าจนถึงตัว บ็อบ (แดสต์มัลแชน) ผู้ต้องสงสัยที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางข้าวของและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของเด็ก
เช่นเดียวกันกับบทนายตำรวจในหนังของโนแลน แดสต์มัลแชนปรากฏตัวไม่เยอะนัก แต่ทุกการเคลื่อนไหวและจับจ้องของเขานั้นตราตรึงสุดขีดเสียจนนักวิจารณ์เอ่ยปากชมว่า “ขอพวกคุณที่จะไปดูหนังเรื่องนี้จงเตรียมรับมือกับการแสดงของ พอล ดาโน (หนึ่งในนักแสดงนำ) กับ เดวิด แดสต์มัลแชน ที่จะทำให้คุณนั่งไม่ติดเอาไว้ด้วย” และ “ด้วยใบหน้าแหลมเรียว ซีดเผือด เส้นผมดำขลับราวกับขนกาและนัยน์ตาด้านชาของเดวิด แดสต์มัลแชน ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูวิกลจริตมากขึ้นไปอีก”
อุปสรรคเดียวของการมารับบทนี้คือสตูดิโอที่รู้สึกว่าแดสต์มัลแชน ‘โนเนม’ เกินไปสำหรับบทซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของหนัง ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับการแสดงราวกับระเบิดปรมาณูของจิลเลนฮาล ในบทนักสืบที่เกือบจะคลุ้มคลั่งเพราะตามหาผู้ร้ายไม่ได้ ทำให้พวกเขายื่นข้อเสนอให้วีลเนิฟหานักแสดงชื่อดังกว่านี้มารับบทเป็นบ็อบ เพื่อจะพบว่าวีลเนิฟค้านหัวชนฝา ยืนกรานว่าจะอย่างไรบทนี้ก็ต้องเป็นแดสต์มัลแชนเท่านั้น
“เขาเป็นคนนักแสดงที่สร้างสรรค์เอามากๆ” วีลเนิฟบอก (แดสต์มัลแชนมาออดิชันบทบ็อบโดยแต่งตัวตรงกันข้ามกับสิ่งที่บทหนังระบุไว้ทุกอย่าง เช่น เรื่องที่ว่าบ็อบเป็นชายร่างใหญ่ไว้หนวดเครารุงรัง โดยเขาเลือกให้บ็อบดูกลืนไปกับทุกอย่างคล้ายภาพติดผนังซึ่งทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุกขนพองมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าวีลเนิฟเลือกใช้บ็อบเวอร์ชันของแดสต์มัลแชนในหนัง) “เขาดึงเอารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หรืออะไรก็ตามที่ตัวละครซ่อนไว้ออกมาได้หมดโดยไม่ทำให้มันดูจำเจด้วย ผมว่าเขาเหมือนกิ้งก่าน่ะ เป็นนักแสดงที่เกิดมาเพื่อสวมบทเป็นตัวละคร”
และแม้ว่าใน Prisoners นั้นจะเต็มไปด้วยการสาดอารมณ์ใส่กันอย่างบ้าคลั่งของพ่อผู้จวนจะหมดหวังของแจ็กแมน, นักสืบที่เครียดจนเส้นเลือดในสมองแทบแตกของจิลเลนฮาล รวมทั้งการแสดงที่กล่าวกันว่าน่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่งของ พอล ดาโน แดสต์มัลแชนก็ยังเปล่งประกาย ฝังใบหน้าและแววตาแข็งทื่อของตัวละครบ็อบลงในความทรงจำของคนดู… หนึ่งในนั้นคือ เอ็ดการ์ ไรต์ ผู้กำกับที่กำลังเดินหน้าโปรเจ็กต์หนังซูเปอร์ฮีโร่อารมณ์ดีอย่าง Ant-Man (2015)
เวลานั้น แดสต์มัลแชนกำลังง่วนอยู่กับ Animals หนังยาวเรื่องแรกที่เขาเขียนบทโดยหยิบประสบการณ์การติดยาและเข้ารับการบำบัดมาเล่า รวมทั้งแสดงนำเอง ว่าด้วยคู่ผัวเมียติดยาที่ชีวิตมาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างอนาคตกับการจมปลักอยู่ด้วยกันเช่นนี้จนตาย ปรากฏว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ที่ประสบปัญหาเรื่องเงินจนแดสต์มัลแชนต้องควักเนื้อตัวเองมาจ่ายเพิ่ม อย่างไรก็ดี ตัวหนังคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังอิสระมิดเวสต์ ส่วนที่เทศกาล SXSW แดสต์มัลแชนได้รับรางวัลพิเศษในฐานะที่กล้าหาญและเปิดใจเล่าประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง
ไม่กี่วันนับจากนั้น เขาได้รับการติดต่อจากไรต์ให้ไปออดิชันบท เคิร์ต เพื่อนบ้องตื้นของ สก็อตต์ แลง ในหนังเรื่อง Ant-Man เพราะไรต์รู้สึกว่า “เขาเล่นบทตลกได้น่า ไม่จำเป็นต้องเป็นบทดำมืดหรือคุกคามไปตลอดสักหน่อย” ส่วนแดสต์มัลแชนที่ประหม่าสุดขีดบอกแค่ว่า “เอาจริงนะ ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนตลกเลย”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลังจากนั้นไรต์จะถอนตัวออกจากโปรเจ็กต์นี้โดยให้ เพย์ตัน รีด มากำกับแทน แต่สถานการณ์ก็ไม่อลหม่านมากนัก เพราะรีดตัดสินใจให้นักแสดงหลักๆ รับบทบาทเดิมตามที่พวกเขาออดิชันเข้ามาตอนแรก แน่นอนว่ารวมถึงแดสต์มัลแชนด้วย
“ผมจำหน้าเขาได้จาก The Dark Knight” รีดบอก “ตอนนั้นผมคิดว่าหมอนี่ยังกะ แฮร์รี ดีน สเตนตัน (นักแสดงอาวุโสจาก Paris, Texas) วัยหนุ่มแหนะ เขาเท่มากเลย แล้วก็มาอีกเรื่องคือ Prisoners ที่เขาโดดเด่นเอามากๆ จากการรับบทเป็นตัวละครประหลาดนั่น”
จากระยะเวลากว่า 13 ปีนับจากการจ้องเขม็งใส่ศัตรูภายหลังโจ๊กเกอร์ทำลายขบวนพาเหรดนั้นจนย่อยยับจาก The Dark Knight มาจนถึงบทชายวิปริตที่ปะทะฝีมือกับเจค จิลเลนฮาลอย่างสมน้ำสมเนื้อใน Prisoners เรื่อยมาจนการฉีกมารับบทหนุ่มบ้องตื้นไว้ผมทรงปอมปาร์ดัวร์กับสำเนียงพูดแปลกหูใน Ant-Man น่าจับตาว่าทิศทางของ เดวิด แดสต์มัลแชน จะเป็นอย่างไรต่อไป ภายหลังจากขวบปีแห่งความสำเร็จหลัง The Suicide Squad และ Dune ออกฉายเช่นนี้
Tags: Screen and Sound, The Dark Knight, Dune 2021, คริสโตเฟอร์ โนแลน, เดวิด แดสต์มัลแชน, โจ๊กเกอร์