***บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Beau Is Afraid (2023)***

สิ่งที่ทำให้ อาริ แอสเตอร์ (Ari Aster) กลายเป็นผู้กำกับสยองขวัญรุ่นใหม่ที่น่าจับตามากที่สุดคนหนึ่ง  คือการหยิบจับ ‘ความหลอน’ อันเป็นเรื่องสามัญที่เกิดขึ้นในชีวิตทั่วไป มาชำแหละและทำให้กลายเป็น ‘ความกลัว’ ที่ผู้คนร่วมรับรู้ได้ด้วยกัน

แอสเตอร์แจ้งเกิดจาก Hereditary (2018) หนังสยองขวัญทุนสร้าง 10 ล้านเหรียญฯ (ที่ทำรายได้มากกว่าทุนหลายเท่าตัวสูงถึง 82 ล้านเหรียญฯ) ว่าด้วยเรื่องบาดแผลความสัมพันธ์และโศกนาฏกรรมในครอบครัว, Midsommar (2019) หนังเฮี้ยนหลอนของคู่รักกับคัลต์สุดสยองตามขนบชาวสวีเดน และหนังยาวลำดับล่าสุดอย่าง Beau Is Afraid (2023) จับจ้องไปยังความวิตกกังวลชวนเสียสติของชายคนหนึ่งกับภารกิจเดินทางไปหาแม่

ดูเผินๆ ประเด็นหนังทั้งสามเรื่องของแอสเตอร์นั้นอาจดูกระจัดกระจาย หากแต่เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่ามันมุ่งสำรวจสภาพจิตใจอันเปราะบางของมนุษย์ ผ่านหญิงผู้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวกับลูกชายที่ต้องเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ไม่ลงรอยระหว่างเขากับแม่ หรือเด็กสาวที่ชีวิตกำลังสั่นคลอน ซ้ำร้ายด้วยเหตุรุนแรงในบ้าน ไล่เรื่อยมาจนถึงชายที่ใช้ชีวิตกับบาดแผลฝังใจตั้งแต่เล็กจนโต

Beau Is Afraid ดัดแปลงมาจาก Beau (2011) หนังสั้นความยาวเจ็ดนาทีเรื่องก่อนของแอสเตอร์ ว่าด้วยเรื่องชายคนหนึ่งที่ตั้งใจจะไปหาแม่ แต่กุญแจห้องกลับหายไปอย่างลึกลับจนเขาออกเดินทางไม่ได้ และจากความยาวเจ็ดนาทีนั้น แอสเตอร์นำมันมาขยายเป็นหนังยาวสามชั่วโมง (ซึ่งถือว่ายาวที่สุดในบรรดาหนังทั้งสามเรื่องของแอสเตอร์) ผ่านตัวละคร โบ (ฮัวคีน ฟีนิกซ์) ชายวัยกลางคนที่ตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลขั้นรุนแรงจนต้องเข้าพบจิตแพทย์ และระยะหลัง สิ่งที่รบกวนจิตใจโบคือเรื่องที่ว่า เขาต้องออกเดินทางไปหาแม่ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่งในวาระวันครบรอบวันตายของพ่อ และความคิดต่อต้านจะไปพบหน้าแม่ตัวเองทำให้เขารู้สึกผิดบาป

เพราะโดยทั่วไป ลูกไม่ควรรู้สึกแย่ที่ต้องเจอแม่ซึ่งนานทีปีหนจะได้เจอ กระนั้นจิตแพทย์ก็บอกให้เขาสงบจิตสงบใจ พร้อมจ่ายยาตัวใหม่ให้และกำชับว่าเขาต้องดื่มน้ำตามทันทีที่กินยา

กล้องเลื้อยไล่ตามการเดินทางของโบจากห้องจิตแพทย์ไปยังที่พักของเขา เมืองที่โบอยู่นั้นเต็มไปด้วยอาชญากรรมและความโกลาหล ภายในหนึ่งฉากมีทั้งคนที่เต้นรำ คนที่เข้าไปชิงทรัพย์ คนที่กำลังชกต่อยกัน หรือคนที่ฆาตกรรมคนอื่น ตลอดจนศพใครสักคนกองอยู่กลางถนน โบต้องตะลุยแทบจะแลกชีวิตเพื่อกลับเข้าห้องพักในอพาร์ตเมนต์โทรมๆ คืนนั้นเขาตั้งใจเข้านอนโดยเร็วเพื่อจะตื่นเช้าไปขึ้นเครื่องบินและออกเดินทางไปหาแม่ ทว่ากลางดึกกลับมีคนร้องเรียนว่าเขาเปิดเพลงเสียงดังจนทำให้คนทั้งอพาร์ตเมนต์ไม่ได้นอน แม้ว่าโบจะไม่ได้ส่งเสียงใดๆ (?) มิหนำซ้ำ เพื่อนร่วมชั้นเจ้ากรรมยังเป็นฝ่ายเปิดเพลงระเบิดลำโพงดังสนั่นเสียจนเขานอนไม่หลับ และลงเอยด้วยการตื่นสายจนเสี่ยงจะตกเครื่อง ครั้นกุลีกุจอเก็บของจะออกจากห้อง กุญแจก็ดันหายไปดื้อๆ โบจึงต้องโทรศัพท์ไปบอกแม่ว่าเขากำลังจะตกเครื่องและอาจไปหาเธอไม่ได้ แถมเรื่องยังไปไกลกว่านั้นเมื่อไม่กี่นาทีต่อมา เขาได้รับรายงานว่าแม่ประสบอุบัติเหตุจากไปแล้ว แผนการเดินทางที่ว่าด้วยการไปหาแม่ในวันครบรอบวันตายของพ่อ จึงต้องเปลี่ยนมาเป็นการไปงานศพแม่แทน

และนี่คือสิ่งที่ Beau Is Afraid กำลังเล่า กล่าวคือมันแค่พูดถึงการที่ลูกชายคนหนึ่งไม่อยากเดินทางไปเจอแม่ และ ‘สร้างเรื่อง’ อลหม่านในหัวตัวเองเพื่อไม่ต้องไปเจอเธอ

 

เราอาจแบ่งหนังออกเป็นสี่ช่วงกว้างๆ คือช่วงแรกที่หนังแนะนำให้คนดูรู้จักกับโบผู้มีภาวะวิตกกังวลอย่างรุนแรง อาศัยอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ช่วงที่สองคือเมื่อจู่ๆ เขาก็ได้มาอยู่ในบ้านของผัวเมียคู่หนึ่งที่ดูแลเขาดีราวกับลูกชายอีกคน แม้ว่าลูกสาวของทั้งสองจะไม่ชอบหน้าเขานักก็ตาม ช่วงที่สามคือเมื่อเขาเข้าป่าและหลุดเข้าไปในห้วงจินตนาการ จนถึงช่วงที่สี่คือเมื่อเขาเผชิญหน้ากับแม่และรื้อสางปมในใจของตัวเอง

หนังจับจ้องไปยังความสัมพันธ์เปราะบางระหว่างโบกับแม่ อันเป็นสิ่งที่หนังเล่าตั้งแต่เริ่มเรื่อง เมื่อเขาเปิดอกสนทนากับจิตแพทย์ว่าเขารู้สึกไม่สบายใจนักที่ต้องออกเดินทางไปหาแม่ และหนังก็ค่อยๆ ลัดเลาะตะเข็บชีวิตของโบผ่านจินตนาการหรือเรื่องเล่าที่ตกค้างอยู่ในเนื้อตัวเขา เป็นต้นว่า แม่บอกโบว่าพ่อของเขาตายขณะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ (และยังส่งผลให้เธอตั้งครรภ์ ก่อนจะคลอดออกมาเป็นเขานี่เอง) การถึงจุดสุดยอดคือคำสาปของผู้ชายในตระกูลนี้ โบจึงไม่กล้าแม้แต่จะฝันเฟื่องถึงใคร อัณฑะของเขาบวมเป่งเนื่องจากไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหลั่งมาทั้งชีวิต (และหนังก็ฉายให้เห็นอัณฑะของเขาผ่านตาเร็วๆ หลายฉาก–ทั้งยังมีตัวละครทักเรื่องขนาดอัณฑะของเขาด้วยความเป็นห่วง) จะมีก็เพียงรักแรกซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสมัยเขายังวัยรุ่น เมื่อโบในวัยแตกหนุ่ม (แสดงโดย อาร์เมน นาฮาเพเชียน) ตกหลุมรัก เอเลน เด็กสาวที่เขาเจอระหว่างออกท่องเที่ยวกับแม่ ทว่าแม่ก็ดูไม่ชอบใจอีกฝ่ายนัก

หากพิจารณาจากหนังสองเรื่องก่อนหน้าของแอสเตอร์ ดูเหมือนเขายังมีน้ำเสียงของการเป็นหนังสยองขวัญเข้มข้นอยู่ แต่สำหรับ Beau Is Afraid คือการสลับโหมดหนังมาสู่คอเมดี้ที่เขาปล่อยตัวปล่อยใจในการกำกับสุดขีด กล่าวคือมันขึ้นสุดและลงสุด แอสเตอร์เขย่าโยนตัวละครให้เผชิญหน้าชะตากรรมชวนเสียสติพอๆ กับที่เขาก็เขย่าโยนคนดูอยู่ในกล่องกระจกแห่งความเหวอแตก เมื่อถึงจุดหักมุมที่อยู่ๆ แม่ของโบที่น่าจะเสียชีวิตไปแล้วปรากฏตัวขึ้นมาในบ้านหลังงาม และกล่าวโทษเขาที่ทำเป็นสร้างเรื่องว่าตื่นสาย ว่าทำกุญแจหายเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเจอเธอ ทั้งยังเรียกร้องให้เธอเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อผู้จากไปอีกต่างหาก นับตั้งแต่นาทีที่เผชิญหน้ากัน โบจึงต้องทนทุกข์อยู่กับแม่ที่พูดจาเชือดเฉือนเขาไม่หยุด มิหนำซ้ำ ยังกระชากลากถูเขาไปเจอกับความลับใหญ่ของชีวิตอย่าง ‘พ่อแท้ๆ’ ที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้หลังคา ว่าแท้จริงแล้วนอกจากพ่อจะยังไม่ตาย แต่พ่อยังเป็นไอ้จ้อนยักษ์หน้าตาอัปลักษณ์จอมอาละวาดด้วย

หากจะขยายความให้ชัด หนังทั้งเรื่องมิใช่อะไรอื่นนอกจากการเล่าชะตากรรมอันรันทดของชายวัยกลางคนที่ไม่เคยได้เป็นตัวเอง ทั้งยังถูกแม่ควบคุมและบงการมาตลอดหลายสิบปี ซึ่งหากพล็อตเรื่องเช่นนี้ตกไปอยู่ในมือผู้กำกับคนอื่น มันอาจกลายเป็นหนังดราม่าเสียดแทงหัวใจ แต่เมื่อมันมาอยู่ในมือแอสเตอร์ มันจึงกลายเป็นหนังคอเมดี้ตลกร้าย ปะปนไปกับความหลอนเฮี้ยนที่เกิดขึ้นในหัวของตัวละคร ผ่านการปะทะระหว่างแม่กับลูก 

หากพินิจอย่างใกล้ชิด แม่ของเขาคือกำแพงสูงตระหง่านในชีวิตของโบ เธอร่ำรวย มากความสามารถ และได้รับการยอมรับนับหน้าถือตาเป็นวงกว้าง เทียบกันกับเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กแคบ เต็มไปด้วยความรุนแรง ความสำเร็จของแม่จึงบดบังและทำให้โบยิ่งรู้สึกตัวเล็กจ้อย ความเป็นชายของเขาหดแคบอยู่ภายใต้ความสำเร็จอันแสนมืดทะมึนของแม่ แม่ผู้ปลูกฝังเรื่องความ ‘ร้ายกาจ’ ของเด็กสาวไว้เมื่อเห็นว่าเขาสนใจเอเลน แม่ที่หวังยึดโยงให้เขาอยู่ในสายตาเสมอราวกับเขาเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง และก็เป็นแม่ที่พร่ำบอกเรื่องความอันตรายของการถึงจุดสุดยอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ 

สิ่งที่น่าคิดคือ เป็นไปได้ว่าโบปรารถนาจะมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ภาพฝันที่กินเวลาหนึ่งในสี่ของหนังทั้งเรื่องว่าด้วยการเดินทางของเขาสู่การลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว มีลูกสามคน (ทั้งยังเป็นผู้ชายทั้งหมด) มีชีวิตในแบบที่เขาคิดว่ามนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งน่าจะเป็น 

และแม้แต่ในจินตนาการอันฝันเฟื่องของโบ อันเป็นพื้นที่ส่วนตัวและไม่มีคนนอกอื่นใดเข้ามาได้ เช่นเดียวกับเวลาที่เราฝันกลางวัน ภาพหลอนของแม่ก็ยังเข้ามาควบคุม ครอบครัวในจินตนาการของโบต้องพลัดพราก เขาต้องออกตามหานานหลายปีจนร่างกายแก่ชรา เพื่อจะพบว่าการถูก ‘ปลุกให้ตื่น’ ขึ้นจากฝันนั้นคือการถูกลูกชายทั้งสามถามถึงแม่ (ในทางกลับกัน โบในชีวิตจริงเฝ้าถามแม่ถึงตัวตนของพ่อเสมอมา) และทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขาไม่อาจมีลูกได้ เนื่องจากไม่ค่อยปล่อยให้ตัวเองหลั่งออกมาเลย 

Beau Is Afraid จึงไต่เลาะเรื่องปมทางเพศด้วยท่าทีเซอร์แตก จับจ้องไปยังเรื่องของคนที่ถูกแม่บดขยี้ชีวิตและภาพฝันตั้งแต่เด็กจนโตมาใช้ชีวิตลำบาก ขณะเดียวกันก็เป็นกระจกสะท้อนความบิดเบี้ยวของตัวแม่ด้วยเช่นกัน เมื่อเธอเองก็ดูจะตกเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรง หรือแบกรับความกดดันจากผู้เป็นยายของโบมาตั้งแต่เด็กๆ จนเอาเข้าจริงๆ แล้ว สิ่งที่เป็นกรรมพันธุ์ส่งต่อกันในครอบครัว หาใช่คำสาปที่ว่าด้วยการหลั่งจะนำมาสู่ความตายแต่อย่างใด หากแต่เป็นความเป็นพิษจากการเลี้ยงดู ที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นต่างหาก

องก์สุดท้ายของหนังอุทิศเวลาหลายสิบนาที เล่าเรื่องโบที่คิดว่าตัวเองเป็นอิสระได้เสียที แต่แล้วเขากลับพบว่าตัวเองติดกับอยู่ในสเตเดียมน้ำขนาดยักษ์ ที่มีผู้ชมเฝ้ามองหลายร้อยชีวิตในลักษณาการเดียวกันกับ The Truman Show (1998) และเห็นได้ชัดว่าแอสเตอร์เลือกจะไม่เบาไม้เบามือกับตัวละครอีกต่อไปแล้วเพราะหนังประโคมให้โบตกอยู่ในชะตากรรมอันรันทด ด้วยการถูกบีบให้ต้องพูด ‘ความในใจ’ อันเป็นสิ่งที่จิตแพทย์พยายามให้โบพูดตั้งแต่ต้นเรื่อง ถึงปัญหาที่ทำให้เขาวิตกกังวลเมื่อจะต้องเดินทางไปหาแม่ ตลอดครึ่งชั่วโมงที่เหลือ เราต่างได้ดูเรื่องราวที่โบ (และแม่) เก็บงำมาโดยตลอด ทั้งเรื่องที่เขาพลัดหลงกับเธอในห้างสรรพสินค้า และเขาเลือกจะเฝ้ามองเธอกระวนกระวายใจอยู่เงียบๆ ไปจนถึงเรื่องที่เขาพาเพื่อนมารื้อชุดชั้นในของแม่ถึงในบ้าน (ที่ก็กลายเป็นอีกปมที่ว่าด้วยแม่กับเรื่องเพศอีกชั้นหนึ่ง) ความลับของโบถูกนำมาขยายใหญ่ เราต่างได้เห็นเขาตกอยู่ในสภาพจนตรอกและตื่นกลัวสุดชีวิต เพียงเพื่อที่สุดท้ายแม่กับคนดูจะได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจเขามาโดยตลอด และเป็นต้นธารของความอลหม่านตลอดสามชั่วโมงนี้

ว่าเขาไม่อยากไปเจอแม่

Beau Is Afraid จึงว่าด้วยปมวัยเด็กของชายคนหนึ่ง ที่แอสเตอร์เลือกจะเล่าด้วยน้ำเสียงคอเมดี้จนสุดทาง อย่างไรก็ดี น่าเสียดายเหลือเกินที่หนังทิ้งความบ้าระห่ำแบบหนังแอ็กชันขององก์แรกไป แล้วปล่อยให้คนดูพินิจความเพ้อหลอนของตัวละครโบ (และการแสดงระดับเทพของฟีนิกซ์) อยู่เพียงอย่างเดียว และหากวัดจากหนังเรื่องก่อนๆ ของแอสเตอร์ เข้าใจว่า Beau Is Afraid น่าจะเป็นหนังที่เขาทำตามใจมากที่สุด ปล่อยของออกมาเยอะที่สุด จนน่าจับตาว่าหลังจากนี้ไปเขาจะปล่อยหมัดเด็ดอะไรออกมาอีก