***Trigger Warning: ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาความรุนแรง การตาย ภาพศพ โรคจิตเวช และบทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง
จะเป็นอย่างไรเมื่อหนังสยองขวัญเล่าผ่านตัวละครนำที่ป่วยด้วยโรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) ในภาพยนตร์ความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ผ่านเรื่องราวการเดินทางกลับบ้านที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์เซอร์เรียลสั่นประสาท
เรื่อง Beau Is Afraid หรือชื่อไทย โบอย่าไปกลัว ผลงานกำกับล่าสุดจาก อาริ แอสเตอร์ (Ari Aster) ผู้กำกับแนวสยองขวัญสุดเซอร์เรียลแห่งยุคนี้ เล่าเรื่องราวการเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ของ ‘โบ วาสเซอร์แมนน์’ (Beau Wassermann) รับบทโดย วาคีน ฟินิกซ์ (Joaquin Phoenix) ชายวัยกลางคน ผู้ป่วยโรควิตกกังวล ที่เขย่าโสตประสาทตั้งแต่คืนก่อนเดินทาง
หนังเริ่มด้วยการเล่าอาการป่วยทางจิตเวชของโบ ในฉากที่เขารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ ด้วยคำถามที่ว่า ‘รู้สึกอย่างไรที่ต้องไปหาแม่พรุ่งนี้’ กับ ‘เคยอยากให้แม่ตายไหม’
พอเดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างโบกับแม่ไม่ได้ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น และอาจเป็นต้นเหตุของโรควิตกกังวลที่เขากำลังเผชิญ จากนั้นหนังได้ฉายภาพชีวิตของโบที่แยกตัวออกมาอยู่ลำพังในอะพาร์ตเมนต์ซอมซ่อย่านเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยพวกขี้ยาและคนสติไม่สมประดีราวกับไม่ใช่มนุษย์ สภาพแวดล้อมที่พร้อมจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ทั้งกลุ่มคนที่เดาความคิดและการกระทำไม่ได้ กับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ดูอย่างไรก็ขัดแย้งกับอาการวิตกกังวลของโบที่ควรหลีกหนีให้ไกล ไม่ควรไปอยู่ที่นั่น
เหตุการณ์วายป่วงเกิดขึ้นจริงในคืนนั้นเอง และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออะพาร์ตเมนต์ที่เป็นเสมือนหลุมหลบภัยถูกบุกรุกจากพวกขี้ยาที่เหมือนซอมบี้นับสิบ ด้วยเหตุการณ์บรรลัยเกินบรรยายทำให้เขาไม่สามารถไปขึ้นเครื่องบินได้ทัน ซ้ำร้ายยังได้รับข่าวว่าแม่ของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
จากแพลนการเดินทางกลับไปเยี่ยมแม่ กลายเป็นการเดินทางไปงานศพของแม่แทน และเป็นเพียงจุดสตาร์ทการออกวิ่งมาราธอนตะลุยฝ่า ‘ความกลัวของโบ’ เท่านั้น เพราะระหว่างทางกลับบ้านเต็มไปด้วยเรื่องราวเฉียดตาย ทั้งการประสบอุบัติเหตุรถชน โดนทำร้ายร่างกาย แล้วตื่นมาในบ้านของครอบครัวประหลาด โดนไล่ฆ่าอีกครั้ง และวิ่งหนีตายไปจนเจอคณะละครเร่ในป่า
ความกลัวถูกลงโทษในสิ่งตนเองไม่ได้ผิด เกิดขึ้นตอนที่โบฟื้นขึ้นมาในบ้านของครอบครัวหมอ แม้สามีภรรยาบ้านนี้จะปฏิบัติกับโบเหมือนลูกชายคนหนึ่ง แทนที่ลูกชายผู้เสียชีวิตในสงคราม ซึ่งดูเหมือนโบอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของบ้านเสียด้วยซ้ำ โบเองก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของคนในบ้าน และรบเร้าให้ครอบครัวนั้นปล่อยเขากลับบ้านไปงานศพแม่เสียที แต่ก็เกิดเหตุสุดวิสัยต่างๆ นานา จนไม่สามารถไปส่งโบกลับบ้านได้
จนกระทั่งเกิดโศกนาฏกรรมที่ลูกสาวคนเล็กฆ่าตัวตาย แม่ของเด็กที่เคยใจดีกับโบก็โกรธเกรี้ยวโทษว่าเป็นความผิดของโบ และโบก็ถูกไล่ฆ่าจากนักฆ่าของครอบครัวนั้น
ความกลัวสุดขีดทำให้โบวิ่งหนีตายเข้าป่า และเจอกับหญิงสาวตั้งครรภ์จากคณะละครเร่ของเด็กกำพร้าที่เปิดการแสดงในป่า เธอได้ชักชวนให้โบมานั่งดูละครเวทีคืนนี้ แม้มันผิดที่ผิดทาง แต่ในพาร์ตนี้เหมือนหนังจะผ่อนคลายลงนิดหน่อย ซึ่งบทละครเวทีนั้นคล้ายกับชีวิตของโบมาก อันที่จริงมันคือการพาเข้าไปสำรวจความหวังและความฝัน ความต้องการในชีวิตของโบหากปราศจากความกลัวใดๆ มันแสนธรรมดาสามัญ ทั้งการมีงานทำเลี้ยงชีพ สร้างบ้านเล็กๆ สักหลัง มีครอบครัว มีภรรยา และลูกชาย 3 คน
ความกลัวตายของโบไม่ใช่แค่การถูกไล่ล่า แต่ยังมีโรคภัยที่ถูกส่งต่อมาจากพันธุกรรม คือการมีเซ็กซ์แล้วจะต้องตาย การสำเร็จความใคร่ครั้งแรกและครั้งเดียวของชีวิต ทำให้พ่อและปู่ของโบตายคาอกภรรยา ทิ้งไว้เพียงอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุด และนี่เป็นเหตุผลที่โบไม่เคยมีเซ็กซ์เลยสักครั้งจนอายุเกือบ 50 ปี
แต่ความกลัวตายขณะมีเซ็กซ์ก็ได้คลี่คลายลงเมื่อเขาได้พบผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขา และหลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมรักกัน โบก็ยังอยู่รอดปลอดภัย
เราทุกคนมีความกลัวแตกต่างกัน ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งไม่ต้องการประสบพบเจอ ระหว่างทางกลับบ้านของโบ คือการเผชิญหน้ากับความกลัวในใจที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป สถานการณ์ของโบทั้งเรื่องจึงไม่ใช่การวิ่งหนีความกลัว แต่เป็นการวิ่งเพื่อเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง และก้าวข้ามมันไปให้ได้สักที
ในบรรดาความกลัวทั้งหมดที่โบต้องเจอระหว่างทางกลับบ้าน สุดท้ายนำไปสู่ความกลัวที่ลึกในใจโบคือ ‘กลัวแม่ผู้ให้กำเนิด’
เมื่อโบกลับมาถึงบ้าน และพบว่าแม่ยังไม่ตาย แต่เป็นเพียงการจัดฉากเพื่อหลอกล่อให้โบกลับบ้านเท่านั้น เหตุการณ์เลวร้ายที่วิ่งหนีมาทั้งหมดจึงเป็นแค่ครึ่งทางของการวิ่งมาราธอนเท่านั้น เพราะแม่ของโบนี่แหละคือลาสต์บอส (Last Boss) ของภาพยนตร์เรื่องนี้
วิ่งหนีความกลัวเพื่อกลับบ้าน แต่บ้านเป็นสถานที่ที่เคยวิ่งหนีออกมา
เรามักจะเห็นเรื่องวัยรุ่นมีปัญหาไม่ลงรอยกับพ่อแม่ถูกเล่าผ่านภาพยนตร์ ซึ่งหลายเรื่องในตอนสุดท้ายจะจบด้วยการคืนดีกัน กลับมาสมานฉันท์กันในที่สุด ไม่ค่อยเห็นหนังที่เล่าถึงปัญหาของลูกชายวัยกลางคนที่เลยวัยต่อต้านมานานโข มีปัญหากับแม่วัย 70 ปี เปรียบเหมือนแผลเรื้อรังไม่ยอมตกสะเก็ด เพราะอายุไม่ใช่ยารักษาความป่วยไข้ในใจ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร ปมในวัยเยาว์จากครอบครัวจะอยู่กับคุณจนแก่เฒ่า และอาจไม่ปลดล็อกตลอดกาล
เมื่อความสัมพันธ์แม่ลูกเป็น Toxic Relationship จนเกิดอาการป่วยทางจิตเวช คำแนะนำที่ว่าให้ตัดคนท็อกซิกออกจากชีวิตแล้วสุขภาพจิตจะดีขึ้น คงใช้ไม่ได้กับโบ โดยเฉพาะความกลัวทั้งหลายแหล่ ต้นตออาการวิตกกังวลของโบเกิดจากการพูดขู่ขวัญของแม่ ผู้เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา ทีนี้จะทำอย่างไรในเมื่อสิ่งเร้าคือสายใยสัมพันธ์ที่ตัดให้ขาดถาวรไม่ได้
Joaquin PhoenixAnxietyนังจึงพาให้คิดวกกลับไปสู่คำถามของจิตแพทย์ที่ถามโบว่า ‘เคยอยากให้แม่ตายไหม’
โดยเฉพาะในฉากท้ายเรื่อง การถูกพิพากษาของโบ ที่ตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ในครอบครัวว่า สิ่งที่โบกระทำต่อแม่ ต้องได้รับการลงโทษหนักหนาหรือไม่ และสิ่งที่แม่กระทำต่อโบมาตลอดชีวิต ต้องได้รับการพิพากษาด้วยหรือเปล่า
สำหรับจุดพีกของภาพยนตร์เรื่องนี้ กราฟความพีกทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกาต้มน้ำที่ถูกทิ้งไว้บนเตาแก๊ส น้ำในกาถึงจุดเดือดที่ 100 องศา ความร้อนปะทุขึ้นจนแก๊สระเบิด และในที่สุดก็เกิดไฟไหม้ เผาบ้านทั้งหลังให้วอดลงไป
แม้สถานการณ์ในเรื่องจะขับเคลื่อนด้วยความเซอร์เรียล คาดเดาได้ยาก และไม่สมเหตุสมผล
แต่ Beau Is Afraid ทำให้ผู้เขียนนึกถึงวงล้อแห่งอารมณ์ (The wheel of emotions) ที่ใช้จำแนกอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อนของมนุษย์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวละครโบ ถูกผลักดันด้วยอารมณ์กลัว (Fearful) แต่ไม่ได้มีแค่ความกลัวทื่อๆ ยังสามารถแบ่งเฉดของความกลัวที่โบรู้สึกได้มากกว่านั้น ทั้งความรู้สึกกังวล (Anxious) รู้สึกไม่ปลอดภัย (Insecure) ถูกคุกคาม (Threatened) รวมถึงความรู้สึกผิด (Guity) ซึ่งสามารถสัมผัสบรรยากาศความกลัวเหล่านี้ได้ตลอดเกือบ 3 ชั่วโมง
Fact Box
- คือผู้กำกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญ เซอร์เรียล เจ้าของผลงาน Hereditary (2018) และ Midsommar (2019) เทศกาลสยองที่เล่าเรื่องหมู่บ้านประหลาดด้วยโทนสีสดใส ขัดแย้งกับความหลอน
- วาคีน ฟินิกซ์ (Joaquin Phoenix) ผู้รับบท โบ เคยได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากบท โจ๊กเกอร์ ในเรื่อง Joker (2019)
- Beau Is Afraid ในช่วงกลางเรื่องที่โบได้นั่งดูละครเวทีของคณะละครเร่ในป่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การเล่าเรื่องด้วยภาพการ์ตูน เพื่อเล่าพาร์ตนี้ให้เหมือนนิทาน