ในประเทศที่มีประวัติศาสตร์การเมืองที่เปื้อนเลือด ความทรงจำอาจเป็นภัย กฎหมายจึงถูกนำมาใช้ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรม แต่เพื่อปิดบังความจริง
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่แม้จะเผชิญเหตุการณ์ความรุนแรงซ้ำซากจากรัฐมายาวนาน แต่กลับไม่มีความพยายามอย่างจริงจังในการเผชิญหน้ากับอดีต เราไม่มีการไต่สวนผู้กระทำผิด ไม่มีการเปิดเผยข้อเท็จจริง ไม่มีการเยียวยาเหยื่ออย่างเป็นระบบ และที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่มี ‘เจตจำนง’ ในการจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
ลองทบทวนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พฤษภาทมิฬ 2535 ตากใบ 2547 หรือการสลายการชุมนุมปี 2553 ไม่เพียงผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับร้อยนับพันไม่เคยได้รับความยุติธรรม แต่สังคมไทยยังถูกออกแบบให้ ‘ลืม’ เหตุการณ์เหล่านี้อย่างเป็นระบบ ผ่านกระบวนการที่กฎหมายและรัฐทำงานร่วมกันอย่างเงียบเชียบและทรงพลัง
เราลืมเพราะอยากลืม หรือเพราะระบบกฎหมายทำให้เราลืมได้อย่างสบายใจ
หากถามว่าเหตุใดประเทศไทยจึงไม่สามารถเผชิญหน้ากับอดีตได้ คำตอบหนึ่งที่มักถูกหยิบยกคือ ‘เพื่อความสงบสุข’ หรือ ‘เพื่อความปรองดองของชาติ’ แต่น่าเศร้าที่ความปรองดองที่ว่านั้นกลับตั้งอยู่บนการปิดปากเหยื่อ ไม่ใช่การทำให้ผู้กระทำผิดรับผิดชอบ
ในประเทศที่ผ่านเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง หลายแห่งเลือกใช้ ‘ความยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน’ (Transitional Justice) เพื่อสานรอยร้าวในอดีตให้กลายเป็นบทเรียนร่วมกัน ทั้งในแอฟริกาใต้ที่ตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงและให้อภัย ชิลีที่นำตัวผู้นำทหารขึ้นศาล ไปจนถึงเกาหลีใต้ที่ปฏิรูประบบความมั่นคงหลังยุคทหาร แต่ประเทศไทยไม่เคยยอมรับหลักการนี้อย่างจริงจัง แม้จะมีความพยายาม เช่น คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) ที่จัดตั้งขึ้นหลังปี 2553 รายงานของ คอป.ยืนยันชัดว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนในการใช้กำลังเกินกว่าเหตุต่อประชาชน และเสนอให้มีการปฏิรูปกองทัพและตำรวจ 1 แต่รายงานดังกล่าวไม่เคยถูกใช้เป็นนโยบายรัฐ ไม่มีการดำเนินคดี และไม่มีการเยียวยาตามข้อเสนอ
กรณีนี้จึงไม่ใช่ความล้มเหลวจาก ‘ช่องว่างทางกฎหมาย’ หากแต่เป็นการ ‘เลือกใช้กฎหมาย’ อย่างมีเป้าหมายเพื่อกลบฝังความจริงและปิดทางไม่ให้เกิดความรับผิดใดๆ ต่ออาชญากรรมที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง กฎหมายจึงไม่ใช่เครื่องมือกลางที่สร้างความยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับกลายเป็นอาวุธในมือของผู้มีอำนาจที่สามารถตีความและบังคับใช้ตามอำเภอใจ เลือกว่าจะใช้กฎหมายฉบับใด กับใคร และในสถานการณ์แบบไหน การไม่เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่สลายการชุมนุม การออกคำสั่งให้คดีบางประเภท ‘ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม’ หรือการให้เอกสิทธิ์กับผู้กระทำความผิดโดยอ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ล้วนเป็นการบ่งชี้ว่า กฎหมายไม่ได้ล้มเหลวเพราะเขียนไว้ไม่ดี แต่ล้มเหลวเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาโครงสร้างดังกล่าวเอาไว้
การเลือกใช้กฎหมายจึงไม่ใช่แค่การบริหารประเทศเชิงเทคนิคของรัฐ แต่คือการตัดสินใจอันเป็นการบริหารเชิงอำนาจ ที่สะท้อนความลำเอียงในโครงสร้างการเมืองไทย เราจึงไม่อาจพูดได้ว่าประเทศนี้ ‘ขาดกฎหมาย’ หรือ ‘กฎหมายไม่เข้มแข็ง’ ตรงกันข้าม เรามีกฎหมายมากมายที่ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุม แต่กลับใช้เพื่อควบคุม คุกคาม และทำให้ฝ่ายที่ตั้งคำถามกับรัฐกลายเป็นผู้กระทำผิด ขณะที่ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน กลับถูกกันไว้บนแท่นแห่งความชอบธรรม โดยไม่ต้องตอบคำถามใดๆ ต่อสาธารณะ นี่ไม่ใช่ความบกพร่องโดยบังเอิญ แต่คือกระบวนการกลบเกลื่อนความจริงที่ถูกทำซ้ำอย่างเป็นระบบ และกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้ความอยุติธรรมดำรงอยู่ได้โดยไร้เสียงโต้แย้ง
ในประเทศนี้ การนิรโทษกรรมกลายเป็นพิธีกรรมมากกว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรม
นอกจากการปิดกั้นข้อเท็จจริง รัฐไทยยังมีวัฒนธรรม ‘นิรโทษกรรมลอยนวล’ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่ปี 2519 จนถึงยุค คสช. ผู้ที่อยู่ฝ่ายรัฐหรือกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองมักรอดพ้นจากความรับผิดด้วยกลไกกฎหมาย เช่น การตรากฎหมายย้อนหลัง การอ้างอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องรับผิดทางกฎหมายหากอ้างว่า “ทำโดยสุจริต”
แม้แต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3768/2546 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็สะท้อน`แนวคิดดังกล่าว เมื่อศาลเห็นว่าการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธยิงใส่ประชาชน ไม่ได้ถือว่ามีเจตนาฆ่า เพราะเป็นการ ‘ปฏิบัติตามคำสั่ง’ ของผู้บังคับบัญชา การนิรโทษกรรมในบริบทไทยจึงไม่ได้เกิดจากความเข้าใจในหลักการสมานฉันท์ แต่เป็นเครื่องมือปกป้องผู้มีอำนาจโดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ และเมื่อรัฐออกแบบให้ ‘ไม่มีใครผิด’ กฎหมายย่อมหมดความหมาย เพราะมันไม่ได้ถูกใช้เพื่อจัดระเบียบความเป็นธรรม แต่ถูกใช้เพื่อยืดอายุของความไม่เป็นธรรมต่อไป และสะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจที่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบผ่านกลไกกฎหมาย เพื่อปกป้องผู้กระทำผิดในนามของรัฐ แทนที่จะใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรมและเยียวยาผู้เสียหาย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การใช้กฎหมายในลักษณะเลือกปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองได้เพิ่มจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีที่มิได้ใช้ความรุนแรง แต่กลับต้องเผชิญข้อกล่าวหาร้ายแรง เช่น มาตรา 112 และ 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ตัวอย่างเช่น กรณีของเยาวชนและนักกิจกรรมที่เข้าร่วมการชุมนุมช่วงปี 2563-2565 ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1,800 รายที่ถูกดำเนินคดีตามข้อมูลขององค์กรภาคประชาสังคม สถานการณ์เช่นนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสังคมว่า การนิรโทษกรรมสามารถเป็นกลไกในการ ‘คืนความเป็นธรรม’ ให้แก่พลเมืองได้หรือไม่
กรณีแคมเปญ ‘Free Ratsadon’ ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวและยกเลิกคดีแก่ผู้ชุมนุมทางการเมือง เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการเสนอใช้แนวทางนิรโทษกรรมในมิติที่ต่างจากอดีต ไม่ใช่เพื่อคุ้มครองอำนาจรัฐ แต่เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ขณะเดียวกันในระดับรัฐสภาพรรคก้าวไกล (หรือพรรคประชาชน) ได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา โดยยกเว้นไม่ครอบคลุมคดีอาญาที่มีความรุนแรง เช่น การฆ่าผู้อื่น หรือทำร้ายร่างกาย การเสนอดังกล่าวเปิดพื้นที่ให้เกิดการถกเถียงทางหลักการว่า จะสามารถมีนิรโทษกรรมที่ตั้งอยู่บนหลักความจริงและการมีส่วนร่วมของสาธารณะได้หรือไม่
รูติ ไทเทล (Ruti Teitel; 2000) เสนอว่า กระบวนการนิรโทษกรรมที่ชอบธรรมควรดำเนินควบคู่กับการเปิดเผยข้อเท็จจริง (Truth-telling) และยอมรับความผิด (Acknowledgment of Wrongdoing) มิใช่เพียงการลบล้างความผิดโดยรัฐฝ่ายเดียว เพราะหากยังปล่อยให้รัฐสามารถกำหนดได้เพียงฝ่ายเดียวว่าใครควร ‘ได้รับการอภัย’ โดยไม่ต้องอธิบายว่าใครคือ ‘ผู้เสียหาย’ และ ‘อะไรคือความจริง’ กระบวนการยุติธรรมย่อมตกอยู่ภายใต้เงาของอำนาจ มากกว่าการเป็นฐานของความเป็นธรรมร่วมของสังคม
เมื่อความจริงไม่มีพื้นที่ ความเงียบจึงกลายเป็นนโยบาย
เมื่อ ‘ความจริง’ ไม่มีพื้นที่ ความเงียบจึงกลายเป็นนโยบายโดยพฤตินัยของรัฐ ความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชน ไม่ได้เงียบเพียงเพราะสังคมไม่พูดถึง แต่ถูกทำให้เงียบผ่านกลไกเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การไม่เปิดเผยรายงานอย่างเป็นทางการ การควบคุมการสื่อสารสาธารณะ การออกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือกฎหมายความมั่นคง ตลอดจนการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือฟ้องกลับผู้ที่กล้าท้าทายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรม นักข่าว นักวิชาการ หรือแม้แต่ญาติของผู้เสียหาย กระบวนการนี้ไม่เพียงลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การ ‘ลงโทษซ้ำ’ (Re-victimization) ซึ่งแปลว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง กลับต้องกลายเป็นจำเลยในกระบวนการยุติธรรม เช่น กรณีของ พะเยาว์ อัคฮาด มารดาของพยาบาลอาสาที่เสียชีวิตจากการถูกยิงในวัดปทุมวนาราม ระหว่างเหตุการณ์ปี 2553 ที่ยังคงออกมาเรียกร้องความจริงอย่างต่อเนื่อง แม้จะถูกคุกคามโดยรัฐและยังไม่เคยได้รับความยุติธรรม
ในกระบวนการนี้ ความจริงถูกทำให้เป็นภัยกลายเป็นสิ่งอันตรายและผิดกฎหมาย (Criminalization of Truth) แนวโน้มเช่นนี้สอดคล้องกับข้อเสนอของ มิเชล ฟูโกลต์ (Michel Foucault; 1980) ที่กล่าวว่า ความรู้และอำนาจมิได้แยกขาดจากกัน แต่ดำรงอยู่ร่วมกันเสมอ ผู้ที่มีอำนาจในการกำกับการผลิตและเผยแพร่ความรู้ ก็ย่อมสามารถควบคุม ‘ความจริง’ ในระดับโครงสร้างได้ด้วย และในบริบทเช่นนี้ ความยุติธรรมย่อมไม่เกิดขึ้นจากการค้นหาความจริงตามกระบวนการ แต่เกิดจาก ‘ผู้มีอำนาจกำหนดว่าอะไรคือความจริง’ ซึ่งทำให้ผู้เสียหายไม่มีพื้นที่ทางสังคมหรือทางกฎหมายในการเรียกร้องสิทธิของตนเอง
ในแง่นี้แนวคิดเรื่อง ‘ความทรงจำสาธารณะ’ (Public Memory) และ ‘ความจำเลือกจำ’ (Selective Memory) ของรัฐ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสถาปนาและคงไว้ซึ่งอำนาจผ่านการควบคุมการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่รัฐเป็นผู้กระทำความรุนแรง เช่น 6 ตุลาฯ 2519 หรือพฤษภาฯ 2535 ที่ไม่ถูกบรรจุในหลักสูตรการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ หรือหากถูกกล่าวถึง ก็ถูกนำเสนอในกรอบที่ลบความรับผิดชอบของรัฐออกไปอย่างสิ้นเชิง นักวิชาการอย่าง พอล คอนเนอร์ตัน (Paul Connerton; 2008) จึงเสนอว่า การลืม (Forgetting) ไม่ใช่การขาดการจดจำ แต่คือกระบวนการที่ถูกจัดการอย่างเป็นระบบโดยผู้มีอำนาจ และในบริบทรัฐเผด็จการหรือลัทธิอำนาจนิยม ‘การลืมที่จัดการได้’ นี้คือเครื่องมือของการกดขี่
ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกกรณีคือรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่จัดทำขึ้นหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งระบุอย่างชัดเจนถึงการใช้กำลังเกินกว่าเหตุและการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ ทว่ารายงานกลับไม่เคยถูกเผยแพร่อย่างทั่วถึง หรือถูกนำมาใช้เป็นฐานในการกำหนดนโยบายใดๆ การปล่อยให้รายงาน ‘ถูกเก็บ’ อย่างเงียบงันนั้น ไม่ใช่เรื่องของความบกพร่องเชิงระบบเท่านั้น แต่สะท้อนถึง ‘เจตจำนงของรัฐ’ ในการควบคุมว่า ประชาชนควรหรือไม่ควร ‘จำอะไร’ เกี่ยวกับความรุนแรงที่รัฐเป็นผู้กระทำ (ดูเพิ่มเติม: Stanley Cohen, 2001, States of Denial: Knowing about Atrocities and Suffering)
เหยื่อถูกทำให้เป็นเพียงตัวละครรองในประวัติศาสตร์ที่รัฐไม่อยากเล่า
เหยื่อถูกทำให้เป็นเพียงตัวละครรองในประวัติศาสตร์ที่รัฐไม่อยากเล่า แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 25 และ 29 จะระบุถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงความยุติธรรม การได้รับความคุ้มครองจากรัฐ และการได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม แต่ในความเป็นจริง สิทธิเหล่านั้นกลับเป็นเพียงถ้อยคำในกระดาษ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปี 2553 ต้องใช้เวลาหลายปีในการพิสูจน์ว่า ‘ญาติของตนคือผู้บริสุทธิ์’ ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ตามข้อกล่าวหาของรัฐในช่วงวิกฤต ทั้งที่หลักฐานหลายด้านอย่าง Including ภาพถ่าย วิดีโอ และคำให้การของพยาน ชี้ชัดว่าผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นพลเรือนที่ไม่มีอาวุธ และไม่ได้มีส่วนในการใช้ความรุนแรงใดๆ
ในบางกรณี รัฐเลือกที่จะจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่ในลักษณะที่ไม่ใช่การ ‘ยอมรับความรับผิดชอบ’ แต่เป็นการ ‘ทำบุญ’ แบบอุปถัมภ์ทางการเมือง เงินชดเชยจึงไม่ได้มาพร้อมกับการรับรองสิทธิหรือสถานะผู้เสียหาย ไม่มีกระบวนการตรวจสอบอิสระ ไม่มีระบบประเมินความเสียหาย หรือแผนฟื้นฟูที่ชัดเจน ต่างจากหลักการสากลที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ เช่น Basic Principles and Guidelines on the Right to a Remedy and Reparation for Victims of Gross Violations of International Human Rights Law and Serious Violations of International Humanitarian Law (2005) ซึ่งระบุว่า “เหยื่อมีสิทธิได้รับการเยียวยาอย่างทันท่วงที เพียงพอ และไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งในรูปของค่าชดเชย (Compensation) การฟื้นฟู (Rehabilitation) การแสวงหาความจริง (Truth-seeking) และการรับประกันว่าจะไม่เกิดขึ้นซ้ำ (Guarantees of non-repetition)”
การที่รัฐไม่มีระบบรับรองสถานะผู้เสียหายอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงทำให้เหยื่อเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม แต่ยังหมายถึงการถูกตัดสิทธิทางสังคมอื่นๆ ไปโดยปริยาย เช่น ลูกหลานของผู้เสียชีวิต อาจไม่มีสิทธิเข้าถึงการศึกษาฟรีหรือทุนการศึกษา สำหรับครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง หรือภรรยาและบิดามารดาไม่สามารถเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตระยะยาว ทั้งที่ความสูญเสียเชิงจิตวิญญาณและการบาดเจ็บทางใจอาจดำรงอยู่นานหลายทศวรรษ นักวิชาการอย่าง ลิซา มาการ์เรลล์ (Lisa Magarrell; 2007) ชี้ให้เห็นว่า “ความยุติธรรมที่แท้จริงไม่อาจแยกจากการเยียวยาในระดับบุคคลและโครงสร้าง”8 หากไม่มีการยอมรับสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้เสียหายอย่างจริงจัง รัฐไม่เพียงปฏิเสธอดีต แต่ยังทำลายอนาคตของความเป็นธรรมในสังคมไปพร้อมกัน
ความทรงจำคือหน้าที่ ไม่ใช่ทางเลือก
หากความยุติธรรมจะมีความหมายในประเทศนี้ มันต้องเริ่มจากการยอมรับว่า ใครคือผู้เจ็บปวด ใครคือผู้ถูกกระทำ และใครคือผู้ที่ถูกทำให้เงียบและถูกลืม การนิรโทษกรรมลอยนวล การบิดเบือนข้อเท็จจริง และการปิดปากผู้เรียกร้องความจริง ไม่เคยเป็นหนทางนำพาสังคมให้พ้นจากวงจรความรุนแรงทางการเมือง ตรงกันข้ามมันกลับตอกย้ำความไม่เป็นธรรมให้ฝังลึกยิ่งขึ้น
ในโลกที่ความทรงจำมักถูกจัดวางให้อยู่ใต้การควบคุมของรัฐ การเรียกร้อง ‘ให้จำ’ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของอดีต แต่เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตร่วมกัน กฎหมายที่ดีต้องไม่เพียงใช้ลงโทษ แต่ต้องทำหน้าที่ ‘จดจำ’ ความรุนแรงและปกป้องผู้ที่เคยถูกลิดรอนสิทธิ เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อีกต่อไป
ข้อเสนอเชิงโครงสร้างจึงต้องมุ่งไปสู่การเปลี่ยนระบบการจดจำของรัฐไทยให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงอย่างอิสระ การแก้กฎหมายที่เปิดทางให้นิรโทษกรรมโดยไร้ขอบเขต การรับรองสิทธิในการเยียวยาทางกฎหมายและจิตใจ การบรรจุเหตุการณ์ทางการเมืองในหลักสูตรการศึกษา การสร้างพื้นที่รำลึก และการเปิดพื้นที่สื่อให้สะท้อนความจริงโดยปราศจากความกลัว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงความหวังของผู้เคยสูญเสีย แต่คือความจำเป็นร่วมกันของสังคม หากเราต้องการสร้างประชาธิปไตยที่หยั่งรากในความเป็นธรรม
เพราะตราบใดที่เรายังไม่ยอม ‘จดจำ’ กฎหมายก็จะยังคงเป็นอาวุธของผู้มีอำนาจ มากกว่าจะเป็นหลักประกันของผู้ถูกกระทำ และตราบใดที่ความเงียบยังถูกทำให้กลายเป็นนโยบาย ความรุนแรงก็จะกลับมาในรูปแบบเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าเราจะจำได้และจำเป็น
เชิงอรรถ
- iLaw. “ข้อเสนอจาก คอป. ที่ไม่เคยถูกนำไปใช้” https://ilaw.or.th/node/3653
- รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44. ดูเพิ่มเติมที่ Human Rights Development Foundation. https://hrdfoundation.org/?p=1751
- ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (2564). “คำพิพากษาคดีปี 53” https://tlhr2014.com/archives/33823
- Human Rights Watch. (2011). Descent into Chaos https://www.hrw.org/report/2011/05/03/descent-chaos/thailands-2010-red-shirt-protests-and-government-crackdown
- iLaw. “คดีความมั่นคงกับการปิดปากนักเคลื่อนไหว” https://ilaw.or.th/node/5995
- OHCHR. (2005). Basic Principles and Guidelines on the Right to a Remedy and Reparation for Victims. https://www.ohchr.org/en/instruments-mechanisms/instruments/basic-principles-and-guidelines-right-remedy-and-reparation-victims
- Hayner, P. B. (2001). Unspeakable Truths: Transitional Justice and the Challenge of Truth Commissions. Routledge.
- Teitel, R. G. (2000). Transitional Justice. Oxford University Press.
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3768/2546.
- ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน. (2567). สถิติคดีจากการชุมนุมและแสดงออกทางการเมือง 2563–ปัจจุบัน.
- พรรคก้าวไกล. (2566). ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ประชาชนจากการแสดงออกทางการเมือง พ.ศ. …..
- อุเชนทร์ เชียงเสน. (2563). “นิรโทษกรรมแบบลวง: การเมืองของความเงียบและการให้อภัยในสังคมไทย.” วารสารรัฐศาสตร์ปริทรรศน์.
- Cohen, S. (2001). States of Denial: Knowing about Atrocities and Suffering. Cambridge: Polity Press.
- Connerton, P. (2008). Seven types of forgetting. Memory Studies, 1(1), 59–71. https://doi.org/10.1177/1750698007083889
- Foucault, M. (1980). Power/Knowledge: Selected Interviews and Other Writings 1972–1977 (C. Gordon, Ed.). New York: Pantheon Books.
- Human Rights Watch. (2011). Descent into Chaos: Thailand’s 2010 Red Shirt Protests and the Government Crackdown. New York: Human Rights Watch.
- Amnesty International Thailand. (2021). Thailand: “My face burned with shame”: The treatment of women and girls in Thailand’s criminal justice system. London: Amnesty International.
- บทสัมภาษณ์และคำแถลงของ นางพะเยาว์ อัคฮาด ที่ปรากฏในสื่อไทย เช่น BBC Thai, iLaw, และ The Matter