ในอดีตผู้เขียนมีความทรงจำเกี่ยวกับแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของไทยและยังคงจำขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้คือ คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตของประเทศจีน แม้ว่าแนวคิดดังกล่าวจะถูกพิสูจน์แล้วว่า คนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไตก็ตาม แต่ยังคงเกิดคำถามว่า คนไทยมาจากไหน ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นของนักวิชาการที่ว่า แท้จริงแล้วคนไทยมาจากสยามหลายชาติพันธุ์ ‘ร้อยพ่อพันแม่’ ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ และชาติพันธุ์ถือเป็นข้อมูลหลักและสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย แต่การศึกษาไทยกลับตัดข้อมูลชาติพันธุ์ทิ้งไป เพราะเห็นว่ามีแต่คนไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น[1] จึงทำให้ชาติพันธุ์ไม่เป็นที่รับรู้ของคนไทยทั่วไปผ่านบทเรียนมากนัก เพราะไม่เคยมีการศึกษาเล่าเรียนกันจริงๆ จะมีเพียงแต่วรรณคดีเรื่องแต่งที่สะท้อนให้เห็นถึงผู้คนต่างชาติพันธุ์ เช่น วรรณคดีไทยเรื่องเงาะป่า ที่มีการสอดแทรกคำศัพท์ภาษาก็อย (ซาไก) และนิทานเรื่องขุนช้างขุนแผนที่กล่าวถึงชาวป่า ได้แก่ กะเหรี่ยงข่าละว้ามอญ
เพราะฉะนั้นในประเทศไทยคำว่า ‘ชาติพันธุ์’ (Ethnic) จึงไม่เคยปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าหมายถึงผู้คนกลุ่มใด จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา หน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ นักเขียนต่างเรียกบรรดากลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทยว่า ‘ชาวเขา’ (Hill Tribe) ที่มาจากคำว่า ‘ชนเผ่า’ (Tribe) และต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดในการจำแนกความแตกต่างของกลุ่มคนในสังคม จากมิติชีววิทยามาเป็นมิติทางสังคมและวัฒนธรรม แต่ยังคงมีนัยของการเป็นชนกลุ่มน้อยในบริบทของรัฐชาติเช่นเดิม[2]
‘ชาติพันธุ์’ นัยของชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่ไม่น้อยในประเทศไทย
สำหรับประชากรชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้นมีประมาณ 10 ล้านคน (ราว 13.93% หรือ 1 ใน 7 ของประชากรทั้งหมด)[3] และจากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีประมาณ 60 กลุ่ม ที่อาศัยอยู่ตามภาคต่างๆ ของประเทศไทยและมีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นของตนเอง โดยในแต่ละกลุ่มจะมีวัฒนธรรมย่อยที่แตกต่างกันออกไปทั้งมิติทางความเชื่อ ประเพณี ภาษา ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้ก็จะมีการสืบต่อและถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นหนึ่ง และเผยแพร่ไปมากกว่า 6.1 ล้านคน เช่น กะเหรี่ยง ลาหู่หรือมูเซอ ลีซูหรือลีซอ อาข่ามลาบรีหรือชาวมละ ไทลื้อ ม้ง มานิ (ซาไก) มอแกน[4] มอแกลน อูรักลาโว้ย ไทดำ ไทเบิ้ง ไทยพวน ไทยวน ไทโคราช ญัฮกุร ญ้อ มลายู
กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และต้องเผชิญกับปัญหาที่มีความหลากหลาย ซับซ้อนจากหลายมิติไม่ว่าจะมิติทางวัฒนธรรมการอยู่อาศัย การทำมาหากิน ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร รวมถึงปัญหาทางโครงสร้างของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิและสถานะของประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ จนนำไปสู่ความไม่มั่นคงในการดำเนินชีวิต เช่น กรณีชาวเลอูรักลาโว้ย ชุมชนโต๊ะบาหลิว จังหวัดกระบี่ ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่เคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้ และปัจจุบันยังคงถูกจำกัดพื้นที่ในการทำประมง ไม่สามารถเข้าไปจับปลาหรือสัตว์น้ำในทะเลที่ประกาศเป็นเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติได้
ตัวอย่างกรณีปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์จะต้องเผชิญ และปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างมีส่วนร่วมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตชาติพันธุ์ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่ไม่ค่อยจะตรงจุดนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรับรู้เรื่องชาติพันธุ์ในอดีต เพราะการเลือกที่จะไม่รับรู้การมีอยู่ของชาติพันธุ์ในทางประวัติศาสตร์ส่งผลให้ ‘อคติ’ทางชาติพันธุ์ยังคงเกิดขึ้นและดำเนินอยู่ตลอดเวลา และยังคงถูกตีตราว่าพวกเขา ‘ไม่เหมือน’ คนไทยทั่วไป อีกทั้งยังคงถูกมองว่า เป็นกลุ่มคนล้าหลังที่ไม่ทันสมัยเอาเสียเลย การไม่ถูกยอมรับต่อแบบแผนในการดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ จึงทำให้ในสภาพแห่งความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงไม่ถูกนับรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างแท้จริง
บทส่งท้าย: กฎหมายใหม่กับความหวังของกลุ่มชาติพันธุ์
วันที่ 19 กันยายน 2568 เป็นวันแรกที่พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ได้ใช้บังคับอย่างเป็นทางการ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดํารงวิถีชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามหลักสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนประกอบกับมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐจึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวนเท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย[5]
กฎหมายชาติพันธุ์มีหลักการสำคัญ 3 ประการคือ การคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม การส่งเสริมศักยภาพและการสร้างความเสมอภาค ประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ประเด็นหลัก คือ
1. วางหลักการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์
2. มีกลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
3. การจัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
4. จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อกำหนดนโยบายด้านชาติพันธุ์
5. จัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์[6]
ทั้งนี้โดยเนื้อหาสาระของกฎหมายดังกล่าว ได้พยายามลดอคติทางชาติพันธุ์ที่ยังคงฝังรากลึกในความรู้สึกของคนไทย โดยการห้ามการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมแก่กลุ่มชาติพันธุ์ที่ไปพร้อมๆ กับการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิธีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและภูมิใจในอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา ภาษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมตามจารีตประเพณีอันดีงามที่มีความหลากหลายของตน ซึ่งในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามกฎหมายนี้ ยังคงให้กระทำได้เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐหรือสุขภาพอนามัยและไม่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วม ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติตามภูมิปัญญาที่ได้สืบสานรักษาจากบรรพบุรุษ มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน เช่น สิทธิในการจัดการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุกรรมพืชและสัตว์ สิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม มีการจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงวิถีชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม สิทธิในการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สิทธิในการดำเนินวิถีชีวิตและการพัฒนาตนเองได้อย่างเสรีรวมทั้งการธำรงรักษาและการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน สังคมและวัฒนธรรมอันมีลักษณะเฉพาะของตน สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจได้ง่าย สิทธิในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน[7] ซึ่งสิทธิต่างๆ เหล่านี้ถือได้ว่า เป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนคนไทยทั่วไปพึงมีอยู่แล้วตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเป็นกลุ่ม ‘ชาติพันธุ์’ กลับเป็นสิทธิที่ต้องระบุไว้อย่างชัดแจ้ง เพื่อให้เกิดการรับรองสิทธิและมีผลในทางกฎหมาย
ดังนั้นตลอดระยะเวลาบนเส้นทางการต่อสู้หลายทศวรรษของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีและความหวังว่าในอนาคตลูกหลานของตนจะมีชีวิตที่ดี มีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน มีพื้นที่ทางวัฒนธรรมและไม่ถูกลดทอนศักดิ์ศรีของความเป็นคนจากอคติทางชาติพันธุ์ ผู้เขียนปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 เป็นดั่งความหวังครั้งใหม่ ในการเข้ามาช่วยเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่อย่างยาวนานของกลุ่มชาติพันธุ์ให้คลี่คลายชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังคงเป็นข้อท้าทายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและกลุ่มชาติพันธุ์ ในการร่วมมือกันบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้ในสภาพแห่งความเป็นจริง
เชิงอรรถ
[1] สุจิตต์ วงษ์เทศ. (22 กุมภาพันธ์ 2567 ). ดีเอ็นเอ บอกไม่ได้ คนไทยเป็นใคร? มาจากไหน?. https://www.matichon.co.th/columnists/news_4438160
[2] ประสิทธิ์ ลีปรีชา. (2556). พหุวัฒนธรรมนิยมจากรากหญ้า: ขบวนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองและชาติพันธุ์ในประเทศไทย. วารสารสังคมศาสตร์. 25(2)
[3] ไทยรัฐออนไลน์. มีสิทธิ์ มีเกียรติ มีแรงดันจีดีพีประเทศ กฎหมายชาติพันธุ์ในมือเพื่อไทย. https://www.thairath.co.th/news/local/2837562
[4] Cheewid. ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความเป็นอยู่ของชนเผ่าในประเทศไทย. https://blog.cheewid.com/knowledge/indigenous-of-thailand/
[5] หมายเหตุ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568
[6] The Active. (6 สิงหาคม 2568). ประวัติศาสตร์ใหม่เริ่มต้น ‘กฎหมายชาติพันธุ์’ ผ่านรัฐสภาแล้ว. https://theactive.thaipbs.or.th/news/lawrights-20250806
[7] พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 มาตา 5 ถึง มาตรา 12
Tags: ชาติพันธุ์, พ.ร.บ.ชาติพันธุ์



