การเกิดขึ้นของคอนเสิร์ตหลังโรคระบาดทำให้ ‘ราคาของบัตรคอนเสิร์ต’ โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรม K-pop เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีรายงานว่าราคาบัตรคอนเสิร์ตหลังโควิดคลี่คลายเพิ่มขึ้นถึง 30%¹ ด้วยภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนการจัดการต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น 

สอดคล้องกับเสียงพร่ำบ่นของแฟนคลับว่า ‘บัตรคอนฯ’ ของศิลปินกลุ่มที่ตนชื่นชอบตอนนี้มีราคาสูงมากหากเทียบกับบัตรคอนฯ ในยุคก่อนโควิด หลายครั้งที่แฟนคลับแสดงความไม่พอใจผ่านพื้นที่ออนไลน์เพื่อส่งเสียงถึงผู้ประกอบการ รวมทั้งมีความพยายามจะใช้กลไกของรัฐเข้ามาจัดการปัญหาบัตรคอนฯ แพงนี้ด้วย 

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าประเด็นเรื่อง ‘บัตรคอนฯ แพง’ เป็นเรื่องของเอกชนและกลไกตลาด รัฐไม่ควรจะเข้ามาเกี่ยวข้อง บทความชิ้นนี้จะพาไปสำรวจถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายในการตกลงกันระหว่างภาคเอกชน รัฐซึ่งควรจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเอกชนอย่างจำกัดจะสามารถเข้าไปมีบทบาทได้มากน้อยเพียงใด พร้อมกับทำความเข้าใจถึงความยากในการใช้กลไกตลาดจัดการกับปัญหาบัตรคอนฯ แพงในบริบทของอุตสาหกรรม K-Pop  

กฎหมายและรัฐกับการเข้าแทรกแซงปริมณฑลเอกชน  

หลักเรื่อง ‘เสรีภาพในการทำสัญญา’ (Freedom of Contract) เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันในทางกฎหมาย ที่รับรองว่าปัจเจก (หรือเอกชน) สามารถใช้เสรีภาพของตนที่จะเข้าทำสัญญาใดๆ ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อสิ่งที่กฎหมายกำหนดไว้² ดังนั้น หากอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแล้วโดยความตกลงของเอกชนทั้งสองฝ่าย รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงเพื่อให้สิ่งที่คู่สัญญาได้ตกลงกันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น 

อย่างไรก็ตาม ฐานคิดทางกฎหมายเช่นนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคู่สัญญาที่มีอำนาจมากกว่าจนเกินไป เพราะในความเป็นจริงแล้วนั้น คนกลุ่มที่มีต้นทุนมากกว่าย่อมมีอำนาจในการต่อรองทางเศรษฐกิจมากกว่า ขณะที่คนกลุ่มที่มีต้นทุนน้อย ก็ย่อมมีอำนาจต่อรองน้อยลงไปด้วย เมื่อคู่สัญญามีอำนาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียมกัน แม้ว่าเสรีภาพในการทำสัญญาจะได้รับความคุ้มครอง ถึงกระนั้นก็ย่อมจะเกิดการเอารัดเอาเปรียบระหว่างคู่สัญญาได้ 

ด้วยเหตุนี้ระบบกฎหมายจึงต้องเข้ามาอุดช่องว่างนี้ ส่งเสริมให้เอกชนทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงใดๆ ด้วยฐานอำนาจที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างกลไกต่างๆ เพื่อให้คู่สัญญาฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่า เช่น แรงงาน ผู้บริโภค ฯลฯ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป 

บัตรคอนเสิร์ต… ถูกใจก็มีคำว่าแพง

ในมุมมองของคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวง K-Pop คอนเสิร์ตอาจเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็นที่มีราคาสูงเช่นเดียวกับสิ่งฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็นอื่นๆ แต่สำหรับแฟนคลับที่อยู่ในแวดวงนี้ ความแพงของบัตรคอนฯ เป็นไปได้ใน 2 ลักษณะ อย่างแรก ‘บัตรคอนฯ ราคาสูงหากเทียบกับรายได้ขั้นต่ำ โดยราคาบัตรคอนฯ ในปีพ.ศ. 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 4,848 บาท และในปีพ.ศ. 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5,273 บาท³ ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยในปีพ.ศ. 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาทต่อวัน4 ยังไม่รวมถึงประเด็นที่ว่าความบันเทิงถูกรวมศูนย์อยู่เพียงในเมืองหลวงเท่านั้น สำหรับแฟนคลับต่างจังหวัดแล้ว นอกจากค่าบัตรคอนฯ ก็มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง ค่าที่พักเพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้การเข้าถึงคอนเสิร์ตในฐานะของความสุขยากขึ้นไปอีก 

สอง ‘สิทธิประโยชน์ที่ได้รับน้อยนิดเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายไป’ ในปัจจุบันผู้จัดฯ หลายราย แก้ปัญหาต้นทุนการจัดคอนเสิร์ตที่สูงขึ้น โดยการเพิ่มสิทธิพิเศษบางประการ เช่น สิทธิเข้าชมการแสดงรอบซ้อม (Sound Check), สิทธิถ่ายรูปกับศิลปิน, สิทธิส่งศิลปินหลังจบคอนเสิร์ต (Send-Off) ฯลฯ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกสมน้ำสมเนื้อกับเงินที่จ่ายไป ดังนั้น หากสิทธิพิเศษเหล่านี้ไม่มีหรือมีน้อยผู้บริโภคก็อาจรู้สึกว่าจำนวนเงินที่จ่ายไปนั้นไม่คุ้มค่า นอกจากนี้ การจ่ายเงินเท่าที่นั่งราคาปกติ แต่ปรากฏว่ามีอุปสรรคในการรับชมคอนเสิร์ต เช่น ที่นั่งเป็นจุดบังสายตา ก็อาจทำให้แฟนคลับรู้สึกว่าแพงได้เหมือนกัน 

‘แฟนคลับ-ผู้จัดฯ’ อำนาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียม

ปรากฏการณ์ ‘บัตรคอนฯ แพง’ สะท้อนให้เห็นถึงความอัดอั้นของแฟนคลับในฐานะผู้บริโภคไม่สามารถต่อรองอะไรกับผู้จัดฯ ได้เลย แฟนคลับมีสิทธิ์เลือกแค่ว่า จะ ‘ซื้อ’ หรือ ‘ไม่ซื้อ บัตรคอนเสิร์ตเท่านั้น แต่ไม่สามารถสร้างข้อตกลงหรือกติกาที่เป็นคุณกับฝั่งตัวเองได้ ผู้เขียนเห็นว่ามีเหตุผลหลักๆ อยู่ 3 ประการที่นำมาสู่ความอัดอั้นจากการไม่สามารถต่อรองได้ของแฟนคลับ

หนึ่ง แฟนคลับไม่สามารถเลือกผู้จัดได้ โดยส่วนมากการจัดคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี บริษัทต้นสังกัดศิลปินจะเป็นผู้เลือกผู้จัดคอนเสิร์ตในประเทศ ผู้จัดฯ รายใดที่สนใจก็เข้ามาเสนอราคาและผลประโยชน์ต่างๆ ให้กับบริษัทต้นสังกัด หลังจากนั้นผู้จัดฯ ก็จะได้สิทธิในการจัดคอนเสิร์ต รวมถึงการกำหนดรายละเอียดของคอนเสิร์ตภายในประเทศ ทั้งนี้ ต้องดำเนินการที่เป็นไปตกลงกับบริษัทต้นสังกัดด้วย จะเห็นได้ว่าในสมการของการจัดคอนเสิร์ตนี้ไม่มีผู้บริโภคอยู่เลย แฟนคลับจึงทำได้แค่รับชะตากรรมที่เกิดขึ้น 

สอง ไม่มีมาตรฐานในบริการการจัดคอนเสิร์ต ที่ผ่านมาบริการจัดคอนเสิร์ตขึ้นอยู่กับฝ่ายผู้จัดฯ (รวมถึงค่ายต้นสังกัดของศิลปิน) แต่ละราย ไม่มีมาตรฐานหรือแนวปฏิบัติที่จะเข้ามาควบคุมกำกับการจัดคอนเสิร์ตในแต่ละครั้ง เช่น จำนวนคนที่ยืนชมคอนเสิร์ตใน ‘หลุม’ ควรมีจำนวนเท่าไหร่? ควรคิดคำนวณจากอะไร? เพื่อความปลอดภัยและทัศนะการมองเห็นที่ดี? หรือบัตรที่นั่งที่ตกในจุดบอดสายตา หรือมีสิ่งกีดขวางในการชมควรจะขายลดราคา? หรือควรจะไม่เปิดขายตั้งแต่แรก? ฯลฯ  

และ สาม ศิลปินคือตัวประกันสำคัญ จุดเด่นของวัฒนธรรมแฟนคลับ K-pop คือความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับและศิลปิน ที่แฟนคลับพร้อมที่จะ ‘ทุ่มเท’ ให้ศิลปินเป็นอย่างมาก การไปคอนเสิร์ตจึงไม่ได้เป็นแค่การไปฟังเพลงในคอนเสิร์ต แต่ยังหมายรวมถึงการไปให้กำลังใจคนที่ตนรักและชื่นชอบ อีกทั้งในอุตสาหกรรม K-pop เอง อายุวงของศิลปินมีไม่มาก เนื่องจากสามารถถูกทดแทนด้วยศิลปินน้องใหม่ได้ตลอดเวลา ดังนั้น สำหรับแฟนคลับแล้วการไปคอนเสิร์ตในแต่ละครั้ง อาจจะหมายถึงครั้งสุดท้ายที่จะได้ไปให้กำลังใจศิลปินที่ชื่นชอบได้เสมอ

ถ้าไม่แบนผู้จัดฯ จะทำอะไรได้อีกไหม ?

ที่ผ่านมากลุ่มแฟนคลับพยายามใช้กลไกทางกฎหมายจัดการกับปัญหาบัตรคอนฯ แพง5 โดยร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตัวแทนจากสคบ. ให้ความเห็นว่า ได้รับเรื่องร้องเรียน และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการจัดหาแนวทางแก้ปัญหา โดยในเบื้องต้น ‘เตรียมเชิญผู้จำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตและผู้ที่เกี่ยวข้อง มาหารือถึงมาตรฐานการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ต  และสำหรับ ‘กรณีการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตไม่มีการชี้แจงรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น ผังที่นั่งชมคอนเสิร์ตที่ไม่มีการระบุว่ามีสิ่งกีดขวางทำให้การรับชมคอนเสิร์ตมองไม่ชัดเจน แต่ราคาเท่ากับที่นั่งปกติ ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค6

ส่วนประเด็นเรื่องการควบคุมราคาบัตรคอนเสิร์ตนั้น เป็นอำนาจของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ในการพิจารณา ซึ่งรองอธิบดีกรมการค้าภายในได้เปิดเผยว่า การร้องเรียนบริการ ประเภทรับจัดคอนเสิร์ตโดยมีการเรียกเก็บค่าเข้าชมในราคาสูงเกินจริงเช่นนี้  กรมการค้าภายใน ‘จะติดต่อผู้ให้บริการมาชี้แจงรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนว่ามีการกำหนดราคาสูงเกินหรือไม่’ และทิ้งท้ายว่า ‘หากพบว่าเป็นการฉวยโอกาสกำหนดราคาสินค้าเกินสมควรจะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.. 2542

อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่าหลังจากดำเนินการไปแล้วมีความคืบหน้าอย่างไร ผู้จัดฯ ได้เข้าชี้แจงรายละเอียดของคอนเสิร์ตแล้วหรือยัง มาตรการหรือแนวปฏิบัติเพื่อควบคุมกับกำกับการให้บริการคอนเสิร์ตจะสามารถเป็นไปได้หรือไม่ 

หรือแฟนคลับต้องโดนเอาเปรียบไปจนกว่าจะถึงจุดดุลยภาพ? 

ผู้มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มักให้คำตอบต่อการแก้ปัญหาบัตรคอนฯ ราคาแพง ว่าคงต้องเป็นไปตามกลไกตลาด เมื่อใดก็ตามที่ความต้องการซื้อลดลง ราคาบัตรคอนเสิร์ตก็จะถูกลงด้วย และเมื่อถึงจุดที่ผู้ซื้อและผู้ขายมีความต้องการพอกัน ทุกๆ ฝ่ายจะ ‘แฮปปี้’ กับการจัดและเข้าชมคอนเสิร์ต แต่ขณะที่ยังไม่ถึงจุดดุลยภาพที่ว่านั้น กฎหมายหรือรัฐจะสามารถทำอะไรกับมันได้หรือไม่ ภายใต้ข้อจำกัดสำคัญเรื่องเสรีภาพในการทำสัญญา หรือว่าแฟนคลับจะต้องอดทนต่อการถูกเอาเปรียบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดดุลยภาพนั้น 

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:

¹ บัตรคอนเสิร์ตราคาแพงขึ้น 30 % แฟนคลับจ่ายไหมไหม,23 พฤศจิกายน 2565, https://urbancreature.co/overpriced-concert-tickets/

² ศนันกรณ์ โสตถิพันธุ์, คำอธิบายนิติกรรมสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ 24, (กรุงเทพฯ: วิญญูชน), 31-34.

³ ราคาเฉลี่ยของบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีที่จัดที่เมืองทองธานี โดยสถิติของปี พศ 2566 รวบรวมถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 ใน vivissana, ดวงพร้อม แต่เงินไม่พร้อม: ทำไมราคาบัตรคอนฯ เกาหลี ถึงแพงขึ้น?, 17 กุมภาพันธ์ 2566, https://thematter.co/entertainment/are-concert-tickets-too-expensive/197411.

THE STANDARD TEAM, ค่าจ้างขั้นต่ำปี 65 ทั่วประเทศ เพิ่มขึ้น 5.02% เฉลี่ย 337 บาท, 8 ธันวาคม 2565, https://thestandard.co/minimum-wage-2565/

5 มติชนออนไลน์, กรมการค้าภายใน เรียกผู้จัด บริษัทดังแจง หลังขายบัตรคอนเสิร์ต Stray Kids แพงเวอร์, 3 กุมภาพันธ์ 2566, https://www.matichon.co.th/economy/news_3804985.

เดลินิวส์ออนไลน์, สคบ.จ่อคุมราคาบัตรคอนเสิร์ต หลังติ่งเกาหลีบ่นแพง-ผู้จัดเอาเปรียบ, 22 ตุลาคม 2565, https://www.dailynews.co.th/news/1604736/

 

Tags: , , , ,