เมื่อเรากล่าวถึงชุมชน เรามักจะนึกเห็นภาพขอวิถีชีวิตของผู้คนที่ผูกพันกับสิ่งแวดล้อม แม่น้ำ ป่าไม้หรือสรรพสัตว์ ที่อยู่รอบตัวเป็นนิเวศในการใช้ชีวิตของตน ความสัมพันธ์เหล่านี้สะท้อนออกมาผ่านการดำรงชีวิต อาชีพ ประเพณี วัฒนธรรม ที่มีมาอย่างยาวนาน แต่อย่างไรก็ตามภายใต้การเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ ที่ดึงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดเข้าสู่ส่วนกลาง และลดทอนการบริหารจัดการทรัพยากรภายในท้องถิ่นของชุมชน กระบวนการเหล่านี้ถูกตั้งบนฐานความเชื่อที่ว่า รัฐมีหน้าที่ ‘ปกครองและให้บริการประชาชน’ แต่ในอีกด้านหนึ่งกระบวนการดังกล่าวก็เป็นการทำให้ชุมชนนั้น ถูกพรากสิทธิในการบริหารจัดการทรัพยากรของตนเองไป นำไปสู่ความอ่อนแอลงของสังคมชุมชน การเข้ามาของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่มองทุกอย่างเป็นแค่ทรัพยากรและมุ่งแสวงให้ผู้คนทำงานที่ได้ประโยชน์ต่อทุนให้ได้มากที่สุด ได้ผลักไสให้ผู้คนไม่เห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรม การดูแลทรัพยากรท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม
บทความนี้มุ่งศึกษาถึงพลวัตของสิทธิชุมชนในคืนวันที่ผันแปรว่า การเกิดขึ้นของรัฐชาติทำให้กระบวนการจัดการทรัพยากรภายในชุมชนเปลี่ยนไปอย่างไร มีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรอีกครั้ง และในศตวรรษที่ 21 นี้เราสามารถใช้สิทธิของชุมชนในการเรียกร้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมภายในสังคมได้อีกหรือไม่
ความสัมพันธ์ชุมชน ธรรมชาติ วัฒนธรรม
แต่เดิมมาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติภายในชุมชนหรือภายในท้องที่หนึ่งๆ จะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ จารีตประเพณี ความเชื่อ หรือข้อตกลงร่วมกันของแต่ละท้องที่ โดยกฎกติกาในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันเหล่านั้น มีตั้งแต่กฎหมายจารีตท้องถิ่นอย่างเช่น มังรายศาสตร์ ที่เป็นกฎหมายดั้งเดิมของล้านนา ซึ่งได้วางกฎเกณฑ์ในการใช้ชีวิตร่วมกันในหลายเรื่องเอาไว้ แน่นอนว่าการจัดการดูแลทรัพยากรก็เป็นหนึ่งในนั้น ไปจนถึงจารีตความเชื่อท้องถิ่นอย่างเช่นความเชื่อเรื่อง ‘ขึด’ ของล้านนาซึ่งเป็นมโนทัศน์เกี่ยวกับความไม่ดี เสนียด เรื่องอัปมงคลต่าง ๆ จนนำไปสู่การตั้งกฎเกณฑ์ร่วมกันภายในชุมชนว่า สิ่งใดควรกระทำหรือไม่กระทำ[1] ความเชื่อดังกล่าวเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมที่เป็นเกษตรกรรม ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่รวมกับความผูกพันในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ฯลฯ[2]
แนวความคิดดังกล่าวนำไปสู่รูปแบบของการจัดการทรัพยากรที่หลากหลาย เช่นในเรื่องของการจัดการแหล่งน้ำภายในชุมชนก็มีทั้งข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องการไม่ควรถมที่น้ำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำ สระหนอง ที่อยู่พระ บวกควาย แม่น้ำ[3] ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวเป็นเรื่องของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันของผู้คนภายในชุมชน เพราะเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่และเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกภายในชุมชนทุกคนจึงต้องร่วมกันรักษา รวมถึงยังเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย[4]
การมีความเชื่อในรูปแบบดังกล่าว นอกจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันภายในชุมชนแล้วนั้น ยังเป็นการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรของตนอย่างมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ และทำไปโดยเข้าใจถึงบริบทของสังคมและสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างสัมพันธ์ วัฒนธรรมภายในชุมชนอีกด้วย
เมื่อชุมชน (ถูกทำให้) อ่อนแอ: การเข้ามาของรัฐชาติและทุน
การเข้ามาของการปกครองรูปแบบใหม่หรือ รัฐสมัยใหม่ (Modern State) ได้มาพร้อมกับแนวคิดที่ว่าทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดเป็นของรัฐตามแนวคิด Public Trust Doctrine ที่มอบอำนาจและความชอบธรรมให้แก่รัฐในการอ้างตนว่าเป็นผู้ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ โดยแนวความคิดดังกล่าวผลักไสการมีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติรูปแบบอื่นๆ ออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิดสมบัติร่วมกัน (Common Property)[5] ซึ่งเป็นแนวความคิดในการจัดการทรัพยากรร่วมกันของชุมชนตามที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ภายใต้แนวความคิดดังกล่าวที่ทำให้รัฐมาพร้อมกับความชอบธรรมในการปกป้องดูแลทรัพยากรเพื่อ ‘ปกครองและให้บริการประชาชน’ โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีทางการปกครองใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สถาปนาตนเองเป็นความรู้/ ความจริง หนึ่งเดียวของสังคม ผลักไสความรู้ ความเชื่อชุดอื่นๆ ให้กลายเป็นเรื่องงมงาย ชุดความคิดดังกล่าวสถาปนาอำนาจให้กับรัฐในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมด และในขณะเดียวกันก็เบียดขับความรู้ภูมิปัญญาของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในฐานะของเก่างมงาย และแทนที่ด้วยวิทยาศาสตร์โดยการจัดการจากส่วนกลาง
ผลกระทบที่ตามมาจากพลวัตดังกล่าวเปลี่ยนแปลงให้สำนึกการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ กลายเป็นเรื่องของ ‘ช่างเทคนิค’ ที่ต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม รวมถึงนักกฎหมาย ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเสียทั้งหมด จากเดิมผู้คนในชุมชนและสังคมต้องมีส่วนร่วมกันในการดูแลรักษาทรัพยากร แต่ความรู้ดังกล่าวก็ถูกขับออกไป ได้ทำให้สำนึกร่วมสูญหายลงและการดูแลทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นเรื่องทางเทคนิคในท้ายที่สุด
ในขณะเดียวกันการเข้ามาของเศรษฐกิจทุนนิยม/ บริโภคนิยมก็เปลี่ยนแปลงสำนึกของผู้คนในการมองถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ผลประโยชน์’ ให้แตกต่างจากแต่ก่อน จากเดิมนั้นสำนึกของผู้คนต่อคำว่า ‘ผลประโยชน์’ หมายถึงการดูแลและรักษาทรัพยากรรวมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้คนภายในสังคมและชุมชน รวมถึงการดูแลรักษาธรรมชาติที่ทั้งมนุษย์และธรรมชาติต่างมอบประโยชน์ให้แก่กันและกัน แต่ความคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนไปหลังจากกระบวนทัศน์ความคิดในยุคสมัยใหม่ (Modern’ Era) ที่สถาปนาความคิดมนุษย์นิยมที่ได้ทำให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง[6] ผนวกกับการเกิดขึ้นของการค้าทุนนิยมและเสรีนิยมที่มุ่งเน้นไปที่กระบวนการผลิตเพื่ออุปโภค บริโภค และแสวงหากำไรของผู้คนในสังคมแต่เพียงเท่านั้น กระบวนทัศน์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงสำนึกของผู้คนในสังคมให้มองธรรมชาติเป็นเพียง ‘ทรัพยากร’ สิ่งของที่ถูกพร้อมใช้ ซึ่งต้องทำผลประโยชน์ของตน
สิทธิชุมชนที่ยังคงไม่ตั้งมั่น
ภายหลังจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 หรือที่รู้จักกันในนาม ‘รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน’ สิทธิชุมชนได้ถูกบัญญัติขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญไทยและยังคงสืบเนื่องมาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สิทธิดังกล่าวเป็นเสมือนกับประตูบานใหม่ให้ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคมในการร่วมกันเพื่อทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามพลวัตรการพัฒนาและการปกป้องสิทธิของชุมชนในความเป็นจริง ยังเป็นไปอย่างไม่มั่นคงและยังคงเป็นการยากที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการร่วมจัดการดูแลทรัพยากรธรรมชาติของตนได้อย่างแท้จริง
กระบวนการ ‘แยกทรัพยากรออกจากชุมชน’ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั้งผ่านกระบวนการการทางกฎหมายของรัฐ ตัวอย่างเช่น จากแต่เดิมประชาชนเคยมีสิทธิในการร่วมดูแลบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติผ่าน พระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พ.ศ. 2482 ที่เป็นรูปแบบของการจัดการน้ำ เพื่อใช้กับการเกษตรโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมลงคะแนน รวมทั้งสามารถเกณฑ์เกณฑ์แรงงานผู้คนมาร่วมกัน เพื่อดูแลจัดการทรัพยากรน้ำภายในชุมชน[7] แต่ในการเข้ามาของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยกเลิกกฎหมายฉบับดังกล่าว โดยอาศัยเหตุผลว่า มีสภาพการณ์ไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และกฎหมายดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้โดยสภาพเนื่องจากมี พ.ร.บ.การชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 แล้ว[8] การยกเลิกดังกล่าวเป็นการตัดโอกาสให้ประชาชน ไม่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันอีกต่อไป ทั้งที่อาจมีประชาชนบางกลุ่มยังคมได้ประโยชน์จากการบริหารจัดการน้ำร่วมกันในชุมชนอยู่
นอกจากนี้กระบวนการดังกล่าวยังคงรวมถึงนโยบาย ‘ทวงคืนผืนป่า’ ในสมัยของพลเอกประยุทธ์ที่นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีปัญหาเรื่องป่าทับคน/ คนทับป่าอยู่ดั้งเดิม อันเป็นปัญหาในสังคมไทยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีการใช้อำนาจดำเนินคดีกับผู้คน โดยไม่คำนึงถึงสิทธิชุมชนของประชาชน ในการดำรงรักษาชีวิตของตนในพื้นที่ดังกล่าว[9]
จากที่กล่าวมาจึงทำให้เห็นได้ว่า แม้ว่าสิทธิชุมชนจะได้รับการคุ้มครองไว้เป็นปทัสถานในรัฐธรรมนูญไทยแล้วก็ตาม แต่ว่าในทางความเป็นจริงความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติการบังคับใช้สิทธิชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการมีส่วนร่วมในการจัดการดูแลทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากในสังคมไทย
จินตนาการใหม่ ชุมชนกับการมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากร
แม้ว่าจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ซึ่งเราได้เปลี่ยนยุคสมัยเข้าสู่รูปแบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม/ บริโภคนิยม สำนึกเรื่องของการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติดูเสมือนเป็นเรื่องของอดีต และเป็นโลกที่ความรู้ทางเทคนิคเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนสังคมมากกว่าความสัมพันธ์ของผู้คนแล้วก็ตาม แต่สังคมมนุษย์ก็ล้วนขับเคลื่อนได้ด้วยการพินิจถึงความผิดพลาดในอดีตเสมอ จากประสบการณ์ของมนุษย์ที่ผ่านมาทำให้เราเล็งเห็นได้ว่า สิทธิของชุมชนในคืนวันที่ผันแปรไปนั้นได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง การผลักไสเรื่องของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติไปเป็นเรื่องของรัฐและช่างเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียว และการมองธรรมชาติเป็นเพียงทรัพยากรที่มีไว้เพื่อให้มนุษย์ใช้สอยได้ก่อให้เกิดปัญหาใดในสังคมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงทรัพยากร ปัญหาป่าทับที่ดินของประชาชน ปัญหามลพิษและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ในความเห็นของผู้เขียน ปัญหาที่สำคัญที่สุดของสิ่งที่ผ่านมาคือ การขาดหายไปของสำนึกร่วมในการใช้ ดูแล และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างหนักหน่วง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐเพียงลำพังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อีกต่อไป มีช่องทางใดหรือไม่ที่จะทำให้บทบาทของชุมชน การมีส่วนร่วมของผู้คนในสังคมเข้ามาร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันอีก ไม่ใช่ถือเพียงว่าการดูแลทรัพยากรต้องเป็นเรื่องของภาครัฐแต่เพียงเท่านั้น แต่ให้ทุกคนในสังคมรวมทั้งชุมชนมีส่วนร่วมโดยคำนึงถึงความแตกต่าง วัฒนธรรม ประเพณี สิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เพื่อให้สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของทุกคนและให้ชุมชนมีสิทธิในการจัดการทรัพยากรของตนเอง
คงจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะย้อนเวลากลับไปเป็นอย่างเดิม และก็ไม่ได้เป็นความประสงค์ของผู้เขียนที่จะโหยหาอดีต (Nostalgia) แต่การที่เราได้ทราบถึงปัญหาของปัจจุบันอย่างเห็นรากฐานของอย่างชัดแจ้ง ก็จะทำให้เราได้เห็นถึงแนวทางความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการออกแบบวิธีการแก้ปัญหาและสังคมที่ดีกว่าเดิม ได้เห็นถึงบทบาทของกลุ่มคนทั้งเก่าและใหม่ ที่จะมีส่วนร่วมในการร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเห็นถึงจินตนาการใหม่ๆ ที่ทำให้การดูแลทรัพยากรเป็นเรื่องของชุมชนและทุกๆ คน
*บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 178408 คลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[1] สุทธิกานต์ สิทธิกุล, “ขึด: มุมมองเชิงจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม”, มนุษยศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 26, ฉ.2 (2568), 60.
[2] เพิ่งอ้าง.
[3] คมเนตร เชษฐพัฒนวนิช (บรรณาธิการ), ขึด: ข้อห้ามในล้านนา (เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2539): 30, อ้างถึงใน สุทธิกานต์ สิทธิกุล, “ขึด: มุมมองเชิงจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม”, มนุษยศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 26, ฉ.2 (2568), 74.
[4] สุวรัฐ แลสันกลาง, แนวคิดเชิงปรัชญาเรื่องขึดในล้านนา (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, ภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541): 38, อ้างถึงใน สุทธิกานต์ สิทธิกุล, “ขึด: มุมมองเชิงจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม”, มนุษยศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 26, ฉ.2 (2568), 75.
[5] นัทมน คงเจริญ, การบังคับใช้สิทธิชุมชน: มองผ่านวัฒนธรรมทางกฎหมาย, วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 8, ฉ.1(2558), 95-96.
[6] สุทธิกานต์ สิทธิกุล, “ขึด: มุมมองเชิงจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม”, 59.
[7] กอบกุล รายะนาคร และคณะ, การปฏิรูปกฎหมายเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและนวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของ อปท. (เชียงใหม่: สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555), 210-211.
[8] พระราชบัญญัติ ยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช ๒๔๘๒, ราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่มที่ ๑๓๒
ตอนที่ ๖ ก (๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘): 6.
[9] สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์, “Rule by Law: ปฏิบัติการตามนโยบายทวงคืนผืนป่าภายใต้รัฐบาล คสช.” ใน ตุลาการธิปไตย ศาล และการรัฐประหาร (กรุงเทพฯ: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, 2561), 246-247.
Tags: กฎหมาย, สิ่งแวดล้อม, ธรรมชาติ, สิทธิชุมชน, Rule of Law, การจัดการทรัพยากร




