บ้านทรงแปลกตาสีเหลืองดั่งบ้านในเทพนิยายที่เมือง Rothenburg Ob De Tauber เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเส้นทางสายโรแมนติกที่รวมเมืองโบราณแห่งอาณาจักรบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ซึ่งทอดยาวจากทิศเหนือ เริ่มที่ Wurzburg ลงมาจรดใต้ที่ Fussen ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ตอนใต้สุดของเยอรมนี เมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักดีเพราะใกล้กับที่ตั้งของปราสาทนอยชวานสไตน์

          เสน่ห์ของตลอดเส้นทางสายโรแมนติกที่มีความยาวประมาณ 350 กิโลเมตร จะเต็มไปด้วยเมืองเล็กๆ ร่วม 20 เมือง ซึ่งแม้จะไม่ใช่เมืองที่โดดเด่นด้านการช้อปปิ้งเหมือนอย่างมิวนิค หรือฮัมบูร์ก แต่เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์, ศิลปะ และวัฒนธรรมของยุโรปในยุคกลางมากมาย

          ทริปนี้ เราตั้งใจขับรถเที่ยว โดยเช่ารถกันที่เมือง Freilassing เป็นเมืองขนาดเล็กมีพื้นที่แค่ 14.7 ตร.กม. ติดชายแดนออสเตรียและเยอรมนี เราเริ่มขับขึ้นสู่เส้นทางบนถนนสายโรแมนติก ซึ่งสองข้างทางมีแต่ความสวยงาม ทั้งถนนที่คดโค้งไปมา ต้นสนเขียวชอุ่ม เทือกเขาหิมะ และบ้านเรือนหลากสีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวฉบับเยอรมนีกับหลังคาสามเหลี่ยมที่คาดด้วยเส้นตรงและเส้นทแยงมุมพาดผ่าน แถมบางจุดเราขับผ่านลำธาร เห็นหุบเขาสวยงามน่าทึ่งอีกต่างหาก

          จากเมือง Freilassing เราขับขึ้นเหนือแวะจุดแรกที่ เอาก์บูร์ก (Augsburg) เมืองเก่าแก่ของเยอรมนีที่ตั้งชื่อตามจักรพรรดิออกัสตัส (Augustus) เติมพลังด้วยพิซซ่า และไส้กรอกเยอรมัน พร้อมด้วยไวน์ขาวและเบียร์เยอรมัน นั่งชิลๆ เคล้าวิวของอาคารบ้านเรือนทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่หลายๆ หลังเพ้นท์ลวดลายสีสันสะดุดตา ที่เอาก์บูร์กยังมีพระราชวังที่โดดเด่นคือ Schaezler Palais เป็นพระราชวังสไตล์บาโรกที่ออกแบบได้วิจิตรตระการตามากโดยเฉพาะในห้องบอลรูมที่ทำจากทองคำ และงดงามด้วยภาพวาดสมัยศตวรรษที่ 17

          ออกจากเมืองเอาก์บูร์ก ก็ว่าจะตั้งใจขับชิลๆ ชมวิวสองข้างทาง แต่พ่อหนุ่มที่มาด้วยไม่ยอมขับช้าๆ เพราะกลัวว่าความเร็วแค่ 30 กม. / ชม. จะไปถึงเมืองโรเธนเบิร์ก (Rothenburg Ob De Tauber) ไม่ทันก่อนค่ำ เลยตัดสินใจขอซิ่งขึ้นทางด่วน ‘ออโต้บาร์น’ ยิงยาวรวดเดียวแบบชั่วโมงเดียวถึงที่หมาย

          ต้องบอกว่าเมืองโรเธนเบิร์กเป็นเมืองสวยงามเมืองหนึ่ง ตึกรามบ้านช่องตกแต่งด้วยกรอบไม้หลากสี ตั้งอยู่ภายในวงล้อมของกำแพงเมือง ถนนสายแคบๆ นำพาเราใกล้ชิดกับประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยมั่งคั่งจากการค้า ไวน์ โคกระบือ และขนสัตว์

         คืนนี้เราพักที่โรงแรม TOP Hotel Goldenes Fass โรงแรมเล็กๆ แต่น่ารัก มีต้นเชอร์รี่ บอสซั่ม ที่ออกดอกสีชมพูสะพรั่งต้อนรับเราตั้งแต่ทางเข้า และแน่นอนว่าจุดหมายแรกในการเดินเที่ยวเมืองนี้คือ ‘บ้านหลังสีเหลือง’ ที่สวยงามดั่งบ้านเทพนิยาย ตั้งอยู่บนถนน Plonlein เราไม่รอช้าถ่ายรูปรัวๆ กับบ้านหลังนี้ เพราะเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเองรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ที่ดึงดูดให้เราอยากใกล้ชิด  

         เช้าวันรุ่งขึ้นเราเดินออกสำรวจเมืองกันอีกรอบ แล้วก็สังเหตุเห็นว่ากำแพงเมืองมีการสลักชื่อของคนที่บริจาคเงินซ่อมแซมฟื้นฟูเมือง โดยไกด์หนุ่มชาวเยอรมันเล่าย้อนอดีตให้คณะเราฟังว่า เมืองโรเธนเบิร์กรอดพ้นจากการถูกทิ้งระเบิดในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะในสมัยนายพล John J. McCloy นึกถึงภาพวาดเมืองนี้ ที่แม่ตัวเองเคยวาดไว้และแขวนอยู่ที่บ้าน เลยสั่งยับยั้งไม่ให้กองทัพสหรัฐทิ้งระเบิด  

          ช่วงสายของวันเราไปเดินเล่นที่ตลาด Farmer Market ชาวเมืองนำของเก่าเหลือใช้มาขายในราคาถูกๆ มีทุกอย่างตั้งแต่ของใช้ในบ้าน, ของตกแต่ง, ของเล่น, ผลไม้ และเบเกอรี่ มีหรือที่เราจะพลาด ก็ได้ชุดที่รองแก้วทำจากโลหะสีเงินลายดอกไม้มา 10 กว่าชิ้น ในราคาแค่ 10 กว่ายูโร/ชุด ช่วงกลางคืนเราทัวร์ Watchman โดยมีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผมหยักศกยาวประบ่าในชุดเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามาที่หน้าศาลากลางเมือง มือซ้ายเขาจะถือ Halberd (ขวานปลายหอก) กับตะเกียง

          เขาเล่าว่าในสมัยโบราณมีอยู่ 3 อาชีพคนรังเกียจและไม่มีใครอยากทำ ได้แก่เพชฌฆาต, สัปเหร่อ และ Night Watchman ด้วยความเชื่อโชคลางของคนในสมัยก่อนที่ว่าอาชีพอะไรก็ตามที่ต้องทำยามดึกดื่น เกี่ยวข้องกับความมืด ความตาย มันเป็นอาถรรพ์ เป็นลางร้าย อาชีพ Night Watchman จึงกลายเป็นอาชีพที่อยู่ระดับล่างสุดๆ

          โดยเมื่อก่อน Night Watchman มีกัน 6 คน ทำหน้าที่เดินตรวจตราและเฝ้าประตูเมือง ตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว โชคดีที่ว่าอาชีพนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยโดนดูถูกเหมือนในสมัยก่อน (ขนาดเรายังไปขอถ่ายภาพด้วยราวกับเขาเป็นคนดัง)

          เช้าวันถัดมาเราออกเดินทางไปยังเมือง Fussen ทางตอนใต้ของถนนสายโรแมนติก จากการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เราสนใจที่จะแวะเมืองเล็กๆ ชื่อ ไวแกร์สไฮน์ (Weikersheim) ที่ต้องขับขึ้นไปทางเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร  เพราะเราอยากไปดูปราสาทไวแกร์สไฮน์ (Weikersheim Castle) เมื่อไปถึง เราจอดรถตรงจตุรัสใจกลางเมือง แล้วเดินไปยังปราสาทที่ต้องผ่านซอยเล็กๆ เข้าไป ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปข้างในถึงกับอ้าปากค้างด้วยความใหญ่โตโอ่อ่าเกินกว่าที่คิดเอาไว้มากๆ

          ตามประวัติบอกว่าปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของบรรดาเจ้าชายในราชวงค์โฮเฮิน ลู (Princes of Hohenlohe) สร้างโดยท่านเคาท์วูฟกังที่ 2 (Count Wolfgang II of Hohenlohe) ในช่วงศตวรรษที่ 16 ในสไตล์เรอเนซองส์ ห้องแต่ละห้องสุดแสนจะอลังการ ห้องที่เป็นไฮไลต์เลยคือ ริทเตอร์ซาล หรือ ห้องอัศวิน (Knight’s Hall ด้วยความกว้างขวาง โอ่อ่า สมกับเป็นห้องที่ใช้จัดงานเลี้ยงรับรองแขก เชิดหน้าชูตาของปราสาทอย่างแท้จริง เพดานห้องตกแต่งด้วยกรอบไม้ แต่ละช่องมีภาพวาดเกี่ยวกับการล่าสัตว์ รวมถึงภาพภูมิประเทศวิวทิวทัศน์ ตามผนังประดับด้วยภาพวาดของบรรดาสมาชิกในตระกูล รอบๆ ห้องประดับด้วยรูปปั้นแบบสามมิติ เช่น ช้าง กวาง ฯลฯ

         

 

          ไม่เพียงแค่นี้ สวนของที่นี่ยังงดงาม กว้างสุดลูกหูลูกตา เรียกว่า ไวแกร์สไฮน์ เป็นเมืองที่เราประทับใจแบบไม่คาดฝัน ก่อนจะปิดท้ายทริปเส้นทางถนนสายโรแมนติกที่ Fussen เมืองเล็กๆ ที่โดดเด่นด้วยตึกอาคารสีลูกกวาด ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Schwangau อันเป็นที่ตั้งของปราสาทนอยชวานสไตน์ (Schloss Neuschwanstein) และปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Hohenschwangau) โดยการเดินทางขึ้นปราสาทจะเดินขึ้น, นั่งรถม้า หรือนั่งรถบัสก็ได้

          Fussen ถือเป็นเมืองเล็กๆ ที่อบอุ่น สงบๆ สบายๆ เหมือนได้พักผ่อนจากการขับรถร่วม 350 กิโลเมตรจากเหนือมาถึงที่นี่ เราแวะถ่ายภาพเมืองสีสันลูกกวาด ดื่มด่ำวิวธรรมชาติริมระเบียงโรงแรมที่เห็นเทือกเขาหิมะสีขาวตัดกับสีสันพาสเทลของเมือง นับเป็นการปิดทริปโรแมนติกครั้งนี้ได้แบบหัวใจพองฟู

Fact Box

  • การเช่ารถจากประเทศหนึ่งแล้วคืนรถอีกประเทศหนึ่ง แต่ละเอเจ้นท์มักจะมีจำนวนรถค่อนข้างจำกัด แนะนำให้เช่ารถ โดยเลือกรับและคืนรถภายในประเทศเดียว จะประหยัดค่าเช่ารถลงได้กว่า 20-30%
  • ทางด่วนของเยอรมัน คือ Autobahn หรือ Bundesautobahn เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงจากรัฐบาลนาซีของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นทางหลวงสายหลักที่ไม่มีการจำกัดความเร็ว และขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่เรียบและเป็นเส้นตรงมากที่สุด
  • บ้านไฮไลท์หลังสีเหลืองในเมือง Rothenburg Ob De Tauber ตั้งอยู่บน Plönplein เป็นจุดที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุด ใกล้ๆ กันมีหอคอยที่มีนาฬิกาคือ ซีเบอร์สทูน (Siebers Tower) และด้านขวาคือประตูโกบอลเซลเลอร์ (Kobolzell Gate) ให้เห็นเป็นสัญลักษณ์เด่นของเมือง
Tags: ,