314 คน คือจำนวนของเด็กที่มูลนิธิกระจกเงาได้รับแจ้งว่าหายตัวไปในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ที่ได้รับแจ้ง 296 คนถึง 6% และยังสูงกว่าจำนวนเด็กหายใน 6 ปีที่ผ่านมา
สิ่งที่น่าสนใจคือ กว่า 72% หรือ 227 คนของจำนวนเด็กที่หายตัวไปทั้งหมดนั้น ‘สมัครใจ’ หนีออกจากบ้านเอง
The Momentum พูดคุยกับ เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ที่ได้วิเคราะห์ข้อมูลของเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้านแต่ละกรณี และพบว่า สาเหตุสำคัญอาจมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว เชื่อมโยงไปถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่
“การสมัครใจหนีออกจากบ้านของเด็ก เป็นตัวชี้วัดสภาพปัญหาครอบครัวได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจและสังคมมีส่วนทำให้เกิดความเปราะบางในครอบครัว” เอกลักษณ์ระบุ
ปัญหาครอบครัวที่เป็นสาเหตุการหายตัวไปของเด็กคืออะไร สภาพเศรษฐกิจและสังคมมีผลอย่างไรกับการเลี้ยงดูเด็กของครอบครัว วิธีการแก้ปัญหาของครอบครัวเพื่อป้องกันการหนีออกจากบ้านของเด็กมีอะไรบ้าง หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ได้ให้คำตอบไว้ในบทความนี้
สภาพเศรษฐกิจและสังคม
เอกลักษณ์เริ่มเล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจหนีออกจากบ้านของเด็กว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความ ‘เปราะบาง’ ของความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีปัจจัยมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคม ด้วยสถานะทางเศรษฐกิจทำให้พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก เพราะต้องออกไปทำงาน พ่อแม่จึงขาดเวลาในการเลี้ยงดูลูก
“ในเคสเด็กหายพอเรามาวิเคราะห์ว่า ทำไมพ่อแม่ของเด็กบางคนไม่รู้ว่าลูกตัวเองเรียนอยู่ชั้นใดหรือห้องไหน ครูประจำชั้นชื่ออะไร ก็เพราะว่าเขาเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่หรือกรุงเทพฯ แล้วฝากลูกเอาไว้กับปู่ย่าตายาย แค่ส่งเงินให้ บางคนออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดจะกลับก็ตอนค่ำเพื่อเอาเงินมาดูแลครอบครัว เลยไม่มีเวลาเอาใจใส่ลูก เศรษฐกิจและสังคมมันดึงเวลาไปจากครอบครัวของเขา”
ในขณะที่การจะทำงานใกล้บ้าน สำหรับครอบครัวที่อยู่ในจังหวัดชนบท เอกลักษณ์มองว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากมีงานน้อยและรายได้ต่ำไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนพ่อแม่ที่พาลูกมาอยู่ในเมืองหลวง อาจเผชิญปัญหาเด็กไม่สามารถอยู่ได้ด้วยสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ เด็กจึงเลือกที่จะย้ายกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ทั้งนี้อาจมีเด็กบางคนที่เลือกจะไม่กลับบ้าน แต่ออกไปใช้ชีวิตนอกสายตาของครอบครัว
“เด็กต่างจังหวัดมักใช้ชีวิตแบบโลดโผน พวกเขามีความอดทน และมีความแข็งแกร่ง จึงสามารถใช้ชีวิตนอกบ้าน โดยไม่ต้องกลับไปหาครอบครัวในพื้นที่ชนบท เด็กบางคนเขาเลยเลือกออกไปใช้ชีวิตเร่ร่อนตามยถากรรมแทนการกลับบ้านเกิด
“ส่วนการที่เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย ด้วยวัยที่ต่างกัน เขาคุยกันคนละภาษา บางครั้งเด็กเลยคุยกับเขาไม่รู้เรื่องแล้วถูกด่า ใช้คำพูดกระทบกระทั่ง เช่นการไปบอกว่า เพราะพ่อแม่ของเด็กไม่สนใจเลยต้องมาอยู่กับเขา คำพูดพวกนี้มันอยู่ในหัวใจของเด็ก วันหนึ่งเขาจะรู้สึกว่า เขาเป็นภาระ ไม่เป็นที่ต้องการของบ้าน เด็กก็จะติดเพื่อนแทน แล้วก็จะตัดสินใจหนีออกจากบ้าน”
การมองหาพื้นที่นอกครอบครัว
สภาพสังคมและเศรษฐกิจไทยที่ทำให้หลายครอบครัวเผชิญกับการโยกย้ายออกจากบ้านเกิด และต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลามอบทักษะชีวิตให้กับลูก ทำให้เด็กมองหาพื้นที่อื่นๆ นอกจากครอบครัว เพื่อเรียนรู้และมองหาความรักความอบอุ่นที่เขาได้รับจากพ่อแม่อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งพื้นที่ที่เอกลักษณ์กล่าวถึงนั้นคือ ‘อินเทอร์เน็ต’
“ปัจจุบันทุกคนอยู่ในโลกออนไลน์เกือบ 24 ชั่วโมง เพราะมันอยู่ในมือถือของเด็ก มันก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เขาเปิดโลก แต่หากพูดถึงอินเทอร์เน็ตกับเด็กในครอบครัวเปราะบาง มันทำให้เขาเข้าถึงกลุ่มเพื่อนในโลกออนไลน์ สามารถสืบค้นได้ว่าจะพาตัวเองไปที่ไหน มันเลยทำให้เขาตัดสินใจได้เร็วว่าจะออกจากบ้าน โดยใช้ความสัมพันธ์ของคนในเกม หรือความบันเทิงในโลกออนไลน์ประกอบการตัดสินใจ
“จากเคสเด็กหาย เราเห็นว่า เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย อยู่กับครอบครัวพ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยว หรือเด็กอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลาในการที่จะพูดคุยให้คำแนะนำ หรือทำกิจกรรมร่วมกัน เขาก็จะเป็นกลุ่มเด็กที่เข้าไปหาความรักความอบอุ่น ความเข้าใจจากข้างนอก เพราะเด็กยุคนี้เขาเข้าถึงสื่อต่างๆ เข้าถึงการรับรู้ต่างๆ ได้เร็วขึ้น”
ช่วงวัยแห่งการรับรู้
ข้อสังเกตคือ อายุเฉลี่ยของเด็กที่หายออกจากบ้านมากที่สุดคือ ช่วงอายุ 11-15 ปี ซึ่งในปี 2567 มีเด็กหายในช่วงอายุนี้ถึง 171 คน ซึ่งเอกลักษณ์มองว่า วัยนี้เป็นช่วง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ที่พ่อแม่ต้องเอาใจใส่ไม่ให้ขาดตอน
“เด็กในวัยนี้หากเข้าเรียนตามเกณฑ์ อายุ 12 ปีก็เตรียมจะเข้าเรียนมัธยมแล้ว เขาอาจจะต้องไปโรงเรียนเอง เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือได้นานขึ้นหรือมีมือถือเป็นของตัวเอง อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ มีแรงขับทางเพศ บางคนได้ไปเรียนในที่ไกลๆ ก็มีโอกาสได้ไปเปิดโลกภายนอก เขาจะมีความเป็นตัวเอง มีโลกส่วนตัวและคิดว่าตัวเองโตพอแล้ว”
ส่วนเด็กในวัย 16-18 ปีที่พบว่า มีเด็กหายรองจากเด็กวัย 11-15 ปี เอกลักษณ์ชี้ว่า เป็นอีกช่วงอายุที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นวัยค้นหาตัวเอง หลายคนเริ่มปูทางว่าจะทำอาชีพอะไรเมื่อเรียนจบ
“วัยนี้ยังค้นหาตัวเองอยู่ ค้นหาจากเพื่อน ค้นหาจากครอบครัว ค้นหาจากประสบการณ์ชีวิตตัวเอง ค้นหาจากโลกอินเทอร์เน็ต ผมประเมินว่า วัยนี้พ่อแม่ต้องใส่ใจมากๆ ถ้าเราขาดตอนการใส่ใจไป ทิ้งเขาไปให้เขาดูแลตัวเอง คนที่ดูแลเขาจะเป็นคนนอกครอบครัว คนในโลกออนไลน์ เป็นเพื่อน คนที่เขาไว้วางใจ เป็นคนที่อยากมีเพศสัมพันธ์กับเขา ซึ่งจะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก”
เมื่อเด็กหนีออกจากบ้าน มุ่งหน้าเข้าหาสังคมที่พวกเขามองว่า ให้ความอบอุ่น ความไว้ใจ และคำแนะนำกับเขาได้ ก็จะทำให้เขาไม่เชื่อมั่นในครอบครัว เอกลักษณ์เล็งเห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก เพราะอาจเกิดการชี้นำให้ทำในสิ่งผิดด้วยความเชื่อใจ เช่น การเสพสารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ เกิดการตั้งครรภ์ไม่พร้อมนำมาสู่การทำแท้งเถื่อน หรือวนมาสู่ปัญหาการสร้างครอบครัวไม่พร้อม กระทั่งการถูกหลอกลวงไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะต้องการมองหารายได้หาเลี้ยงชีพตัวเอง โดยสถิติจากศูนย์ข้อมูลเด็กหาย มูลนิธิกระจกเงา พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2566-2567 มีเด็กถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน 11 คน โดยอายุที่น้อยที่สุดที่ถูกหลอกไปมีอายุ 14 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญหากมีการใช้สารเสพติดในกลุ่มเด็กที่หายตัวไปเพื่อความบันเทิง ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เด็กตกอยู่ในอาการทางจิตจากฤทธิ์ยา ท้ายที่สุดหากไม่มีหน่วยงานช่วยเหลือ หรือตัวเขาเองไม่สามารถออกจากวงจรยาเสพติดได้ ก็จะวนกลับมาสู่การเป็นผู้ป่วยจิตเวชและกลายเป็นบุคคลสูญหายอีกครั้ง
ครอบครัวต้องเข้มแข็ง ภาครัฐต้องเข้าถึงปัญหา คือทางออกของปัญหาเด็กหาย
เมื่อจำนวนเด็กไทยที่หนีออกจากบ้านกลับมาเพิ่มสูงขึ้น อาจจะต้องกลับมาตั้งคำถามกับวิธีการแก้ปัญหาของครอบครัวไปจนถึงระดับภาครัฐว่า มีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มปัญหาอย่างแท้จริงหรือไม่
เอกลักษณ์ชี้ว่า หน่วยงานของรัฐที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กยังคงเดินตามหลังปัญหา โดยยกตัวอย่างการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่มักจัดในห้างสรรพสินค้าหรือห้องประชุมภายในโรงแรม เด็กและครอบครัวที่ร่วมกิจกรรมจึงมักไม่ใช่กลุ่มที่มีปัญหาเสี่ยงที่เด็กจะหนีออกจากบ้าน
ส่วนการทำงานของหน่วยงานภายใต้องค์กร พม.อย่างบ้านพักฉุกเฉิน ซึ่งเป็นที่พักพิงชั่วคราวให้แก่ผู้หญิงและเด็กที่ประสบปัญหาในครอบครัว เอกลักษณ์ชี้ว่า มีความไม่ต้องการรับเคสปัญหาของเด็กวัยรุ่นด้วยทัศนคติที่มองว่า เป็นเด็กเกเรและดูแลยาก หากรับมาแล้วจะเกิดเหตุหนีซ้ำซ้อน จึงเลือกที่จะตัดปัญหาแทนการทำความเข้าใจและหาแนวทางรับมือ
“ปัจจุบันนี้ทุกคนเบี่ยงหมด บ้านพักของรัฐไม่อยากรับเด็กวัยรุ่น เขาคิดว่าเด็กกลุ่มนี้จะเป็นปัญหา แต่หาก พม.ไม่รับพวกเขาไว้แล้วหามาตรการมาดูแล สถานที่ต่อไปที่เขาจะไปคือสถานพินิจของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งหมายความว่า เด็กต้องทำสิ่งผิดกฎหมายก่อน นั่นหมายความว่า ถ้ารัฐไม่แก้ปัญหาให้กับเด็ก จนวันหนึ่งเขาทำผิดกฎหมายและจึงจะรับไปดูแล”
ท้ายที่สุดครอบครัวยังคงเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะลดปัญหาการหนีออกจากบ้านของเด็กไทย โดยใช้การพูดคุยอย่างเข้าใจ ใจเย็น และเป็นมิตรกับบุตรหลาน มากกว่าการตำหนิแบบไม่มีเหตุผล
ทั้งนี้การเพิ่มเวลาระหว่างพ่อแม่กับลูกมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความเหนียวแน่นในความสัมพันธ์ เอกลักษณ์จึงแนะนำว่า พ่อแม่ควรทำกิจกรรมกับลูกๆ เช่น การได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้า สอบถามสารทุกข์สุกดิบ ไปจนถึงทำความรู้จักกับคนรอบข้างของลูก
เอกลักษณ์มองว่า สิ่งที่สำคัญคือ การ ‘วางแผน’ ตั้งแต่จุดตั้งต้นการเริ่มสร้างครอบครัว ตรวจสอบความพร้อมทั้งสถานะทางการเงินและความมั่นคงในชีวิต จัดบทบาทดูแลเลี้ยงดูกันระหว่างคู่รักและครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายก่อนการมีลูก จะช่วยป้องกันปัญหาการเติบโตมาด้วยความไม่พร้อมของเด็กได้เช่นเดียวกัน
Tags: เด็ก, การศึกษา, ครอบครัว, วัยรุ่น, เด็กหาย, บ้าน