วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2568) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังที่ประชุมร่วมของรัฐสภาล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ถึงกึ่งหนึ่งตอนหนึ่งว่า ในการประชุมร่วมรัฐสภาวันนี้ ระหว่างพักการประชุม ก่อนที่สภาฯ จะล่ม มีการหารือร่วมกันระหว่างวิปฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยข้อสรุปคือ ฝ่ายรัฐบาลมีข้อกังวลเรื่องข้อกฎหมายและมีข้อกังวลเรื่องการฟ้องร้อง แต่ในระหว่างยังไม่มีการลงมติ ก็ควรเปิดอภิปรายให้สังคมเข้าใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามหลังผลการประชุมออกมา ยังคงมีการเดินหน้านับองค์ประชุมโดยฝ่ายรัฐบาลต่อ นำไปสู่เหตุการณ์สภาฯ ล่ม

ณัฐพงษ์ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ไม่ว่าจะ ‘เดินอ้อม’ อย่างที่พรรคเพื่อไทยแถลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ก็สะท้อนอยู่ดีว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ฉะนั้นพรรคประชาชนจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการเดินหน้าตรงๆ เดินหน้าอย่างจริงจัง และตรงไปตรงมา 

อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นใน 2 วันที่มีการพิจารณาเรื่องรัฐธรรมนูญ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นคือเรื่องการขาดเจตนารมณ์ การขาดความเป็นนิติรัฐ และขาดในเรื่องความเคารพต่อเสียงของประชาชน

สำหรับเรื่องการขาดเจตนารมณ์ ณัฐพงษ์อธิบายว่า หากก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ก็ควรเสนอเป็นร่างของคณะรัฐมนตรี ให้ผ่านการทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาลให้เรียบร้อย แต่กลับเสนอในร่างของพรรคเพื่อไทยเพียงร่างเดียว จนพบเหตุการณ์ที่เป็นอยู่คือ ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมฯ ทั้งยังมีการให้สัมภาษณ์ของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยหารือเรื่องนี้กับพรรคภูมิใจไทยในการผลักดันร่างนี้ให้เป็นร่างพรรคร่วมรัฐบาล

“ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์เมื่อวาน ที่พรรคเพื่อไทยแถลงเป็นการบอกว่า ต้องเดินอ้อม ให้สภาฯ ล่ม เพื่อให้ญัตตินี้ยังคงค้างในสภา ประชาชนทุกคนเห็นว่าเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่ออธิบายสถานการณ์เฉพาะหน้า และ สส.จากพรรคเพื่อไทยหลายคนก็ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์เมื่อวานเป็นเหตุการณ์ไม่คาดดิด เลยใช้เรื่องดังกล่าวมาเป็นเหตุผลมาอธิบายเหตุการณ์เฉพาะหน้าเมื่อวาน”

ข้อที่ 2 ณัฐพงษ์ระบุว่า ชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังขาดความเป็นนิติรัฐ ไม่ได้ถูกปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด แต่ประเทศไทยกำลังอยู่ภายใต้การปกครองของศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่าสมาชิกรัฐสภาแทนที่จะยึดถือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตีความเอง กล้าใช้อำนาจเอง กลับไม่ได้ใช้อำนาจอย่างนั้น พอจะทำอะไรต้องกลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน สะท้อนว่าขาดความเป็นนิติรัฐชัดเจน

ขณะที่ข้อที่ 3 คือการไม่เคารพเสียงของประชาชน โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นนโยบายหาเสียงของแทบทุกพรรคการเมือง และเมื่อครั้งเลือกตั้งก็มีข้อเสนอแบบเดียวกันว่า จะเร่งเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดจนเป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา

“ถ้านายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาลมีความจริงจังเดินหน้าเรื่องนี้ นายกฯ เป็นคนที่ถืออำนาจสูงสุดอยู่แล้วในการยุบสภา สามารถเจรจาพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลและแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยเคารพเสียงของประชาชน 

“ถ้าไม่สามารถเดินหน้าผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภาได้ นายกฯ ก็มีอำนาจในการยุบสภา เพื่อคืนสิทธิให้ประชาชนได้” ณัฐพงษ์ระบุ

ด้าน พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า สาเหตุที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทยและ สว. ไม่น่าจะเป็นเพราะข้อกังวลทางกฎหมายหรือความต้องการความชัดเจนเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพราะทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ จึงชัดเจนต้นตอและสาเหตุคือ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน โดยปรากฏความขัดแย้งในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายกลาโหม รายงานนิรโทษกรรม เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ กัญชา ค่าแรง แม้กระทั่งแนวทางในการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์

ฉะนั้นทางออกของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง จึงไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นายกฯ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและรัฐบาลผสม จึงต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลและผลักดันนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จ แต่หากนายกฯ ไม่สามารถใช้อำนาจดังกล่าว เพื่อบริหารพรรคร่วมรัฐบาลและบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ตนก็เห็นสอดคล้องกับผู้นำฝ่ายค้านว่า สมควรพิจารณาการยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

Tags: , , , ,