เมื่อวานนี้ (22 เมษายน 2568) เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (Indigenous Media Network: IMN) รายงานสถานการณ์ล่าสุดของชาวไทดำจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ปักหลักชุมนุมค้างคืน บริเวณอาคารสหประชาชาติ (United Nations: UN) ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน เพื่อเรียกร้องสิทธิที่ดินทำกิน หลังนายอำเภอติดประกาศไล่ประชาชนออกจากพื้นที่
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำส่งตัวแทน 20 คน ไปที่พรรคภูมิใจไทยเพื่อยื่นหนังสือถึง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมี สิรวิชญ์ บ่อถ้ำ หัวหน้าฝ่ายประสานงานพรรคภูมิใจไทยเป็นตัวแทนรับหนังสือ
ในขั้นตอนการยื่นหนังสือ อิสรีย์ พรายงาม เปิดเผยเหตุผลที่พวกเขาเดินทางมากรุงเทพฯ ว่า ชาวไทดำถูกไล่ที่อยู่อาศัยมานานกว่า 70 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2529 ภายหลังมีประกาศจากหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ทับที่ดินทำกิน แต่ที่ผ่านมา ชาวบ้านพยายามเจรจาหาทางออกร่วมกับทางการมาโดยตลอด
กระทั่งในวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ฝ่ายปกครองได้ติดประกาศ ‘ไม่อนุญาต’ ให้ชาวไทดำ ในหมู่ 1 และหมู่ 4 ของตำบลทรัพย์ทวี อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่อาศัยอีกต่อไป โดยให้เวลา 30 วันในการย้ายออก ซึ่งปัจจุบันครบเงื่อนเวลาที่กำหนดแล้ว จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านรู้สึกเป็นกังวล
“ที่ผ่านมาไม่เคยรุนแรงถึงขนาดที่มาติดป้ายไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่แบบนี้ เขาไม่มีการแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าเลย ทั้งๆ ที่ประเด็น น.ส.ล.มีการสอบสวนจากผู้มีอำนาจหน้าที่คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและรัฐมนตรีมหาดไทยแล้วว่า ระบุผิดตำแหน่ง ผมจึงตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมทางอำเภอถึงไม่มีการทำงานประสานงานกับส่วนกลาง”
ด้าน จันทรันต์ รู้พันธ์ ผู้ประสานงานกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ชุมชนไทดำ หมู่ 1 และ 4 ที่ได้รับผลกระทบกล่าวว่า ที่ผ่านมา ฝกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำในนามกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ไทดำ เข้าร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) เพื่อเจรจาแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อระหว่างกับรัฐมาตลอด โดยมีการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาจนถึงปี 2564 และได้ข้อสรุปว่า ประกาศ น.ส.ลในปี 2529, 2547 และ 2748 ผิดพลาด ทำให้มีมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ให้ดำเนินการแก้ไขเพื่อยุติข้อพิพาท ผ่านการลงนามความเห็นชอบทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และกระทรวง นำไปสู่การทำแผนที่ใหม่เพื่อเพิกถอน น.ส.ล.ปี 2529 เป็นจำนวน 1,318 ไร่
ทั้งนี้รายละเอียดในหนังสือที่ยื่นให้กับพรรคภูมิใจไทยสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ขอให้มีการตรวจสอบการดำเนินการสั่งขับไล่รื้อถอนที่อยู่และผลอาสิน ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลภายใต้กระทรวงมหาดไทย ถือเป็นการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีและมติของคณะกรรมการที่กำลังดำเนินการแก้ปัญหาอยู่ ขณะที่ในระหว่างการตรวจสอบ ขอให้นายอำเภอบ้านนาเดิม กลับมาทำงานในกรมการปกครอง จนกว่าปัญหาจะแก้แล้วเสร็จ
2. ขอให้อนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง และปัญหาความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย เร่งแก้ไขกรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอ อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวานนี้ (22 เมษายน 2568) ชาวไทดำจำนวน 70 คน เดินจากอาคาร UN ไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยมีตัวแทน 3 คน ได้แก่ อิสรีย์, จันทรัตน์ และยายหีต ผู้ใหญ่อาวุโสของชุมชน เพื่อเข้าหารือกับ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ร่วมกับรองผู้ว่าการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และปลัดอำเภอในระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
จันทรัตน์เปิดเผยว่า ฝ่ายราชการยืนยันว่า การติดป้ายไม่ให้ชาวไทดำเข้าไปอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 และ 4 เป็นไปตามคำสั่งศาลปกครอง ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในปี 2561 หลังมีคำสั่งการให้พื้นที่ดังกล่าวทำแก้มลิงเพื่อรองรับน้ำ ขณะที่มีการทำลายทรัพยากรที่ชาวบ้านปลูกไว้ จึงตัดสินใจยื่นฟ้องศาลปกครอง แต่พบว่า ศาลสั่งยกฟ้องและอ้างว่า ชาวบ้าน ‘ไม่มีเอกสารสิทธิ’ และได้รับอนุญาตให้อยู่ในที่ดินแห่งนี้
“ทางจังหวัดยืนยันเหมือนเดิมว่า น.ส.ล.ถูกต้องตามตำแหน่ง ที่ต้องปราบปรามชาวบ้าน เพราะเป็นคำสั่งของศาลปกครอง”
จันทรัตน์กล่าวว่า คำวินิจฉัยไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิทธิที่ดินทำกิน แต่เจ้าหน้าที่หยิบประเด็นดังกล่าวมาขับไล่ประชาชนออกจากพื้นที่
ขณะที่ ประยงค์ ดอกลำใย ที่ปรึกษา P-move เสริมว่า ขณะนี้ฝ่ายการเมืองรับรู้ปัญหาแล้ว ขณะที่มีทิศทางจากฝั่งรัฐบาลและหน่วยงานราชการในพื้นที่พยายามหาทางออกร่วมกัน แต่ติดปัญหาที่องค์กรอิสระคือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะสามารถเอาผิดนายอำเภอตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 ในฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบได้ หากไม่ขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่
สำหรับประเด็นที่ต้องจับตามองในวันนี้คือ กระทรวงมหาดไทยจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์และเอกชนปล่อยทิ้งร้าง ซึ่งผลสรุปอาจส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของชาวไทดำอย่างแน่นอน