หากถามกลุ่มแฟนคลับผู้ชื่นชอบ K-Pop ถึงร้านที่มีความนิยมในการ ‘พรีออเดอร์อัลบั้ม’ ซึ่งช่วงนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ หลังจากศิลปินหรือไอดอลหลายวงแห่ทยอยคัมแบ็กในเดือนกรกฎาคม หรือเดือน 7 ที่กำลังจะถึง 

หลายคนคงจะยกมือตอบแบบสุดแขนว่า พวกเขาเลือกซื้อหรือพรีออเดอร์อัลบั้มกับตัวแทนจำหน่ายอย่าง ‘KTown4U’ ‘Soundwave’ ‘Apple Music’ และ ‘MakeStar’ ด้วยเหตุผลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแน่นอนในการทำยอดสถิติใหม่ๆ ให้ศิลปินที่ตนรัก เพราะยอดขายบริษัทเหล่านี้ถูกนับรวมอย่างเป็นทางการ หรือการจัดส่งที่รวดเร็ว พร้อมของแถมมากมาย 

ขณะที่บางส่วนก็เลือกตอบบริษัท ‘ชินนารา’ (Synnara Records) ซึ่งได้รับความนิยมเป็นพิเศษ เพราะราคาที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งแฟนๆ ทั่วโลกยังเข้าถึงการสั่งซื้ออัลบั้มเป็นภาษาอังกฤษได้โดยตรง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจ หากร้านค้าคนกลางของหลายประเทศจะเลือกจัดหาอัลบั้มจากชินนารา

เพราะความคิดที่ว่า ‘ของถูก ประหยัดเงิน เข้าถึงง่าย และสนับสนุนไอดอลที่ตนเองรัก’ แต่ใครจะรู้ว่า สิ่งเหล่านี้กำลังสร้าง ‘ภัยมืด’ สนับสนุนอาชญากรร้ายแรงในอีกทางหนึ่งโดยที่เราไม่รู้ตัว 

เมื่อไม่นานมานี้ มีคำเตือนจากเหล่าบ้านแฟนเบสฝั่งไทยและอินเตอร์ในกลุ่มแฟนด้อมเกาหลีว่า ห้ามพรีออเดอร์อัลบั้มจากชินนารา หลังมีการเปิดโปงความเน่าเฟะขององค์กรนี้ผ่านสารคดีเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ‘In the Name of God: A Holy Betrayal’ ด้วยการให้ปากคำของเหยื่อผู้โชคร้าย ซึ่งเผยว่า ชินนาราเชื่อมโยงกับลัทธิ ‘สวนเด็กน้อย’ (Aga Dongsan: 아가동산) ที่เคยก่ออาชญากรรมขูดรีดแรงงาน ล่วงละเมิดทางเพศ และทำร้ายเด็กจนตาย

“NF มีสารคดีเรื่องใหม่เพิ่งลง ชื่อ In the Name of God: A Holy Betrayal ก็เป็นสารคดีเจาะลึกเบื้องหลังลัทธิในเกาหลี แต่รอบนี้ hit the new level ตรงเจ้าของลัทธิเป็นผู้ก่อตั้ง Synnara Record ร้านขายอัลบัมสุดฮ็อตฮิตในวงการ แล้วเอาเงินไปรันลัทธิตัวเองที่ child abuse” แอ็กเคานต์ @cattboyj_w พูดถึงประเด็นดังกล่าวจากต้นทวีตของอาร์มี่ (ชื่อแฟนคลับวง BTS) ชาวอินเตอร์รายหนึ่งที่เตือนทุกคนถึงความเชื่อมโยงของชินนารากับลัทธิสวนเด็กน้อย 

บ้านเบส EXO – Beagle LineTH ออกมาเตือนถึงการซื้ออัลบั้มกับชินนารา

นอกจากนั้น ค่ายต้นสังกัดชื่อดังของเกาหลีบางส่วน ก็ถอดชินนาราออกจากการเป็นคู่ค้าจัดจำหน่ายอัลบั้ม รวมถึงการคว่ำบาตรจากหลายแฟนด้อมโดยตรง หลังจากข่าวอันน่าโสมมปรากฏออกมา

เพราะบางครั้ง การสนับสนุนไอดอลด้วยความรักก็ซ้ำเติม ‘การลิดรอนสิทธิมนุษยชน’ และ ‘ความตายของผู้คน’ โดยที่เราคาดไม่ถึง 

The Momentum จึงพาทุกคนเปิดความเป็นมาของ ‘ชินนารา’ บริษัทแผ่นเสียงชื่อดังของเกาหลี ที่มีเบื้องหลังคาวๆ ภายใต้ ‘สวนเด็กน้อย’ ลัทธิแปลกประหลาด ขูดรีดแรงงาน ล่วงละเมิดทางเพศ และก่ออาชญากรรมเด็ก 7 ขวบจนตาย 

 

***Trigger Warning: บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องเหตุการณ์สะเทือนขวัญ การล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual Abuse) โรคใคร่เด็ก (Pedophilia) การขูดรีดแรงงาน (Labor Exploitation) อาชญากรรมรุนแรงต่อเด็ก (Child Abuse) การเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ การทรมานร่างกาย และการฆาตกรรม 

 

ย้อนความเป็นมาของเจ้าลัทธิสวนเด็กน้อย: คิม กีซุน นางพญาผึ้งของลัทธิผู้อยู่เบื้องหลังความวิปริตเหนือมนุษย์ 

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมด คือ ‘คิม กีซุน’ (Kim Ki-soon) เธอเป็นอดีตลูกศิษย์บาทหลวง ลี กโยบู (Lee Kyo-bu) ผู้ถูกจับกุมเพราะก่อความผิดอันฉาวโฉ่ในฐานข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิง 8 คน อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด ชอบทำร้ายทุบตีสมาชิก และเต้นรำเปลือยกายกับเหล่าสาวก

คิม กีซุนมักถูกจดจำด้วยหน้าตาอันเรียบง่าย มีเพียงแว่นตาสีโปร่งปิดกั้นใบหน้า อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเธอสวนทางจากรูปลักษณ์ภายนอกทั้งหมด เพราะเจ้าลัทธิคนนี้มีชีวิตที่ยากลำบาก เนื่องจากเธอสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย 

(ที่มา: Koreaboo)

แต่นั่นก็ทวีคูณความทะเยอทะยานของเธอเอง เพราะคิม กีซุนมีความมุ่งมั่น ต้องการแสวงหาเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ในชีวิต เธอใช้โอกาสที่ ลี กโยบูถูกจับ และเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้นำทางศาสนาแทน โดยอ้างว่า อดีตบาทหลวงสนับสนุนให้เธอรับตำแหน่งนี้ อีกทั้งยังสั่งให้สาวกหาเงินมากมายมาให้ เพราะเธอต้องการสร้าง ‘อาณาจักรพันปี’ ที่ไม่มีวันล่มสลาย 

แม้ว่าคำโกหกของเธอ ฟังดูเป็นเรื่องตลกของคนธรรมดา แต่สิ่งเหล่านี้มีความหมายมากสำหรับผู้ที่ศรัทธา โดยเฉพาะคำสั่งสอนอันเป็นเอกลักษณ์ของคิม กีซุน ว่าด้วย ‘ความรัก’ และ ‘ชีวิตอมตะ’ เธอเน้นย้ำเรื่องเหล่านี้ด้วยการบอกว่า ‘พระเจ้าคือความรัก’ อดีตลูกศิษย์หลายคนจึงหลงเชื่อว่า อาณาจักรพันปีนี้คือสรวงสวรรค์จริงๆ

“หากต้องการไปยังอาณาจักรพันปี หรือโลกพันปีที่สามารถใช้ชีวิตเป็นนิจนิรันดร์ได้จะต้องมีความรัก” คำสอนของคิม กีซุนที่ถูกบอกเล่าจากอดีตลูกศิษย์

“ฉันคิดว่าอยู่ที่นั่น (สวนเด็กน้อย) วิญญาณของฉันจะไม่ตายและคงอยู่ตลอดไป” อดีตสาวกของคิม กีซุนบอกเล่าผ่านสารคดี In the Name of God: A Holy Betrayal

สาวกหลายคนจึงหลงเชื่อทำตามโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ บางคนนำทรัพย์สินไปขาย หรือยอมใช้เงินประกันบ้านของตนเองราว 3 ล้านวอน (ประมาณ 8.1 หมื่นบาท) ไปมอบให้ รวมถึงลงทุนขายอาหารอย่างคิมบับหรือต๊อก เธอใช้แรงงานสาวกโดยไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เช้ายันค่ำคืน

ต่อมา คิม กีซุนใช้เงินทั้งหมดจากบรรดาผู้ศรัทธา ซื้อพื้นที่ฟาร์มและโรงงานแถบอีช็อน (Ichoen) จังหวัดคย็องกี (Gyeonggi) เพื่อก่อตั้งลัทธิ ‘สวนเด็กน้อย’ ในปี 1982 ซึ่งเป็นชุมชนลัทธิทางศาสนานอกรีต และปิดกั้นจากโลกภายนอก 

การก่อสร้างพื้นที่แห่งนี้ ใช้แรงงานจากบรรดาสมาชิกที่ศรัทธาในคำสอน ทั้งชายและหญิงต้องแบกหามก่อสร้างตึกโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่บรรดาสาวกก็เชื่อว่า ถ้าลงมือทำแล้ว พวกเขาจะไปสู่ความเป็นอมตะหรือสิ่งที่เรียกว่า ‘สวรรค์บนดิน’

หากมองโดยทั่วไป คนภายนอกอาจคิดว่าการก่อตั้งสวนเด็กน้อยเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ แต่ลัทธิแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกประหลาดและน่าขนลุกมากมาย นับตั้งแต่ คิม กีซุนวางตัวเป็นเจ้าลัทธิและเรียกตัวเองว่า ‘อากี’ (아기) ซึ่งแปลว่า ‘เด็กน้อย’ ในภาษาเกาหลี โดยให้เหตุผลว่า การเรียกเช่นนี้จะทำให้หลุดพ้นจากบาป 

รวมถึงบทสวดสรรเสริญสำหรับเทิดทูนพระเจ้า (ซึ่งก็คือคิม กีซุน) จะใช้คำว่า ‘อากา’ (아가) หรือ ‘อากายา’ (아가야) แปลว่าเด็กในภาษาเกาหลีเช่นกัน และหากมีงานเฉลิมฉลองสำคัญ คิม กีซุนจะปรากฏตัวด้วยชุดกระโปรงเจ้าหญิงแฟนตาซี นั่งบนเกี้ยวดอกไม้ และเต้นรำกับเหล่าเด็กหนุ่ม 

(ที่มา: Dispatch)

ร้ายแรงกว่านั้น เจ้าลัทธิแห่งสวนเด็กน้อยยังกำหนด ‘กฎเกณฑ์สำคัญ’ คือ 3 สิ่งที่ผู้คนต้องละทิ้งเพื่อเข้าร่วมอาณาจักรพันปีของเธอ ได้แก่ ความเห็นอกเห็นใจ กาม และวัตถุ นั่นจึงนำมาสู่โศกนาฏกรรมอันน่าสยดสยองและชวนคลื่นไส้ตลอดการรับรู้เรื่องราว

จาก ‘สวนแห่งสวรรค์’ กลายเป็น ‘นรกบนดิน’ : ลัทธิสวนเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการขูดรีดแรงงานและความตายของเด็กไร้เดียงสา 

“พอฉันออกมาจากที่นั่น และลองคิดดูแล้ว ฉันใช้ชีวิตอยู่สวนปีศาจมากกว่า” ซอน บกรเย (Son Bok-re) อดีตสาวกและญาติของผู้เสียชีวิตจากลัทธิแห่งนี้ อธิบายชีวิตของเธอที่ตรงกันข้ามกับจินตนาการสิ้นเชิง

(ที่มา: SisaJournal)

เพราะไม่นานนัก ธาตุแท้ของลัทธิประหลาดก็เผยออกมา สวนแห่งสวรรค์กลายเป็นนรกบนดินอย่างสิ้นเชิงด้วยกฎทั้งสามข้างต้นที่คิม กีซุนตั้งขึ้นมา สมาชิกทุกคนมีข้อปฏิบัติการใช้ชีวิตในสวนเด็กน้อยดังต่อไปนี้

1.ทุกคนต้องละทิ้งความสัมพันธ์เชิงครอบครัว ไม่ใช้สรรพนามที่แสดงถึงความสัมพันธ์เครือญาติ เช่น ให้เรียกพ่อว่าลุง เรียกแม่ว่าป้าแทน ไม่ว่าจะมาจากไหน ทุกคนต้องปฏิบัติต่อกันและกันในฐานะสมาชิกลัทธิสวนเด็กน้อยทั้งหมด

2.สมาชิกไม่สามารถมีความรักหรือความสัมพันธ์ในเชิงโรแมนติกได้ แม้แต่ครอบครัวก็ต้องแยกกันอยู่ ซึ่งที่พักถูกแบ่งเป็นฝั่งชายและหญิง

3.ทุกคนต้องละทิ้งจากการยึดติดทางวัตถุ ทรัพย์สิน ของมีค่าต่างๆ เพื่อไปสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์

เหล่าสาวกมีหน้าที่ต้องทำงานหนักตั้งแต่เช้ามืดเพื่อลัทธิสวนเด็กน้อย เด็กจำนวนมากถูกทารุณกรรมด้วยสารพัดวิธี เช่น การใช้แรงงานเด็ก โดยให้เด็กเล็กเดินขายของตามสถานีรถไฟ รวมถึงกีดกันเด็กไม่ให้ได้รับการศึกษา ซึ่งคิม กีซุนอ้างว่า “โลกจะแตกแล้ว จะเรียนไปทำไม”

มิหนำซ้ำ หากสาวกคนใดขัดคำสั่ง ก็ต้องเตรียมถูกทำโทษจนถึงตาย มีการเปิดเผยว่า เหยื่อถูกจับถอดเสื้อผ้าและเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง และคิม กีซุนมักให้คนในครอบครัวลงโทษกันเองเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย  

“ถ้าตอนนั้นคิม กีซุนสั่งให้ผมไปฆ่าพ่อแม่ ผมก็คงจะทำ” อดีตสาวกนิรนามเปิดเผย

“สวนเด็กน้อยไม่ใช่ลัทธิธรรมดาทั่วไป มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้างสมองคนปกติ และบังคับให้ทำงานเหมือนวัวควาย” คัง มินกู (Kang Min-goo) อดีตหัวหน้าอัยการสำนักงานท้องถิ่นย่านซูวอน (Suwon) บอกความรู้สึกของเขาผ่านสารคดี

ในทางตรงกันข้าม คิม กีซุนกลับใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ได้กินอาหารดีๆ ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่ ลูกชายของเธอได้รับการศึกษาที่ดี จนสามารถไปเรียนต่อในต่างประเทศได้

ความโหดร้ายของลัทธิสวนเด็กน้อยยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะคิม กีซุนยังถูกกล่าวหาในประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศและคุกคามเด็ก อ้างอิงจากคำบอกเล่าของอดีตสาวกและเหยื่อหลายคนในสารคดีที่เปิดเผยว่าคิม กีซุนหลับนอนกับเด็กหนุ่มเป็นจำนวนมาก 

เธอมักเลือกเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีและแข็งแรงออกมาโดยเฉพาะ เพื่อกระทำเรื่องราววิปริต เช่น เปลือยกายเต้นในห้อง จัดปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่ด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า หรือบางครั้งก็เรียกเด็กผู้ชายไปต่อคิวหน้าห้องนอนเพื่อมีเซ็กซ์กับเธอทั้งคืน 

ภาพของคิม กีซุน ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มด้วยการเต้นรำ

แต่โศกนาฏกรรมที่นับว่าสะเทือนใจ ยากที่จะพูดถึงที่สุด คือเรื่องราวของ ชเว นักควี (Choi Nak-wi) หรือชื่อเดิม คือ ชเว นักควอน (Choi Nak-won) เหยื่อจากลัทธิต่ำตม เขาเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 7 ขวบ เพราะฝีมือของคิม กีซุนและเหล่าสาวก

เหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มจากนักควอนนำอุจจาระของตนเองป้ายกำแพงด้วยความไร้เดียงสา แต่คิม กีซุนกลับบอกว่า พฤติกรรมนี้เกิดจากปีศาจที่ต่อต้านลัทธิสวนเด็กน้อย และเปลี่ยนชื่อของนักควอนเป็นนักควี (ควีมาจากคำว่า ควีชิน (귀신) แปลว่าผีในภาษาเกาหลี) 

คิม กีซุนนำนักควอนไปขังในเล้าหมู ทรมานด้วยการบังคับให้กินมูลสัตว์ โดยไม่ให้อาหารใดๆ เป็นระยะเวลา 7 วัน หนูน้อยอยู่รอดได้เพราะน้ำก๊อกในโรงเลี้ยงสัตว์และการช่วยเหลือของเหยื่อในวัยเดียวกัน 

แม้นักควอนจะร้องขออาหารเพราะความหิวโหย โดยใช้แรงทั้งหมดที่มีวิ่งไปหาผู้คนในส่วนกลาง แต่เจ้าลัทธิเพิกเฉย เธอสั่งให้สาวกและญาติทุบตีทำร้ายร่างกายจนเขาหมดลมหายใจ อย่างไรก็ตาม ทางลัทธิว่าอ้างว่า นักควอนเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย พวกเขาอำพรางศพด้วยการเผาร่างของเด็กน้อยใส่ตู้เสื้อผ้าพร้อมเชือกรัด 1 เส้น

อันที่จริง ชเว นักควอนไม่ใช่เหยื่อรายเดียวที่ถูกทรมานจนถึงความตาย ในสารคดียังเปิดเผยเรื่องราวการเสียชีวิตของเหยื่อคนอื่นจากการให้ปากคำของผู้พบเหตุการณ์ เพราะถูกทารุณกรรมเช่นเดียวกัน 

อย่างไรก็ตาม ความชั่วช้าของลัทธิสวนเด็กน้อยก็อยู่ได้ไม่นาน มีผู้ยื่นคำร้องต่อตำรวจให้สอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1996 นับ 30 ราย ไม่ว่าจะเป็นการขูดรีดแรงงาน การล่วงละเมิดทางเพศ โดยเฉพาะประเด็นการฆาตกรรมและซ่อนศพ

แม้หัวหน้าสำนักงานอัยการเข้าจับกุมคิม กีซุนได้ หลังคว้าน้ำเหลวในการค้นหาตัวครั้งแรก แต่จุดจบของเจ้าลัทธิก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามที่หลายคนวาดฝันไว้ เพราะทางการไม่สามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนมาอ้างอิง รวมถึงเธอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

 ในปี 1998 ศาลฎีกาตัดสินลงโทษคิม กีซุนด้วยการจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ปรับ 5.6 ล้านวอน (ประมาณ 152,243 บาท) และพ้นผิดจากโทษประหารชีวิต

ปัจจุบัน คิม กีซุนถูกปล่อยตัวกลับไปที่สวนเด็กน้อย และยังคงมีชีวิตอยู่ในปี 2023

 

เปิดอาณาจักรแห่งแผ่นเสียงยุคใหม่ในเกาหลี: ชินนารา กับการบงการของเจ้าลัทธิสวนเด็กน้อย

ความเชื่อมโยงระหว่างชินนาราและลัทธิสวนเด็กน้อย เปิดเผยโดยอดีตพนักงานชินนาราเรคคอร์ด และอดีตสาวกรายอื่นๆ ในสารคดี

ทั้งหมดเริ่มขึ้นในปี 1982 คิม กีซุนนำเงินจากการขูดรีดแรงงาน ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า ‘ชินนาราการค้า’ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทที่มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมแผ่นเสียงและเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังสามารถเข้าถึงย่านชนบทจากการขายเสียงแผ่นเสียง

(ที่มา: Koreaboo)

“ตอนนั้นพวกเราคิดว่าลองขายแผ่นเสียงจริงๆ จังๆ ดูสักตั้งดีกว่า เราไปคลองชองกเยชอน ซื้อส่งเครื่องเล่นแผ่นเสียง เทปคาสเซ็ตต์ และเริ่มขายส่งให้บริษัทดนตรี” อดีตสาวกอธิบายถึงจุดเริ่มต้นและความสำเร็จของชินนาราในระยะเวลาสั้น 

ชินนาราทำรายได้จำนวนมหาศาลในช่วงปี 1980-1990 เพราะซีดีกับเทปเป็นสื่อหลักในการฟังเพลง ความรุ่งโรจน์ของบริษัทแห่งนี้ แสดงผ่านการมีข้อตกลงจัดจำหน่ายอัลบั้มร่วมกับนักร้องที่โด่งดังที่สุดบางคนในเวลานั้น ซึ่งข้อมูลจากเอกสารในปี 1996 เผยว่า ชินนารามีกำไรส่วนแบ่งสูงถึง 30% จากอุตสาหกรรมแผ่นเสียงทั้งหมด

นอกจากนั้น ยังมีการรายงานว่า รายได้จากการขายแผ่นเสียงเป็นของคิม กีซุนเกือบทั้งหมด เธอมีเงินมหาศาล เพราะไม่ได้นำกำไรไปทำอย่างอื่น อดีตพนักงานถึงกับเล่าว่า เมื่อพวกเขาถอนเงินสด และนำไปรวบรวมที่ห้องของเจ้าลัทธิ ปรากฏว่าเงินที่ได้มานั้นกองสูงจนถึงเพดาน 2 ใน 3 ของห้อง

เป็นที่รู้กันในกลุ่มแฟนด้อมเกาหลี ชินนารายังมีอิทธิพลอย่างมากในอุตสาหกรรมเคป็อบปัจจุบัน นับตั้งแต่มีร้านค้าเดี่ยวตั้งอยู่ในย่านฮงแด กรุงโซล อีกทั้งยังตีตลาดในโลกออนไลน์ด้วยการเปิดพรีออเดอร์อัลบั้มและจัดส่งไปยังทั่วโลก รวมถึงจัดกิจกรรมพบปะระหว่างไอดอลกับแฟนคลับอยู่บ่อยครั้ง

แม้ว่าในปี 2008 ลัทธิสวนเด็กน้อยล่มสลาย และสมาชิกน่าจะกระจัดกระจายไปแล้ว แต่เมื่อสารคดีดังกล่าวเผยแพร่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดความเชื่อว่า คิม กีซุนยังคงเป็นประธานของชินนาราที่แท้จริง ยังไม่รวมสมาชิกลัทธิหลายคนที่มีตำแหน่งระดับสูงขององค์กร และพวกเขาอาจนำรายได้จากธุรกิจการขายแผ่นเสียงไปฟูมฟักลัทธิอันแปลกประหลาด

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้แฟนด้อมเกาหลีจำนวนมากออกมาคว่ำบาตรชินนารา เช่น ทวีตเรียกร้องให้ทุกแฟนด้อมอย่าซื้อสินค้าจากชินนารา หรือบอกต่อเรื่องราวในสารคดี ขณะที่ค่ายเพลงชื่อดังอย่าง Pledis Entertainment และ Starship Entertainment ก็ตัดบริษัทแห่งนี้ออกจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายอัลบั้มร่วมกัน 

สำหรับความเคลื่อนไหวของฝั่งลัทธิสวนเด็กน้อยตามรายงานของโคเรียจุงอังเดลี (Korea Joongang Daily) ในวันที่ 13 มีนาคม 2023 พวกเขายื่นขอคำสั่งห้ามออกอากาศสารคดี In the Name of God: A Holy Betrayal โดยอ้างว่าตอนที่ 5 และ 6 ของสารคดี (ซึ่งเป็นตอนที่พูดถึงลัทธิสวนเด็กน้อย) มีข้อมูลเท็จ อีกทั้งยังเรียกร้องให้เน็ตฟลิกซ์จ่ายเงินชดเชยให้ 10 ล้านวอน (ประมาณ 270,847 บาท) ไปเรื่อยๆ ทุกวัน หากไม่ระงับออกอากาศ

ขณะเดียวกัน บริษัทแผ่นเสียงชินนาราเองก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหว หรือออกแถลงการณ์ชัดเจนเพื่อตอบรับกระแสต่อต้านจากกลุ่มแฟนด้อมเคป็อบ

ความโปร่งใสของชินนาราจึงยังไม่ได้ถูกคลี่คลาย และทิ้งเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ ท่ามกลางเสียงตอบรับด้านลบที่ก่อตัวขึ้นทุกวัน

 

อ้างอิง

In the Name of God: Holy Betrayal. 2023, episode 5, “The Baby Garden, On the Way to the Heaven.” Directed by Cho Sung-hyun, Aired March 3, 2023, on Netflix.

In the Name of God: Holy Betrayal. 2023, episode 6, “The Baby Garden of Death.” Directed by Cho Sung-hyun, Aired March 3, 2023, on Netflix.

https://koreajoongangdaily.joins.com/2023/03/15/entertainment/kpop/Korea-Religious-organization-Synnara/20230315163233979.html

https://streamingdue.com/kim-ki-soon-cult-where-is-she-now-is-baby-garden-still-running/

https://www.sportskeeda.com/pop-culture/what-synnara-record-s-alleged-connection-baby-garden-cult-netflix-s-in-name-god-a-holy-betrayal

https://www.koreaboo.com/stories/synnara-record-allegedly-still-connections-murderous-cult-featured-in-in-name-god-holy-betrayal/

https://www.koreaboo.com/stories/synnara-record-allegedly-still-connections-murderous-cult-featured-in-in-name-god-holy-betrayal/

https://pantip.com/topic/41942524

Fact Box

  • สารคดี In the Name of God: Holy Betrayal ชมได้ทางเน็ตฟลิกซ์ โดยเรื่องราวของลัทธิสวนเด็กน้อยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมด เพราะยังมีการเผยเรื่องราวของลัทธิประหลาดอื่นๆ เช่น ลัทธิ JMS ภายใต้ผู้นำ จอง มยองซอก (Jung Myung-suk) ผู้ประกาศตนเป็นพระเจ้าและก่ออาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศต่อสาวกนับไม่ถ้วน
  •  การฟ้องร้องต่อสารคดี In the Name of God: Holy Betrayal ไม่ได้มีเพียงลัทธิสวนเด็กน้อยเท่านั้น แต่ลัทธิ JMS ยังร่วมขบวนการฟ้องร้องนี้อีกด้วย

Tags: , , , , , , , , , , , , , ,