“เขานั่งบนรถเข็นและให้น้ำเกลือตลอดเวลา ต้องคอยดมยา จิบน้ำเกลือแร่ ไม่มีแม้แต่แรงที่จะพูด พูดนิดหน่อยก็เหนื่อยหอบ แล้วมือเขาก็สั่น” สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ แม่ของ ‘เพนกวิน’ – พริษฐ์ ชิวารักษ์ อธิบายภาพแรกที่เห็นเพนกวินในรอบหลายอาทิตย์ พร้อมกับน้ำหนักของลูกชายที่หายไปมากกว่า 10 กิโลกรัม

“เขาไม่ให้ถ่าย ไม่ให้โลกรู้ ไม่ให้โลกเห็นว่า ‘เพนกวิน’ มีสภาพเป็นอย่างไร เขาพยายามปิดทุกคน แม้กระทั่งแม่” สุรีย์รัตน์ เล่าถึงความยากลำบากในการพบลูกแต่ละครั้ง หลายครั้งที่ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ครอบครัวเข้าตึก ด้วยเหตุผลของโควิด-19 แม้ทนายพยายามร้องขอหลายรอบก็ตาม สุรีย์รัตน์ตั้งคำถามกับเราว่า “ใครจะอยากให้ลูกตัวเองติดโควิด-19 ถูกไหม”

“การพบกันแต่ละครั้งของครอบครัวเราต้องป้องกันอย่างมาก บอกครอบครัวตลอดว่า วันนี้เราจะไม่กอดกันนะ ไม่กอดพี่นะ กลัว กลัวว่าเชื้อจะไปติดพี่ เพราะพี่อ่อนแออยู่ การเจอแต่ละครั้งเราล้างมือ เช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์เยอะมาก เพราะกลัวจะไปติดลูก”

19 เมษายนที่ผ่านมาคือการพบกันครั้งล่าสุดของแม่ลูกคู่นี้ สุรีย์รัตน์กล่าวถึงอาการเพนกวินว่า น่าเป็นห่วงอย่างมาก ไม่มีแรงที่จะเขียนหรือแถลง และอีกหนึ่งปัญหาที่เธอเห็นคือ สายน้ำเกลือที่แขนของเพนกวินหลุดบ่อยมาก เพราะเพนกวินมีอาการเส้นเลือดอักเสบ ทำให้สายน้ำเกลือหลุดบ่อย “เพนกวินบอกกับแม่ว่าแขนตอนนี้พรุนจนไม่มีที่ให้เสียบสายน้ำเกลือแล้ว ครั้งล่าสุดที่แม่เห็นคือเขาถูกเสียบใกล้ๆ ข้อศอก ตรงหลังแขน

“เราเป็นห่วงจนบอกไม่ถูก ตอนแรกที่เห็นจะร้องไห้ทุกครั้ง และเราก็กลัวเรื่องโควิด-19 ว่าจะไปติดลูก กลัวว่าเราจะเอาเชื้อข้างนอกไปให้ลูกหรือเปล่า เพราะเขากำลังอ่อนแอ อยากจะกอดก็กอดไม่ได้ อยากจะสัมผัสก็สัมผัสไม่ได้ ทำได้แค่มองตาเท่านั้น แล้วก็พูดอะไรไม่ออก เรากลัวว่าพูดไปแล้วน้ำเสียงเราจะสั่นเครือ กลัวเขาจะเสียกำลังใจ กลัวเขาจะเป็นห่วง ทางที่ดีที่สุดคือไม่พูด มองแค่ตา สุดท้ายก่อนเขาจะกลับ เขาพูดมาว่าขอหอมที เราก็หอมกันผ่านหน้ากาก อย่างน้อยให้ได้สัมผัสเขาทีหนึ่ง” สุรีย์รัตน์อธิบายความรู้สึกที่เห็นสภาพลูกชายที่ซูบผอมลง เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา แม้อยากจะสัมผัสแค่ไหนก็ไม่อาจสัมผัสได้

วันนี้ (23 เมษายน 2564) เป็นวันที่เธอเดินทางมาพบลูกชายอีกครั้ง ในวาระที่เพนกวินถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันแจ้งข้อหาหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มเติม กรณีการปราศรัยเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนโควิด-19 บริเวณด้านหน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ทำการของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ผู้ผลิตวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซเนก้า เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้ เพนกวินถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ไม่ต่ำกว่า 20 คดี

“แม่อยากให้มีความยุติธรรมเกิดขึ้น อยากให้ทุกคนที่ยังไม่ถูกตัดสินโทษได้รับการประกันตัว อย่าทำร้ายคนอื่น ทำร้ายเด็กซึ่งเขาไม่สามารถไปเรียนต่อได้ในเทอมนี้ คุณกำลังพรากลูก พรากแม่ พรากสามี พรากทุกคนไปจากครอบครัวที่เขารัก ซึ่งเกิดจากการที่คุณไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับความเห็นต่าง และการที่พวกเขาถูกกักขังไว้ที่นี่ เขาไม่มีโอกาสหาพยานหลักฐาน ไม่มีโอกาสแก้ต่าง ตอนนี้ก็เหมือนคุณตัดสินเขาไปแล้ว

“นี่เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้อง คนเรียนกฎหมายมาจะเอาอะไรมาสอนเด็ก เมื่อเด็กเรียนมาเป็นแบบนี้ แต่ตอนปฏิบัติเป็นคนละอย่าง นี่เป็นการกระทำที่ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ถ้าเขาผิดก็มานั่งคุย แลกเปลี่ยนความเห็น แต่นี่คุณกลับไม่เปิดโอกาส ไม่รับฟังความคิดเห็น การกระทำนี้มันทำร้ายทุกคนมาก วันนี้ของครอบครัวเรากับวันที่เพนกวินถูกจับมันไม่เหมือนเดิม และจะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม” สุรีย์รัตน์แสดงความคิดเห็นต่อระบบยุติธรรมที่ครอบครัวของเธอกำลังต่อสู้อยู่

สุรีย์รัตน์กล่าวต่อว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ครอบครัวชิวารักษ์ยังคงสนับสนุน ‘เพนกวิน’ ต่อไป และจะพยายามปกป้องเขาให้มากที่สุด “แต่ก่อนพ่อเขาบอกว่าอย่าโทรไปหาลูกก่อน เพราะเรารู้ว่ามีการแฮ็ก และสามารถบอกได้ว่าลูกอยู่ที่ไหน เราไม่ไปหาลูกเพราะรู้ว่ามีคนตาม ขนาดวันนี้แค่มาเยี่ยมลูกก็ยังตาม ถามว่าหวั่นไหวไหม ถามว่ากลัวไหม เราไม่กลัว เพราะพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด

“ก่อนหน้านี้เราทำทุกวิธีที่ปกป้องลูกได้ ให้เขาอยู่อย่างปลอดภัย เราต้องเสียสละด้วยการขาดการติดต่อกับลูก เราเห็นลูกได้ผ่านทีวี ยูทูบ เพื่อนถ่ายส่งมาในไลน์ เราก็ถามเขาว่าลูกพูดวันไหน ลูกพูดที่ไหน บางทีก็ให้น้องช่วยเช็กเฟซบุ๊กพี่เพนกวินว่ามีการเคลื่อนไหวไหม ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เราต้องเลือกเสียสละ เราคิดถึง เราอยากเจอ หลังๆ ลูกไปม็อบ ถ้าเราไปได้ เราก็ไปนั่งฟังลูกปราศรัย ตอนกลับก็แยกย้ายกันคนละทาง แม้ว่าบางครั้งจะเข้าไม่ถึงตัวเขาก็ตาม และเพนกวินก็ไม่รู้ว่าแม่มา แม่แค่อยากเห็นว่าสภาพพี่เป็นอย่างไร มีอะไรบ้างไหม แค่นั้นแล้วก็กลับ ก็คนมันรักก็ต้องทำทุกวิถีทาง” สุรีย์รัตน์เล่าถึงความเสียสละความเป็นครอบครัว เพื่อให้คนครอบครัวปลอดภัย

“มี้ครับผมไม่มีพรสวรรค์ ผมเลยต้องใช้ความพยายาม” นี่คือคำพูดของเพนกวินที่พูดกับสุรีย์รัตน์ เธอกล่าวต่ออีกว่า รู้สึกภูมิใจในตัวลูกมาก เพราะเพนกวินเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการ เป็นคนรักษาคำพูด เป็นคนเอาจริงเอาจริงมาตั้งแต่เด็ก ที่ไม่ว่าเจออุปสรรคอะไรเขาไม่เคยท้อ และเป็นคนที่เห็นใจคนอื่นเป็นอย่างมาก เพนกวินมักพูดกับเธอเสมอว่ามวลชนจะคิดอย่าไร มวลชนรู้สึกอย่างไร ไม่ว่ามวลชนจะนอนที่ไหน เพนกวินก็จะนอนที่นั่น และนี่คือสิ่งที่สุรีย์รัตน์มองว่าเป็นจุดอ่อนของเขา ความใจดี การมองโลกในแง่ดีของเขา ส่งผลให้เขาคิดไม่ถึงว่าผู้ใหญ่หรือคนใจร้ายจะทำอะไรกับเขาบ้าง

“มี้ครับ ทุกการต่อสู้ต้องมีการเสียสละ เราต้องเสียสละ เกิดมาชาติหนึ่งถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นได้ก็เสียชาติเกิด” สุรีย์รัตน์บอกเราว่า นี่เป็นคำพูดที่เพนกวินพูดกับครอบครัวมาตั้งแต่เขายังเด็กๆ

ตอนนี้ เพนกวินยืนยันที่จะอดอาหารต่อ แม้ครอบครัวพยายามใช้เหตุผลในการโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอในฐานะ ‘แม่’ เคารพทุกการตัดสินใจของลูก แม้ว่าการกระทำนั้นจะทำร้ายจิตใจเธอก็ตาม เพราะเชื่อว่าเพนกวินคิดมาดีแล้ว เขายอมที่จะเสียสละตัวเอง ถ้ามันทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เขาไม่คิดเสียดายชีวิต

“ฝากเพนกวิน ฝากน้องรุ้ง ฝากทุกคนที่ยังถูกขังอยู่ อย่าลืมเจตนารมณ์ของพวกเขา อยากให้ทุกคนช่วยสืบสานต่อไป ถึงแม้วันไหนไม่มี ‘เพนกวิน’ อยู่ ทุกคนก็ดำเนินต่อไปได้ อย่าให้ทุกสิ่งที่เราสูญเสียไปเป็นการเสียเปล่า และฝากขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงเขาและรักเขา เราหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้ออกจากเรือนจำมาแบบมีชีวิต ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงเหมือนเดิม และหวังว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้”

Tags: , , , ,