เมื่อวานนี้ (23 ตุลาคม 2568) ที่ SCBX NEXT TECH ศูนย์การค้าสยามพารากอน The Momentum จัดงาน ‘The Momentum at 9 : The (AI)dge – Navigating the New Era of Thai Talent’ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์ Head of R&D บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX ขึ้นกล่าวในหัวข้อ ‘AI Outlook : Turning Today’s Trends into Real-World Advantage’ เจาะลึกแนวโน้มเทคโนโลยี AI ที่จะใช้อินไซต์และเทรนด์ให้เป็นประโยชน์สูงสุด

ทุตานนท์กล่าวว่า SCBX มีความตั้งใจที่จะเป็น ‘AI First Organization’ ที่หวังสร้างรายได้จาก AI ให้กับกลุ่มบริษัทฯ สูงถึง 75% พร้อมกันนั้นพนักงานของ SCBX จะต้องเป็นคนที่มีความเข้าใจและลึกซึ้งในการใช้งาน AI 

โดยปัจจุบันสร้างระบบนิเวศ​ (Ecosystem) ของ SCBX ขึ้นมา ส่วนแรกคือ SCB 10X ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SCBX เป็นธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ได้ลงทุนในกับสตาร์ทอัพต่างๆ กว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับจะไม่ใช่แค่ผลตอบแทนทางการเงิน แต่เป็นโอกาสในการติดตามเทรนด์ของโลกได้ว่า สตาร์ทอัพชั้นนำต่างๆ กำลังสำรวจเทคโนโลยีใดอยู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโซลูชันในอนาคตและใช้ได้จริงในตลาด

นอกจากนั้นแล้ว SCB 10X ยังเข้าไปเป็นพันธมิตรร่วมกับสถาบันวิจัยระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Stanford University, University of Cambridge และ University of California, Berkeley เพื่อร่วมกำหนดโจทย์การวิจัยด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech)

ทุตานนท์ยังเล่าถึง ‘ไต้ฝุ่น’ (Typhoon) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) ของ SCB 10x ที่เข้าใจบริบทภาษาไทยได้มากกว่าโมเดลของคู่แข่งจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันเป็น Typhoon 2.5 มีการใช้งานกว่า 30 ล้าน API calls มียอดดาวน์โหลดกว่า 2.6 ล้านครั้ง และเข้าไปเป็นพันธมิตรกับหลายองค์กร เช่น โรงพยาบาลศิริราชและสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

ขณะเดียวกันในเรื่องของเทรนด์การใช้งาน AI ทั่วโลก Head of R&D ของ SCBX มองว่า มีด้วยกันทั้งหมด 4 เทรนด์ ดังนี้

1. ‘Closing the Gap’ กล่าวคือ การแข่งขันระหว่าง AI กำลังทวีความเข้มข้นขึ้น จึงทำให้เกิดช่องว่างของประสิทธิภาพระหว่าง Open-source model (โมเดลสายเปิด) กับ Close-source model (โมเดลสายปิด) แคบลงไปทุกขณะเหลือเพียง 2% เท่านั้น ที่แตกต่างกันจะเป็นเรื่องของ ‘ราคา’ และ ‘Ecosystem’ ของแต่ละเจ้า ซึ่งปัจจุบันเมื่อมีการแข่งขันในตลาดจึงทำให้ โมเดลของ AI พัฒนาให้เก่งขึ้น ขณะที่ราคาก็ถูกลงด้วยเช่นกัน

2. ‘Beyond Scaling’ กล่าวคือ จากการเติบโตไร้ขีดจำกัดสู่การให้เหตุผลที่ชาญฉลาด ยุคของการเพิ่มขนาด AI แบบไร้ขีดจำกัดกำลังจะเปลี่ยนไป AI กำลังมุ่งหน้าสู่การพัฒนาที่ฉลาดขึ้น การทำโมเดลของ AI จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยทุตานนท์ให้ชื่อเรียกว่า ‘Flash’ และ ‘Ridge’ โดย Flash เป็นโมเดล AI ที่ใช้เวลารวบรวมข้อมูล (Data) มหาศาลก่อนจะประมวลผล (Inference) เพื่อให้คำตอบกับผู้ใช้งาน ซึ่งโมเดลนี้จะเหมาะกับการใช้งานง่ายๆ เช่น งานบริการลูกค้าแชตบอต (Chat Bot)

ขณะที่ Ridge เป็นโมเดล AI ที่ให้ใช้เวลาประมวลผลข้อมูลนานกว่าโมเดล Flash เนื่องจากโมเดลนี้จะให้ความสำคัญในขั้น Inference ผ่านเทคนิคของ Machine Learning อย่าง Reinforcement Learning ทำให้ได้มาซึ่งโซลูชันที่หลากหลาย ถูกต้อง และแม่นยำ แต่จะมีข้อเสียคือใช้เวลาประมวลผลนานและมีราคาสูง

3. ‘Growing Responsibility’ ทุตานนท์อธิบายว่า เมื่อพลังของ AI ยิ่งใหญ่ขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องยิ่งมากขึ้น การทำโมเดล AI จะต้องให้ความสำคัญว่า ระบบต้องมีความเชื่อถือได้และฟังก์ชันการใช้งานต้องปราศจากความเสี่ยง รักษาข้อมูลความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ไม่มีอคติ รวมถึงมีความโปร่งใสตรวจสอบได้

4. ‘The Reality Engine’ หมายถึง การสอน AI ให้เข้าใจโลกแห่งความจริง ทุตานนท์ระบุว่า​ โมเดลการพัฒนา AI จาก LLM จะขยับไปสู่ World Model มากขึ้น จากเดิมที่ AI จะเรียนรู้ด้านภาษา ถูกพัฒนาด้วยภาษา รูปภาพ และเสียง จะต้องเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมบริบทของ AI รู้กฎของฟิสิกส์ รวมทั้งใช้ข้อมูลประสาทสัมผัส (Sensory Data) เข้ามาช่วยวิเคราะห์ให้มีความฉลาดมากขึ้น



Tags: , , , , , , , ,