เพื่อไทยไม่ปล่อย ‘ประธานสภาฯ’ ให้ก้าวไกล ยืนยันต้องได้ 14 รัฐมนตรี บวกตำแหน่ง ‘ประมุขนิติบัญญัติ’

วันนี้ (27 มิถุนายน 2566) นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวตอนหนึ่งภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคและการประชุม ส.ส.พรรค ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ โดยในตอนแรก คณะเจรจามีข้อเสนอว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ในฐานะที่คะแนนต่างกันเพียง 10 คะแนน ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ได้คือพรรคก้าวไกล 14+1 หมายถึงรัฐมนตรี 14 คน และประมุขฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคเพื่อไทยคือ 14+1 หมายถึงรัฐมนตรี 14 คน และประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคือประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรคก้าวไกลได้รับไปพิจารณา จากนั้นยังคงไม่มีการพูดคุยกัน มีแต่ข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ 

“พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องนำเข้าสู่การเจรจาวันนี้ สำหรับกรรมการบริหาร หลังจากฟังคณะเจรจาเสนอแล้ว กรรมการบริหารยังคงยืนยันหลักการ 14+1 หลักการแรกคือกรรมการที่รับภาระจากกรรมการบริหารไปเจรจาตรงนี้ต่อไป คือเจรจาตำแหน่ง 14 รัฐมนตรี และประมุขนิติบัญญัติเป็นของพรรคเพื่อไทย และในการพิจารณา ส.ส.ของพรรคในช่วงบ่าย กรรมการบริหารก็มีความเห็นอย่างนี้ ก็เสนอกับ ส.ส.พรรคต่อไป ส.ส.ส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกัน และยืนยันว่า ขอให้ผู้เจรจาได้รับข้อเสนอกรรมการบริหารไปเจรจาในมุมนี้ต่อไป”

ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารและที่ประชุม ส.ส.เห็นว่า สูตร 14+1 มีความเป็นธรรม เพราะคำนึงถึงความเสมอภาค ให้เกียรติซึ่งกันและกัน กล่าวคือพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งนายกฯ พรรคเพื่อไทยควรได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ที่ประชุมจึงเห็นควรยืนยันความคิดในการกำหนดวิธีการคิดหรือสูตรดังกล่าวต่อพรรคก้าวไกลต่อไป

“พรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งนายกฯ แล้ว ก็ควรจะมอบตำแหน่งประธานสภาฯ ให้พรรคเพื่อไทย มันจะเป็นความชอบธรรม มีเหตุ มีผล และทีมเจรจาควรยืนในจุดนี้ต่อไป ทั้งนี้ ไม่ใช่การแก่งแย่งตำแหน่ง แต่พรรคเพื่อไทยยังคงยืนยัน เห็นความจำเป็น และให้ความสำคัญในการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ โดยมีคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปให้สำเร็จในภายภาคหน้า

“พรรคเชื่อว่าการมีประธานสภาฯ จากพรรคเพื่อไทย จะทำให้สภาฯ เดินหน้า ทำหน้าที่ในรัฐสภาได้ราบรื่น เรียบร้อย ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพต่อไป”

อย่างไรก็ตาม ชูศักดิ์ระบุว่า ยังไม่ใช่ ‘มติพรรค’ แต่เป็นความเห็นที่กรรมการบริหารและที่ประชุม ส.ส.เห็นตรงกันว่า จะนำไปประชุมกับพรรคก้าวไกลต่อไป โดยจะนำไปเจรจากับพรรคก้าวไกลในการประชุมร่วมกันพรุ่งนี้ (28 มิถุนายน 2566) ที่พรรคเพื่อไทย เวลา 10.00 น.