วันนี้ (22 กรกฎาคม 2565) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจตอนหนึ่งว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์หลายเรื่อง ทั้งการพูดจา การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีต่อผู้ชุมนุม ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามกลับว่าอำนาจที่ใช้นั้นเป็นกฎหมายปกติหรือไม่ หรือเป็นกฎหมายที่เขียนมา และไม่เคยได้ใช้อำนาจใดๆ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือละเมิดอำนาจศาลทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา อะไรที่แจ้งเตือนได้ก็แจ้งเตือน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่ได้รับคำชี้แจงที่ผิดเพี้ยนไป ก็ไปพูดคุยถึงผู้ปกครอง ไม่ให้อยู่ในอันตราย หรือการดำเนินคดีก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น ถือว่าได้ให้เต็มที่แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้วเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป เพราะได้ผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาวมาโดยตลอด

“ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่มีรัฐบาลช่วงนี้ แล้วมีพรรคการเมืองบางพรรคเข้ามาตรงนี้ เป็นช่วงอันตรายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาในโรงเรียน มหาวิทยาลัย เพื่อทำลายล้างระบบของเราทั้งหมด เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด คนไทยคงไม่ยอมหรอกนะครับ”

พลเอกประยุทธ์ยังได้ชี้แจงเรื่องการป้องกันประเทศ และเรื่องความสัมพันธ์กับเมียนมาว่า ได้พูดไปหลายครั้งแล้วว่าพยายามทำให้ดีที่สุด แต่คงทำให้ถูกใจใครไม่ได้ และไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ในเมียนมา ไม่ว่าจะสถานการณ์การเมืองในประเทศ หรือสถานการณ์การต่อสู้ แต่ได้ป้องกันประเทศและแนวชายแดนอย่างเต็มที่ตลอดเวลา

พลเอกประยุทธ์ยังกล่าวอีกว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ได้รับการต้อนรับ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากไปนำภาพที่ตนเองไปยืนท่ามกลางช่วงเวลาที่คนอื่นๆ กำลังพูดคุยกันมาใช้ แล้วกล่าวหาว่าผู้นำชาติอื่นไม่พูดคุยกับตนเอง

“ผมว่าไม่ใช่ ไม่ต้องมาเถียงผม หาข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศได้ ถ้าไม่เคยเป็น ไม่เคยไป ไม่เคยอยู่ อย่ามาว่าผม” พลเอกประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์

สำหรับการใช้โปรแกรม ‘เพกาซัส สปายแวร์’ เพื่อดักจับข้อมูลนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวนั้น ยอมรับว่าไม่รู้จักโปรแกรมนี้

“ผมไม่รู้จักหรอกครับ ท่านก็ว่าผมไม่ฉลาดอยู่แล้ว แล้วผมไม่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณกับเรื่องแบบนี้หรอก เปิดโซเชียลฯ ก็เห็นอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำ มาจากไหน ใช้งบประมาณเท่าไร มีคณะทำงานอยู่ที่ไหนบ้าง ยังไม่ได้ตั้งคณะทำงานเลย ถ้าเราเรียนรู้โซเชียลฯ แบบนี้ ประเทศชาติก็เป็นแบบนี้ จริงบ้างเท็จบ้าง ผมไม่ให้ค่ากับคนเหล่านี้อยู่แล้ว คนที่อยู่เบื้องหลัง ที่ไม่รู้เรื่อง ที่แพร่ต่อ ผมเห็นใจเขา แต่คนต้นเรื่อง มีกระบวนการอยู่ ทุกอย่างไม่แก้ตัวทั้งสิ้น”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแสดงความไม่พอใจที่มีการนำเรื่องเดิมขึ้นมาพูดซ้ำ และหลายครั้งก็เรียกข้าราชการให้ไปชี้แจงเรื่องเดิมในการประชุมกรรมาธิการซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยขอให้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์กับสถานการณ์บ้านเมือง และยืนยันว่า แม้จะถูกขับไล่อย่างไร แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับมติประชาชน เพราะตนไม่ใช่คนเขียนรัฐธรรมนูญ และสั่งให้คนเขียนรัฐธรรมนูญไม่ได้ พร้อมกับกล่าวว่า การนำข้อมูลอภิปรายโดยอ้างอิงจากบุคคลอื่นๆ หรือนำหนังสือพิมพ์มาอ่าน เอาคนนั้นมาพูด เป็นสิ่งที่รับไม่ได้

Tags: ,