วันนี้ (12 พฤษภาคม 2566) พรรคเพื่อไทยเปิดเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ภายใต้ชื่อ ‘เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที’ ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งรองรับผู้ชมได้มากถึง 2 หมื่นที่นั่ง มีประชาชนจำนวนมากสวมเสื้อสีแดงเดินทางมารอฟังปราศรัยหน้าประตูทางเข้าตั้งแต่เวลา 15.30 น. และเริ่มเข้ามาจับจองที่นั่งจนแน่นขนัดฮอลล์ทั้ง 3 ชั้น ตั้งแต่เวลา 17.00 น.

การปราศรัยใหญ่ครั้งนี้มีผู้ปราศรัยหลักคือ แพทองธาร ชินวัตร และเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 2 คนของพรรคเพื่อไทย และชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขณะที่ ชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ไม่ได้เดินทางมาร่วมปราศรัยครั้งนี้ด้วย เนื่องจากอยู่ระหว่างการพักรักษาตัว หลังตรวจพบก้อนเลือดแห้งในสมองเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา

ชลน่านเริ่มต้นปราศรัยเป็นคนแรก เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. เกี่ยวกับความสำคัญของการ ‘แลนสไลด์’ ว่า

“แม้ทุกโพลที่สำรวจอย่างมีระบบระเบียบวิธีวิจัย พรรคเพื่อไทยจะชนะหมดทุกโพล แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งจริง เรายิ่งต้องเน้นย้ำถึงแลนด์สไลด์ เพราะหากเราไม่แลนด์สไลด์ การเลือกตั้งในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะต้องพลาดไปอีกครั้ง เพื่อไทยจำเป็นที่จะต้องได้ ส.ส.จำนวน 250 คน เพราะหากครั้งนี้ยังไม่ได้อีก จะมีลุง 2 คนที่กำลังเฝ้ารอจะกลับเข้ามาสู่อำนาจอีกครั้ง แต่หากพี่น้องประชาชนสามารถบรรลุเงื่อนไข 250 คนได้ แม้แต่ ส.ว. 250 คนก็จะไม่เหลือทางเลือก ต้องกลับมาเข้าข้างประชาชน เข้าข้างประชาธิปไตย”

4 โอกาสที่ถูกพรากไป เพื่อไทยพร้อมสร้างใหม่ให้ประชาชน

จากนั้น แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นปราศรัยต่อในหัวข้อ ‘อนาคตของประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย’ ก่อนเริ่มเข้าสู่ประเด็นหลัก เธอได้กล่าวถึงสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยต้องมีแคนดิเดตถึง 3 คนว่า

“เป็นเพราะตลอดเส้นทางการเดินทางของพรรคเรา ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย เราเจออะไรกันมามาก จึงได้เรียนรู้ว่าเกมการเมืองประมาทไม่ได้ เพื่อไม่ให้ถูกเล่นงานทางการเมืองและเสี่ยงยุบพรรคอีกครั้ง แม้จะไม่สนับสนุนกติกาที่ไม่ยุติธรรม แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องสู้กับกติกาที่ไม่ยุติธรรม”

นอกจากนี้ยังพูดถึงข้อกล่าวหาที่ว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ไม่ต่อสู้เคียงข้างประชาชน ว่าในฐานะพรรคการเมืองที่เคยถูกรัฐประหารถึง 2 ครั้งและยุบพรรคถึง 2 ครั้ง หากไม่ใช่เพราะอยากต่อสู้เคียงข้างประชาชน พรรคเพื่อไทยคงไม่กลับมา และตัวเธอคงไม่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ 

สาเหตุที่แพทองธารเข้าสู่เส้นทางการเมือง เพราะต้องการเป็นตัวแทนเป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รับโอกาสที่หลากหลาย ผ่านการสร้างขึ้นโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

แพทองธารกล่าวถึง 4 โอกาสหลักที่เธอและพรรคเพื่อไทยอยากมอบให้กับประชาชนไว้ดังนี้

โอกาสที่ 1 คือโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีการเงิน จากนโยบาย Digital Wallet ที่นอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศแล้ว คือการให้คนไทยเข้าใจ Blockchain Technology ที่เป็นส่วนสำคัญของวิวัฒนาการเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ราว 55 ล้านคน ได้มีพื้นฐานทางเทคโนโลยี

โอกาสที่ 2 คือโอกาสในการค้นหาตนเอง จากทุกความชอบที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน ไม่จำกัดสาขา ผ่านกระบวนการคัดสรร หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ จากพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางหารายได้จากสิ่งที่ถนัดและชื่นชอบ

โอกาสที่ 3 คือโอกาสทางการศึกษา ที่จะเปิดกว้างจากทุนรัฐบาลที่สนับสนุนไปจนถึงระดับปริญญาเอก ตามความประสงค์ของผู้เรียน รวมถึงทุนเล่าเรียนในต่างประเทศ เช่น ทุนการศึกษาสมัยไทยรักไทย ที่จะกลับมาเป็นโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนไทยอีกครั้ง

โอกาสที่ 4 คือโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการ จากการสนับสนุนของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่จะหาทุนเพื่อผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีไอเดียแต่ไม่มีทุนทรัพย์ โดยพรรคเพื่อไทยจะส่งเสริมให้ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีการเงินของอาเซียน เพื่อกิจการที่มั่นคงของประชาชน

นอกจากนี้ แพทองธารยังกล่าวทิ้งท้ายถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่ฝากความคิดถึงและคำขอบคุณถึงพี่น้องประชาชนที่ยังคงนึกถึงกันตลอดว่า

“คุณพ่อท่านพูดกับดิฉันว่า ถ้าพ่อกลับมาติดคุก แล้วระหว่างที่พ่ออยู่ในคุก เพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้วต้องการขอคำแนะนำ หวังว่ามันสมองของท่านจะช่วยให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจไปได้”

พรรคที่มีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะเอาประเทศรอด

เวลา 19.40 น. เศรษฐา ทวีสิน รับช่วงปราศรัยต่อ ถึงทางออกที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากความมืดมน สู่ความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยความหวังกับพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคที่มากด้วยประสบการณ์ เพราะ ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’

“วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จะเป็นวันที่ต้องจารึกประวัติศาสตร์บทใหม่ของประเทศ ที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจะร่วมกันแสดงพลัง พร้อมใจกันก้าวออกจากหลุมดำที่ขังเรามานานกว่า 8 ปี จากประเทศไทยที่เคยยืนอยู่อย่างสง่างามในเวทีโลก มีศักยภาพ มีคนเก่ง แต่ผู้นำคณะรัฐประหารได้สร้างวิกฤต เอารถถัง เอาปืนมาจ่อหัวพวกเรา ปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากพวกเรา ทำลายศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลก ที่มองว่ารัฐประหารเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ทำให้คนไทยทุกคนล้วนสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า จากประเทศไทยเคยเป็นที่ต้องการ เป็นไข่แดงของการลงทุนในอาเซียน แต่วันนี้ประเทศไทยกลายเป็นไข่ขาวที่ล้อมรอบอินโดนีเซียและเวียดนาม”

เศรษฐายังกล่าวเปรียบเทียบอีกว่า รัฐบาลปัจจุบันได้สร้างคุกขนาดใหญ่ขังประชาชนทั้งประเทศเอาไว้ด้วยความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความยากลำบาก ความไม่เป็นธรรม ใช้กฎหมายทำร้ายคนเห็นต่าง ทรยศต่อประชาชน

ความตั้งใจของเขาที่เข้ามานำพรรคเพื่อไทยวันนี้ คือ ‘มาตัวเปล่า’ โดยปราศจากคำสัญญาใดๆ กับนายทุน ผู้มีอำนาจ หรือผู้มีอิทธิพล มีคำสัญญาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือคำสัญญาต่อประชาชน ว่าจะตั้งใจทุ่มเททำงานหนัก ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง นำประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจกว่า 30 ปี มาทำประโยชน์ สร้างอนาคตให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

ทั้งยังย้ำอีกครั้งว่า ผู้สมัคร ส.ส.และบุคคลากรของพรรคเพื่อไทยล้วนเป็นปรมาจารย์ที่เก่งทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ มีประสบการณ์การลงมือทำงานจริง เพราะพรรคเพื่อไทยยังมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย จนเรียกได้ว่า ไทยเกือบจะมีโอกาสได้ชื่อว่าเป็น ‘ประเทศพัฒนาแล้ว’ และ ‘เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย’

ทั้งนี้ นโยบายของพรรคเพื่อไทยครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แก้ปัญหาตั้งแต่ระดับโครงสร้างในภาพใหญ่ และมีนโยบายเฉพาะกาลที่แก้ปัญหาระยะสั้นถึงระยะยาว ประกอบกันจนเป็นโรดแมปในการพัฒนาประเทศ โดยเศรษฐาให้คำมั่นว่า ด้วยนโยบายเหล่านี้ ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปราวพลิกฝ่ามือในหลากหลายด้าน ดังนี้

1. รัฐบาลเพื่อไทยจะบริหารประเทศอย่างจริงจัง ไม่บริหารแบบธุรการเหมือนที่ผ่านมา มียุทธศาสตร์ มีเป้าหมายที่ชัดเจน นำพาประเทศและชีวิตของพี่น้องประชาชน เราจะทำงานอย่างขยันขันแข็ง วางระบบไว้สำหรับคนรุ่นหลังให้เดินต่อไปได้ โดยกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนว่า ภายในปี 2567 จะทำให้จีดีพี (Gross Domestic Product :GDP) ประเทศโตไม่น้อยกว่า 5%

2. ตั๋วจำนำจะหมดไป และถูกแทนที่ด้วยธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ของพี่น้องประชาชน หนี้สินน้อยลง เพราะระบบเศรษฐกิจในยุคของเพื่อไทยจะเติบโต ทำให้คนไทยทุกอาชีพ ทุกฐานะ สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบายๆ เหมือนในยุคไทยรักไทย

3. รายจ่ายจะลดลง ผ่านนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่จะปรับปรุงการบริการด้วยเทคโนโลยี คนกรุงเทพฯ จะขึ้นรถไฟฟ้าถูกลง 20 บาทตลอดสาย ค่าทางด่วนจะมีการเชื่อมโยงให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง เพื่อการจราจรที่ติดขัดน้อยลง คนต่างจังหวัดจะมีรถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางคู่มาเสริมบริการ ในราคาที่ไม่แพงเกินไป

4. ยาเสพติดจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเพื่อไทยจะนำนโยบายและวิธีการสมัยพรรคไทยรักไทยมาใช้

5. นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก และกระจายไปทั่วประเทศ โดยรัฐบาลเพื่อไทยจะเพิ่มสนามบินนานาชาติที่มีมาตรฐาน พร้อมปรับปรุงสนามบินสุวรรณภูมิให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

6. คืนอากาศสะอาด จัดการ PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มที่ต้นตอ นอกจากนี้ การจราจรในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จะต้องได้รับการดูแล ไม่ปล่อยไว้ตามยถากรรม

7. คืนสิทธิที่จะ ‘รักชาติ’ โดยไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ

8. จะไม่มีใครโอดครวญเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และค่าแก๊สอีกต่อไป เพราะรัฐบาลเพื่อไทยจะปรับโครงสร้างราคาใหม่ให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่มาเสริม และจะควบคุมการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสม

9. รัฐบาลเพื่อไทยจะมีมาตรการจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นภาระประชาชน และจะไม่ยอมให้มีการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการเด็ดขาด ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญที่เป็น ‘ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน’ โดยแท้จริง ผู้ที่โค่นล้มรัฐธรรมนูญ หรือก่อรัฐประหารจะถือเป็นอาชญากรของชาติ และต้องได้รับโทษอย่างเหมาะสม

10. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ที่อยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่ตัวเองไม่ถนัด จะถูกเชิญกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เปิดพื้นที่ให้ผู้มีความรู้ มีประสบการณ์เข้าไปช่วยทำให้รัฐวิสาหกิจประสบความสำเร็จ พร้อมลดการผูกขาดทุกรูปแบบ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด และบริการที่เป็นธรรม

11. ความอยุติธรรมจากตำรวจ หรือหน่วยงานรัฐภายใต้อำนาจบริหารจะต้องหมดไป ประชาชนจะไม่มีโอกาสได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองอีก

เศรษฐาเน้นย้ำถึงอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย ที่ยึดโยงกับประชาชนมาโดยตลอด จึงทำให้เป็นพรรคที่ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด เพราะความอยุติธรรมในระบบกฎหมาย และผู้มีอำนาจที่ไม่รับฟังเสียงประชาชน แต่วิกฤตไม่ได้เจือจางอุดมการณ์ที่เข้มข้นของพรรคเพื่อไทยลงเลย ทำให้ได้รับความไว้วางใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์จากผลการเลือกตั้งในปี 2544 ปี 2548 ปี 2550 ปี 2554 ปี 2562 และครั้งนี้ มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ก่อนกล่าวปิดท้ายว่า

“ผมขอวิงวอนจากใจ อย่าเลือกเพราะความกลัว แต่ให้เลือกเพราะความชัวร์ว่าพรรคเพื่อไทยทำได้จริง เราจะทำให้เสียงของประชาชนเป็นใหญ่ ให้ประชาธิปไตยเป็นใหญ่ ให้นักการเมืองฟังเสียงของประชาชน

“ผม นายเศรษฐา ทวีสิน ขอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความมืดมน สู่ความเป็นจริงที่มีความหวัง ผมขอให้ทุกคนลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ทั้ง ส.ส.เขต และพรรคเบอร์ 29 ให้แลนด์สไลด์ทั้งประเทศ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ ให้พวกเราไปรับใช้ประชาชน ไปทำความหวังของทุกคน เปลี่ยนประเทศให้ได้จริง และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลาน”

Tags: , , , , , , ,