วันนี้ (11 กันยายน 2568) ที่อาคารรัฐสภา ชูศักดิ์ ศิรินิล รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย จาตุรนต์ ฉายแสง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงเรื่องแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาเมื่อวานนี้ (10 กันยายน 2568)
โดยในช่วงแรกของการแถลงต่อสื่อมวลชน ชูศักดิ์อธิบายเหตุผลการยื่นคำร้องของพรรคเพื่อไทยไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่า ครั้งที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยบรรจุระเบียบวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 มีสมาชิกหลายคนบอยคอตไม่เข้าร่วมประชุม บางส่วนโต้แย้งว่าประธานรัฐสภาไม่มีอำนาจที่จะบรรจุคำวินิจฉัย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงพยายามหาข้อยุติว่า ทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ค้างอยู่ได้
ในส่วนของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ ชูศักดิ์สรุปประเด็นสำคัญไว้ ดังนี้
1. รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน
2. การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหมวด 15 คือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
3. รัฐสภามีอำนาจที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เท่ากับว่าปฏิเสธการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง
4. การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้งคือ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ขณะที่ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า มีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 เมื่อรัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติอีกรอบว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ชูศักดิ์เพิ่มเติมว่า การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ‘อาจจัดรวมกัน’ ได้ แม้มีปัญหาอุปสรรคคือขั้นตอนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น และยังเป็นปัญหาถกเถียงกันอยู่ แต่ในฐานะผู้ที่ริเริ่มและติดตามเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาโดยตลอด ยังคงยืนยันที่จะดำเนินการและแสวงหาการจัดทำให้เป็นประชาธิปไตยต่อไป
ดังนั้นเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาแล้ว ชูศักดิ์เปิดเผยสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือ ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 15 เรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสียก่อน โดยให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ และต้องนำไปประชามติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256
ขณะที่ประเด็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ‘ไม่อาจกระทำ’ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แม้พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ขัดต่อหลักการประชาชนมีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามอาจจะกระทำโดยการเลือก สสร.ทางอ้อม เช่น รัฐสภามีมติแต่งตั้ง สสร.หรืออาจให้รัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการได้
ทั้งนี้การจัดทำประชามติจะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้น รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรัฐสภามีมติส่งให้รัฐบาลดำเนินการหรือรัฐบาลเห็นสมควร ดังนั้นการทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อไร ก็อยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลด้วย
“เรื่องนี้เราเห็นว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องไปตัดสินใจ ซึ่งเงื่อนไขก็จะมีอยู่หลายประการ เช่น จะยุบสภาฯ เมื่อไร จะทำประชามติเมื่อไร หลังจากรัฐบาลยุบสภาฯ แล้วจะยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสร็จเมื่อไร
“เราคิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องไปคิดในเรื่องนี้ แต่ของเราก็มีหน้าที่เสนอยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 หมวด 15 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ชูศักดิ์กล่าว
ด้านจาตุรนต์ระบุเพิ่มเติมว่า พรรคเพื่อไทยยินดีและแสดงความตั้งใจว่า อยากให้มีการร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อช่วยกันแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ขณะนี้รัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่มีองค์กรใดแสดงความริเริ่มในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ตนจึงอยากเชิญชวนทุกพรรคการเมือง และเรียกร้องไปยังรัฐบาลที่กำลังเข้ามาบริหารประเทศ ช่วยกันคิดหาทางออกว่า จะทำอย่างไรให้การจัดทำประชามติ 2 ครั้งรวมเป็นครั้งเดียวได้ ไม่ต้องเสียเวลานานและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ
“พรรคการเมืองต่าง ๆ จะต้องหารือ และได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลที่ตั้งใจจริงที่จะทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น รัฐบาลก็ต้องไปคิดแล้วว่าจะทำประชามติเมื่อไร และจะทำกี่ครั้ง ทำ 2 ครั้งพร้อมกันหรือไม่”
จาตุรนต์ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องคิดแล้วว่าจะทำประชามติเมื่อไรและจะทำกี่ครั้ง เนื่องจากการทำประชามติเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องมีมติ ครม.จากการเสนอของรัฐสภา เสนอของประชาชน หรือมาจาก ครม.เอง
Tags: ศาลรัฐธรรมนูญ, พรรคเพื่อไทย, จาตุรนต์ ฉายแสง, รัฐสภา, สสร., ชูศักดิ์ ศิรินิล, แก้ไขรัฐธรรมนูญ, รัฐบาล, ประชามติ, กฎหมาย