วันนี้ (20 พฤษภาคม 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมมีมติ ‘เห็นชอบ’ การชะลอโครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตมูลค่าโครงการ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศได้รับผลประโยชน์โดยรวม
แพทองธารกล่าวว่า การทบทวนโครงการดังกล่าวได้รับข้อเสนอจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก และเมื่อผ่านการรับฟังจึงจำเป็นต้องปรับนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาว
นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตได้ดำเนินการไปแล้วในระยะที่ 1 และ 2 ในกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ แต่เมื่อมีสถานการณ์กำแพงภาษีของ โดนัล ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายประเทศไม่ต้องการเผชิญ จึงต้องทบทวนว่า การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนมากกว่า
อย่างไรก็ตามแพทองธารระบุสาเหตุที่ต้องใช้คำว่า ‘ชะลอ’ กับโครงการดังกล่าว เป็นเพราะหากสถานการณ์ดีขึ้น โครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะกลับมาพิจารณาดำเนินการต่อ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถส่งมอบนโยบายตามที่หาเสียงไว้หรือไม่ แพทองธารให้คำตอบว่า พรรคเพื่อไทยเวลาหาเสียงมีการประเมินสถานการณ์ว่าสามารถทำได้จริง แต่ ณ เวลานั้นไม่มีการพูดถึงเรื่องกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายประเทศไม่คาดคิด รวมถึงประเทศไทย
“ถามว่าทำไม่ได้จริงหรือไม่ ไม่จริงนะคะ เราทำได้จริงไปแล้ว ไม่ใช่ว่านโยบายนี้ทำไม่ได้เลย แต่สถานการณ์ที่แทรกเข้ามามันสุดวิสัย ไม่ใช่ว่าทำๆ อยู่แล้วจะยกเลิก 2 ครั้งที่ผ่านมา โครงการผ่านได้ แต่ครั้งนี้มีเหตุการณ์ใหม่คือเรื่องภาษีเข้ามา โครงการมันจึงผ่านไม่ได้ ความจริงมันก็แค่นั้นเอง” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะสามารถต่อกรกับภาษีของสหรัฐฯ ได้จริงหรือไม่ แพทองธารชี้แจงว่า งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทเป็นงบกลางของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งจะต้องใช้ให้หมดก่อนสิ้นเดือนกันยายน ดังนั้นงบประมาณดังกล่าวจึงไม่ใช่งบประมาณที่จะจัดการกับนโยบายภาษีโดยตรง แต่เป็นการใช้งบประมาณในระยะสั้นเพื่อต่อยอดไปยังนโยบายระยะกลางและระยะยาวต่อไป
“เงินที่เราลงทุนเป็นโครงสร้างทั้งประเทศ อาจจะไม่ได้ลงไปถึงรายบุคคล แต่เป็นภาพรวมที่ทั้งประเทศจะได้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะเมื่อก่อนสถานการณ์แทรกเข้ามา มันทำให้เราต้องชะลอการแจกเงินคนบางกลุ่ม ต้องเป็นภาพรวมของทั้งประเทศก่อน เพื่อกอบกู้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไว้” แพทองธารระบุ
สำหรับงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทจากเดิมที่ใช้ดิจิทัลวอลเล็ตจะเปลี่ยนเป็นการทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่
-
งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ป้องกันอุทกภัยและกักเก็บน้ำในฤดูแล้ง ปรับปรุงและพัฒนาระบบประปาในชุมชน ปรับปรุงถนนเชื่อมต่อเมืองรอง และแหล่งท่องเที่ยว
-
งบประมาณด้านการท่องเที่ยว เช่น พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะเมืองรอง
-
งบประมาณด้านการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ เช่น สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต ออกสินเชื่อสำหรับผู้ส่งออกเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมรัฐบาลดิจิทัลและการค้าระหว่างประเทศ
-
งบประมาณด้านเศรษฐกิจชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น สนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการศึกษาเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจ